พลังของวิปัสสนาญาณ...รูปไม่ใช่เรา เราไม่ใช่รูป ธรรมะหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
board.palungjit.com
บารมีที่อบรมสะสมมาแล้วในอดีตชาติทั้งหมด และบารมีที่หลวงปู่ได้ภาวนาปฏิบัคิ สะสมอินทรีย์ที่แก่กล้ามาในชาตินี้ ตลอดทั้งกำลังความเพียรอื่นใดที่หลวงปู่ได้บำเพ็ญมาแล้วทั้งในอดีตและปัจจุบัน เมื่อรวมกันได้แล้วจึงเกิดกำลังขึ้นเรียกว่า กำลังของวิปัสสนาญาณ นั่นเอง กำลังของวิปัสสนาญาณนี้จะประหารกิเลส ตัณหา อวิชชา ให้หมดไปจากใจทันที เพราะกำลังของวิปัสสนาเหนือกว่ากำลังของกิเลสตัณหาทั้งปวง กำลังของวิปัสสนาญาณนี้ เห กำลังของวิปัสสนานี้เอง จึงเป็นจุดเด่นเฉพาะตัวของผู้ที่จะได้บรรลุธรรม
(ในช่วงที่หลวงปู่เอาเมล็ดข้าวมาพิจารณาด้วยปัญญานี้เอง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของวิปัสสนาญาณ ที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าดูเพียงผิวเผินก็เหมือนกับใช้ความคิดพิจารณาธรรมดา ไม่แตกต่างกันกับความคิดพิจารณาของนักปฏิบัติทั่วๆไป แต่มีอีกอย่างที่ไม่เหมือนกันนั่นคือ กำลังของใจ กำลังของสติ กำลังของปัญญาและกำลังบารมี ที่มาบรรจบกันพอดี )
หลังจากนั้น หลวงปู่ก็ได้ลงสรงน้ำและใช้กระบอกไม้ไผ่ตักเอาน้ำสะพายกลับมากุฏิทันที ในระหว่างเดินทางกลับนี้ หลวงปู่ก็ใช้อริยบถเดินจงกรม โดยใช้ปัญญาพิจารณาในสัจจธรรมอยู่ตลอด ปัญญานี้จะมีความต่อเนื่องกันจากเมล็ดข้าวทีมีเชื้อติดอยู่กับหัวเมล็ดข้าวและพาให้ไปเกิดอีก เพื่อเป็นอุบายสอนใจอยู่ตลอดเวลา พิจารณาด้วยปัญญาประกอบเหตุผลให้เป็นไปตามความจริง ให้ใจได้เห็นทุกข์ โทษ ภัย ในชาติ คือ ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ว่าไม่มีอะไรเป็นของเราอยู่ตลอดเวลา ปัญญาที่นำอุบายธรรมมาสอนใจนั้นห้าวหาญเด็ดเดี่ยวมาก จะพิจารณาเรื่องใดก็รู้เห็นชัดเจนไปทั้งหมด แต่ก่อนพิจารณาไม่ใด้ผลเท่าที่ควร เพราะใจยังไม่ยอมรับความจริงในสิ่งนั้นๆ แต่เมื่อวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นที่ใจได้แล้ว ก็จะประหารกิเลส ตัณหา อวิชชา ที่มีอยู่ในใจให้หมดไป นั่นคือใจยอมรับตามความเป็นจริงทั้งหมด ชาติคือความเกิดในอดีตที่ผ่านมาก็มีแต่ทุกข์โทษภัย ในชาติปัจจุบันนี้ก็มีแต่ ทุกข์ โทษ ภัย เต็มอยู่ในกายใจทั้งหมด อนาคตที่จะไปเกิดในภพชาติต่อไป ก็จะมีแต่ ทุกข์ โทษ ภัย เหมือนในชาติปัจจุบันนี้เอง ใจจึงมีความกลัวในการเกิดเป็นอย่างยิ่งและเบื่อหน่ายในธาตุขันธ์ที่จะไปเกิดเอาภพชาติอีกต่อไป (มีตอนที่2)