นายใหม่มา นโยบายในการทำงานก็เปลี่ยนไป นั่นเป็นเรี่องของผู้มีหน้าที่บริหารงานชั้นสูงของกองบังคับการและกองกำกับการ ที่จะกำหนด ผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ต้องยอมรับคำสั่ง แต่ผมก็มีอำนาจและหน้าที่ ที่จะพิจารณาคำสั่งนั้นว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือ ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่ ที่จะปฎิบัติตาม วันหนึ่งก็มีคำสั่งออกมาว่าทางผู้บังคับการ ต้องการที่จะตรวจสอบบัญชีร้านค้าของเก่า และโรงจำนำทั่วกรุง ว่าทำไว้ถูกต้องหรือไม่ จะระดมกำลังทั้งกองบังคับการ ส่งออกไปตรวจสอบบัญชีร้านค้า และโรงรับจำนำทั้งหมดทุกแห่ง ให้แต่ละกองและแต่ละแผนกส่งกำลังของตนมายังกองบังคับการ เพื่อออกปฎิบัติการเรื่องนี้พร้อมเพรียงกัน
ผมดูคำสั่งแล้ว มันพิกลๆ อยู่
หน้าที่ของผมก็รู้อยู่แล้วว่าแผนกของผมมีหน้าที่เฉพาะเรื่องคดีประทุษร้ายถึงตายเท่านั้น ผมไม่มีหน้าที่ที่จะส่งคนอออกไปตรวจบัญชีร้านค้าและโรงจำนำ และผมพอที่จะรู้ๆ ว่า เขาสั่งการครั้งนี้เพื่ออะไร ผมก็ไม่ส่งคนของผมไปร่วมด้วย ทุกกองทุกแผนกเขาส่งคนไปทั้งนั้น ขาดอยู่แต่คนของผม ผมไม่ยอมส่งไปร่วมการปฏิบัติการอันน่าแคลงใจครั้งนี้
เขาทำงานกันเสร็จเรียบร้อย ได้บัญชีจากร้านค้ามามากมาย มันก็ต้องผิดทั้งนั้น ไม่ว่าร้านค้าของเก่า หรือโรงรับจำนำโรงไหน และหน้าที่นี้ เขาก็มีหน่วยที่จะต้องดูแลอยู่แล้ว
ไม่มีร้านค้าของเก่าหรือโรงรับจำนำโรงไหนหรอก ที่จะลงบัญชีถูกต้องเรียบร้อยทุกประการตรวจเข้าไปก็ต้องพบ ไม่อะไรก็อะไรอย่างหนึ่งที่ผิด แต่ว่า เมื่อพบว่า ผิดแล้ว จะจัดการกันอย่างไร ส่งฟ้องศาล หรือ สั่งปิด ยึดใบอนุญาต
หรือว่า...?
ผมถูกผู้บังคับการเรียกตัวไปพบ ผมจะไม่ออกชื่อละว่าผู้บังคับการของผมชื่ออะไร ท่านเล่นงานผม หาว่า ผมขัดคำสั่งจะต้องถูกตั้งกรรมการสอบสวน และจะต้องชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรในเรื่องนี้ขึ้นมา
ผมบอกท่านว่าผมไม่ขัดข้องที่จะชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษร และผมมีเหตุผลของผมในการที่ผมไม่ส่งคนของผมเข้าร่วมปฎิบัติการในครั้งนี้ ผมรู้ถึงเบื้องหลังของการปฎิบัติการครั้งนี้ดี และผมจะเขียนเสนอขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษรถึงเบื้องหลังของการปฎิบัติการครั้งนี้ด้วย ถ้าท่านต้องการ ก็ขอให้ท่านสั่งลงไปถึงผมให้ผมชี้อแจงมา ผมก็จะเขียนมาให้โดยละเอียด หรือจะลงโทษผมประการใดก็ได้ ผมยินดีรับคำสั่งนั้น แต่ถ้าเป็นการสั่งการลงโทษ ผมก็จะต้องทำหน้าที่ขอความเป็นธรรมถึงกรม เพื่อชี้แจงเหตุผลของผม แล้วแต่ท่านผู้บังคับการจะเห็นว่า จะเอาอย่างไร
ผมออกจากห้องผู้บังคับการมาเก็บของกลับบ้าน ไม่มีจิตใจจะทำงานเสียแล้ว ผมไม่ไปทำงานโดยไม่วางใบลาเสียหลายวัน จนนายตำรวจและตำรวจในบังคับบัญชาของผม พากันมาเยี่ยมเยียนที่บ้านนึกว่าผมเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นอะไรไป
ผมไม่ได้บอกถึงเหตุผลที่ผมหยุดงาน เพียงแต่บอกว่า ขี้เกียจก็ไม่ไปมันยังงั้นเอง ทางกองบังคับการและผู้กำกับการ ก็ไม่ได้ไต่ถาม หรือเอาเรื่องอะไรกับผม
วันหนึ่ง ผมไปกินอาหารกลางวันกับเพื่อนๆที่บาร์เฉลิมกรุง ผมก็บังเอิญได้พบกับคุณหลวงสังวรยุทธกิจ ซึ่งรักษาการณ์ในตำแหน่ง อธิบดีกรมตำรวจ อยู่ขณะนั้น ท่านมารับประทานอาหารที่นั่นพอดี ท่านเดินเข้าห้องน้ำ แล้วก็แวะที่โต๊ะของผมบอกว่า ให้ตามท่านเข้าไปในห้องน้ำ ท่านมีเรื่องอะไรที่จะพูดด้วย
ผมตามท่านเข้าไปท่านก็จับแขนผม พูดว่า
คุณมีเรื่องอะไรกับผู้บังคับการของคุณหรือ ?
ผมก็ตอบท่านว่า
ผมไม่มีอะไรกับผู้บังคับการของผม แต่ผู้บังคับการของผม จะมีอะไรกับผม ผมไม่ทราบ
ท่านก็พูดอีกว่าเขาให้ผมย้ายคุณออกไปจากสอบสวนกลาง ให้ไปเป็นสารวัตรอยู่ คันนายาว เขาเลือกท้องที่ให้ผมเสียด้วย
สถานีคันนายาว นั้น เป็นที่สำหรับใช้ลงโทษย้ายคนไปที่นั่น ถ้าผมถูกย้ายไปอยู่ที่นั่น ก็เท่ากับลดความสำคัญของผม ลงไปจากสารวัตรที่มีอำนาจสอบสวนทั่วประเทศ ไปอยู่โรงพักที่ไม่มีความหมายอะไรเลย
ผมเรียนท่านไปว่าผมไม่ขัดข้องอะไรที่ท่านจะย้ายผมไปอยู่ที่ไหน และผมจะไม่ขอร้องอะไรทั้งสิ้น ท่านมีอำนาจที่จะสั่งย้ายผมไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ถ้าผมพอใจ ผมก็จะไปอยู่ แต่ถ้าผมไม่พอใจ ผมก็ลาออก
คุณหลวงสังวรณ์ฯ ตบไหล่ผมปลอบใจ
ไม่เป็นไร คุณพุฒ ผมจะพิจารณาให้ดี ใจเย็นๆ ไว้ ผมยังต้องใช้เขาอยู่อีกหลายเรื่อง แต่คุณกับเขา เห็นจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
แล้วก็มีคำสั่งออกมาให้ผมย้ายไปประจำกองกำกับการ๒ กองตำรวจสันติบาล ข้ามตึกจากตึกสอบสวนกลาง ไปตึกสันติบาล ซึ่งอยู่คนละฟากของถนนภายในนั่นเอง