จงให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ถูกต้อง มากกว่าสิ่งที่ถูกใจ
Group Blog
 
<<
เมษายน 2560
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 เมษายน 2560
 
All Blogs
 
เส้นทางชีวิต... กว่าจะถึงพันตำรวจเอก ตอนที่ ๙๓





ก่อนอื่นท่านจะต้องรู้เสียก่อนว่า บ้านช่องในเมืองชลฯ ตอนนั้น ไม่ได้ปลูกกันอยู่อย่างเมืองอื่น

เมืองชลฯมีสะพานยาวทอดลงสู่ทะเล นอกจากถนนสายกลางที่มีร้านรวงเรียงรายแล้ว ก็ยังมีร้านอยู่ตามความยาวของถนนสายกลางนั้น และยังมีบ้านส่วนตัวปลูกอยู่ต่างหาก ตามแนวสะพานยาวที่ทอดออกสู่ทะเลนั้น

แต่ละสะพานมีชื่อเรียกร้องกลอนสัมผัสกันไพเราะ ตั้งขึ้นโดยนายกเทศมนตรีเมืองชลฯ ผมจำชื่อนั้นไม่ได้ทั้งหมดเพราะมันนานมาแล้ว

ที่ปลายสะพานยาวนั้นมักจะเป็นท่าเรือไปในตัว ชาวทะเลจะผูกเรือของเขาไว้ที่ปลายสะพานเพื่อความสะดวกในการออกทะเล เรือใครเรือมัน ไม่มีใครกลั่นแกล้งหรือลักขโมยกัน

สะพานยาวนั้นเป็นสะพานค่อนข้างจะแคบ ขนาดสองคนเดินหลีกกันเครือๆ ต่างคนต่างต้องเอียงตัวตอนที่จะเดินสวนกันไป

คืนวันหนึ่งนักเลงชาวเรือคนหนึ่งจะลงเรือออกทะเล เพราะเดือนหงายสว่างฟ้า นักเลงคนที่ว่านี้ เดินไปแต่ผู้เดียวผ้าคะม้าคาดพุ่ง แต่ที่ผ้าคะม้านั้นมีปืนสั้นเหน็บไปด้วย

ตามวิสัยของนักเลงเมืองชลฯ เดินมาถึงกลางสะพานก็พอดีนักเลงอีกคนหนึ่งขึ้นมาจากเรือ เดินสวนมาจะขึ้นบก ทั้งคู่มาเจอกันที่กลางสะพาน

ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงจะเอียงตัวหลบให้กันเดินสวนไป แต่ทั้งคู่ไม่ยอมเอียงตัวหลบให้กันต่างคนต่างยืนจ้องกันนิ่งอยู่ตรงจุดที่เดินมาพบกันนั้น

“เฮ้ย.. เอ็งถอยลงเรือไปก่อนซิวะ ” คนที่เดินจากฝั่งจะลงทะเล พูด “เรือเอ็งอยู่ตรงนี้เอง ”

“มึงน่ะแหละ ถอยกลับไป ” นักเลงที่เพิ่งขึ้นมาจากเรือ ยืนหยัดไม่ยอมถอยลงเรือ

เขาเอียงตัวหลบให้กันไม่ได้ เพราะตอนที่เอียงตัวหลบให้กันนั้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะทำอะไรก็ต้องจ้องดูเชิงกันอยู่อย่างนั้น

ชาวบ้านที่ปลูกบ้านเรียงรายอยู่ข้างสะพานก็คงจะต้องแอบดูนักเลงสองคนนี้อยู่ ถ้าไม่ยังงั้น ถ้อยคำที่พูดกันก็คงจะไม่มีปรากฎในสำนวนได้

           “ มึงไม่ถอยแน่นะ” นักเลงจากฝั่งถาม

           นักเลงที่ขึ้นจากเรือยืนนิ่ง ไม่ถอย เป็นการยืนยันในคำพูดเดิม

           “ เออ... เอ็งเก่ง” คนที่มาจากฝั่งว่าแล้วก็ล้วงปืนออกมาจากผ้าคะม้า ลั่นไกโป้งๆ ไปที่นักเลงจากเรือ

           นักเลงจากเรือก็ทรุดล้มลงไปกองนิ่ง แล้วนักเลงจากฝั่งก็ก้าวข้ามศพนั้นไป ไปลงเรือ แล้วจากนั้นก็ไม่ได้มาปรากฎตัวให้ใครเห็นอีกเลย

           นี่คือเมืองชลฯ

           คุณหลวงนรินทร์ฯเป็นผู้กำกับการฯ อยู่ตอนนั้น สำนวนการสอบสวนก็ต้องดำเนินไป

บทสรุป คนที่ตกเป็นผู้ต้องหาไม่มีทางดิ้นแล้วสำนวนนั้นก็มาสงบนิ่งอยู่ในลิ้นชักของคุณหลวงนรินทร์ฯ ไม่มีใครถามถึง แล้วมันก็มาตกอยู่ที่ผม เมื่อท่านย้ายไป

ผมต้องรักษาสำนวนอันนั้นไว้ตามคำสั่ง เมื่อผู้บังคับบัญชาท่านไว้ใจถึงแม้มันจะผิดกฎหมาย ผมก็ต้องทำและผมรักคุณหวงนรินทร์ฯ เสียแล้วตอนนั้น อาจเป็นด้วยเหตุนี้ก็ได้ ที่ท่านตั้งผมรักษาการณ์แทนท่าน แทนที่จะตั้งคนอื่น

ผมเผาสำนวนนั้นก่อนที่ผู้กำกับฯ คนใหม่จะมารับหน้าที่ ไม่อยากเก็นเอาไว้ ให้มันร้อนมือ ไม่ต้องยุ่งยากใจอีกต่อไป แล้วพูดกันจริงๆ นักเลงเมืองชลฯ เขาไม่แก้แค้นทางศาล เขาจะล้างกันเองโดยไม่ต้องพึ่งเจ้าหน้าที่ใดๆ

จนบัดนี้ผมก็ไม่ทราบว่า เขาแก้แค้นกันเรียบร้อยไปแล้วหรือยัง ?





Create Date : 14 เมษายน 2560
Last Update : 17 เมษายน 2560 4:38:22 น. 1 comments
Counter : 537 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณก้นกะลา


 


โดย: ก้นกะลา วันที่: 17 เมษายน 2560 เวลา:23:03:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธารน้อย
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add ธารน้อย's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.