กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2567
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
11 พฤศจิกายน 2567
space
space
space

วันเข้าพรรษา


 
 
235 วันเข้าพรรษา
 

     คำว่า  พรรษา  แปลว่า  ฤดูฝน  ปีหนึ่งก็ผ่านฤดูฝนครั้งหนึ่ง  คนที่อยู่มาเท่านั้นฝนเท่านี้ฝน ก็คืออยู่มาเท่านั้นปี ดังนั้น ในที่ทั่วๆ ไป  จึงแปลพรรษากันว่า  “ปี”
 
     คำว่า  เข้าพรรษา ก็คือ เข้าฤดูฝน คือถึงเวลาที่จะต้องหยุดการเดินทางในฤดูฝน พักอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเป็นประจำ โดยไม่ไปแรมคืนที่อื่น   เพราะเหตุนี้   จึงมีคำเกิดขึ้นอีกคำหนึ่ง คือคำว่า จำพรรษา
 
     คำว่า  จำพรรษา ก็คือ อยู่วัดประจำในฤดูฝน   หมายความว่า   พระสงฆ์จะต้องอยู่ในวัดที่ตนอธิษฐานพรรษา ตลอดสามเดือนในฤดูฝน  จะไปแรมคืนที่อื่นไม่ได้  นอกจากมีเหตุจำเป็น
 
     คำว่า  วันเข้าพรรษา  ก็คือ วันที่พระสงฆ์ทำพิธีอธิษฐานพรรษา ซึ่งเป็นวันแรกของการจำพรรษานั่นเอง
 
     “อธิษฐาน”    แปลว่า   ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไป  “อธิษฐานพรรษา”   ก็คือ   ตั้งใจกำหนดแน่นอนลงไปว่าจะอยู่ประจำ ณ ที่นั้นตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน
 
     กาลที่นิยมว่าเป็นฤดูฝน  ที่เรียกในบาลีว่า  วสฺสาน นั้น  มีกำหนด ๔ เดือน คือ ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จนถึงขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒  แต่การจำพรรษาของพระสงฆ์มีกำหนดแค่ ๓ เดือน
 
     การจำพรรษานั้น มี ๒ ระยะ
 
        ระยะแรก  เรียกว่า  ปุริมพรรษา  แปลว่า พรรษาแรก หรือ พรรษาต้น  เริ่มแต่วันแรม ๑  ค่ำ เดือน ๘ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑
 
        ระยะหลัง  เรียกว่า  ปัจฉิมพรรษา  แปลว่า พรรษาหลัง เริ่มตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๙  จนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒
 
        วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๘ เป็นวันเข้าปุริมพรรษา
 
        วันแรม ๑ ค่ำ เดือน  ๙  เป็นวันเข้าปัจฉิมพรรษา
 
     ถ้าปีใดมีอธิกมาส  คือเพิ่มเดือน  ๘  เข้ามาอีกเดือนหนึ่ง   เป็นสอง ๘  ในปีนั้น  ให้ถือวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หลัง  เป็นวันเข้าปุริมพรรษา
 
     การที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตวันเข้าพรรษาไว้ ๒ วัน คือวันเข้าปุริมพรรษา และวันเข้าปัจฉิมพรรษานั้น ก็เพื่อให้พระสงฆ์ที่จำพรรษาในวันเข้าปุริมพรรษาไม่ทันด้วยเหตุจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง  สามารถเลื่อนไปเริ่มจำพรรษาในวันเข้าปัจฉิมพรรษา
 
     การจำพรรษา และวันเข้าพรรษา ถึงจะมีเป็นสองอย่างก็จริง  แต่ที่ถือเป็นสำคัญ และปฏิบัติกันโดยทั่วไปนั้น ก็คือ วันเข้าปุริมพรรษา ซึ่งเป็นวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ และไปครบสามเดือน   ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งเป็นวันออกพรรษา  ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนท้ายฤดูฝน   สำหรับเตรียมตัว  เพื่อเดินทางไปในที่ต่างๆ ต่อไป
 
     ฉะนั้น  ในทางปฏิบัติเมื่อพูดถึงวันเข้าพรรษา   ก็หมายถึงวันเข้าปุริมพรรษานั่นเอง
 
     มูลเหตุที่พระสงฆ์ต้องจำพรรษา  กล่าวความตามบาลี วัสสูปนายิกขันธกะ คัมภีร์มหาวรรค  พระวินัยปิฎก  ว่า ในมัชฌิมประเทศสมัยโบราณ คืออินเดียตอนเหนือ   เมื่อถึงฤดูฝน   พื้นที่ย่อมเป็นโคลนเลนทั่วไป ไม่สะดวกแก่การเดินทาง
 
     คราวหนึ่ง  มีพระพวกที่เรียกว่า  ฉัพพัคคีย์  คือเป็นกลุ่มมี  ๖ รูปด้วยกัน  ไม่รู้จักกาล เที่ยวไปมาทุกฤดูกาล ไม่หยุดพักเลยแม้ในฤดูฝนก็ยังเดินทาง   เที่ยวเหยียบย่ำข้าวกล้าหญ้าระบัดและสัตว์เล็กๆ ตาย  คนทั้งหลายพากันติเตียนว่า  ในฤดูฝน แม้พวกเดียรถีย์  และปริพาชกเขาก็ยังหยุด  ที่สุดจนนกก็ยังรู้จักทำรังบนยอดไม้   เพื่อหลบฝน  แต่พระสมณศากยบุตรทำไมจึงยังเที่ยวอยู่ทั้งสามฤดูเหยียบย่ำข้าวกล้าและต้นไม้ที่เป็นของเป็นอยู่ และทำสัตว์ให้ตายเป็นอันมาก
 
     ความทราบถึงพระพุทธเจ้า  พระองค์จึงทรงอนุญาตให้พระสงฆ์อยู่ประจำที่ในฤดูฝน  ในที่แห่งเดียว เป็นเวลา ๓ เดือนเรียกว่า  จำพรรษา ด้วยเหตุนี้พระสงฆ์จึงต้องจำพรรษา และมีวันเข้าพรรษาสืบมาจนบัดนี้
 
     สถานที่ที่พระสงฆ์จำพรรษานั้น  พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้จำพรรษาในที่กลางแจ้ง   ในโพรงไม้ และในตุ่มหรือในหลุมขุด ซึ่งไม่ใช่เสนาสนะ คือไม่ใช่ที่อยู่ที่อาศัย   ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในกุฏิที่มุงที่บังมีหลังคาและฝารอบขอบชิด  อยู่ให้ครบ ๓  เดือน    ถ้าอยู่ไม่ครบ ๓ เดือน    หลีกไปเสีย   พรรษาขาด และต้องอาบัติคือมีโทษ  แต่เป็นโทษขนาดเบา  เรียกว่าอาบัติทุกกฎ
 
     ถ้ามีภัยอันตรายเกิดขึ้น จะอยู่ในที่นั้นไม่ได้   เช่น  น้ำท่วม หรือชาวบ้านถิ่นนั้นอพยพไปอยู่ที่อื่น เป็นต้น อนุญาตให้ไปในระหว่างพรรษาได้  ไม่เป็นอาบัติ  แต่พรรษาขาด
 
     ถ้ามีกิจจำเป็นที่จะต้องไปแรมคืนที่อื่น เช่น กิจนิมนต์ กิจเกี่ยวกับพระศาสนา ตลอดจนพระอุปัชฌาย์อาจารย์อาพาธ หรือโยมมารดาบิดาเจ็บป่วย  อนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ คือกิจที่ไปทำแล้วกลับมาให้ทันภายใน ๗ วัน พรรษาไม่ขาด
 
     พิธีอธิษฐานพรรษา   คือ  เมื่อถึงวันเข้าพรรษา   พระสงฆ์ประชุมพร้อมกันโดยนิยมในโรงอุโบสถ  ทำวัตรสวดมนต์ตามปกติแล้ว  ตั้งนโม ๓ จบนำแล้ว  เปล่งวาจาอธิษฐานพรรษาพร้อมกันว่า  อิมสฺมึ   อาวาเส,  อิมํ   เตมาสํ, วสฺสํ   อุเปมิ. (นิยมว่า ๓ หน)  แปลว่า   ข้าพเจ้าจำพรรษา   ในอาวาสนี้  ตลอดสามเดือน ดังนี้
 
     มีธรรมเนียมอธิษฐานพรรษาเฉพาะรูปๆ ซ้ำอีก ซึ่งบางแห่งยังปฏิบัติอยู่ว่า เมื่อออกจากโรงอุโบสถกลับไปถึงกุฎีที่อยู่ ทำความสะอาดปัดกวาดเรียบร้อย ตั้งน้ำใช้น้ำฉันแล้วกล่าวคำอธิษฐานพรรษาในกุฎีอีกว่า  อิมสฺมึ   อาวาเส, อิมํ  เตมาสํ, วสฺสํ    อุเปมิ. (นิยมว่า ๓ หน)   แปลว่า ข้าพเจ้าจำพรรษา ในกุฎีนี้  ตลอดสามเดือน ดังนี้
 
     เมื่อกล่าวคําอธิษฐานพรรษาเสร็จแล้ว  ยังมีพิธีที่สําคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พิธีขอขมา ซึ่งเป็นพิธีที่เนื่องกับวันเข้าพรรษา
 
     วิธีปฏิบัติคือ  พระผู้น้อยนําดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปหาพระผู้ใหญ่ กล่าวคําขอขมาโทษ แปลเป็นใจความว่า “กระผมขอขมาโทษ ที่ได้ล่วงเกินทางกาย วาจา ใจ เพราะความประมาท” แล้ว
 
     พระผู้ใหญ่กล่าวตอบ   แปลเป็นใจความว่า “ข้าพเจ้ายกโทษให้  แม้ท่านก็พึงยกโทษให้ข้าพเจ้า”   พระผู้น้อยก็กล่าวว่า  “กระผมขอยกโทษให้”  เป็นอันต่างฝ่ายต่างให้อภัยกัน ในความล่วงเกินที่ได้ทํามาแล่ว นับเป็นวิธีสมานสามัคคีอย่างดียิ่ง
 
     เมื่อถึงวันเข้าพรรษา  พุทธศาสนิกชน   ย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ไม่น้อย  เพราะถือเป็นโอกาสที่จะได้บำเพ็ญกุศลเป็นพิเศษ   จากที่ได้บำเพ็ญเป็นประจำตามหน้าที่ของพุทธศาสนิกชน
 
     เริ่มต้นแต่เมื่อใกล้จะถึงวันเข้าพรรษา  ต่างก็ช่วยกันซ่อมแซมตกแต่งเสนาสนะเพื่อให้พระสงฆ์ได้อยู่เป็นสุข  นำลูกหลานญาติมิตรไปประชุมกันตามวัด  ถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัยแก่ภิกษุสามเณร
 
     พอถึงวันเข้าพรรษา  บางพวกก็อธิษฐานว่า  จะรักษาอุโบสถศีล ตลอด ๓ เดือน บางพวกปวารณาตนต่อภิกษุสามเณรเฉพาะองค์ หรือทั้งวัด  ถวายสิ่งที่ขาดเหลือตลอด ๓ เดือน บางพวกก็อธิษฐานใจ  เว้นสิ่งที่ควรเว้น  บำเพ็ญสิ่งที่ควรบำเพ็ญ เช่น  พวกดื่มเหล้า  บางคนก็เว้นดื่มเหล้าตลอดพรรษา  โดยตั้งใจเว้นเอง ก็มี   เข้าไปปฏิญาณต่อหน้าพระ ก็มี  บางคนที่ทำบาปหยาบช้าทารุณกรรมต่างๆ ก็ปฏิญาณตนไม่ทำในสิ่งนั้น
 
     บางคนก็จัดดอกไม้ธูปเทียนและของใช้ประจำอื่นๆ เช่น สบู่ แปรง ยาสีฟัน สีย้อมผ้า ตลอดจนยารักษาโรค ไปถวายแก่พระที่ตนเคารพนับถือ หรือที่เป็นอุปัชฌาย์อาจารย์ของตน
 
     นี้เป็นกุศลพิธีคือเป็นพิธีบำเพ็ญบุญในพระพุทธศาสนาเป็นหน้าที่ที่พุทธศาสนิกชนจะพึงปฏิบัติในวันเข้าพรรษา
 
     ผ้าอาบน้ำฝนนั้น มีกำหนดตามที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตไว้คือ ยาว ๖ คืบ กว้าง ๒ คืบครึ่ง โดยคืบพระสุคต ๓ คำนวณตามอัตราที่นิยมถือกันมาเทียบกับมาตราที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ตัดเศษแล้วได้ยาว ๒ เมตร กว้าง ๘๓ เซนติเมตร (ถ้าถืออย่างง่าย คิดเท่ากับมาตราที่ใช้ในปัจจุบันเลยทีเดียว จะได้เพียงยาว ๑ เมตรครึ่ง กว้าง ๖๒.๕ เซนติเมตร)
 
     ทำยาวหรือกว้างกว่ากำหนด ใช้ไม่ได้  ภิกษุผู้ทำ หรือให้ทำ หรือใช้นุ่ง มีความผิด
 
     เวลาที่จะถวายผ้าอาบน้ำฝนนั้น  มีพุทธบัญญัติไว้ตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๗ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งเป็นเวลาก่อนเข้าพรรษา ๑ เดือน ระยะนี้  เป็นเวลาที่พระภิกษุจะแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน ผู้ประสงค์จะบำเพ็ญกุศลให้ต้องตามพุทธานุญาต  จึงหาผ้าอาบน้ำฝนถวายในระยะนี้
 
     แต่ที่ปฏิบัติกันทั่วๆ ไป  ถวายในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ  เดือน  ๘ ก่อนวันเข้าพรรษา ๑ วัน  เพราะวันนั้นเป็นวันธรรมสวนะ และเป็นวันอาสาฬหบูชาด้วย  พุทธศาสนิกชนไปประชุมกันที่วัดเป็นปรกติอยู่แล้ว  จึงถือโอกาสถวายผ้าอาบน้ำฝนในวันนั้น
 
 


Create Date : 11 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2567 10:56:18 น. 0 comments
Counter : 88 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space