Group Blog
 
All Blogs
 

พลงดนตรีประวัติศาสตร์ ของ หลวงวิจิตรวาทการ

ีเมตตาถ่ายสำเนาต้นฉบับบทเพลงดนตรีประวัติศาสตร์ ของ หลวงวิจิตรวาทการ ส่งมาให้อ่าน เป็นต้นฉบับจากหนังสืองานศพเมื่อ 25 พฤษภาคม 2482 ก่อนเปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย (เมื่อ 24 มิถุนายน 2482) ราว 1 เดือน จะขอยกตอนต้นมาให้อ่านก่อน ดังต่อไปนี้

หัวข้อ "ประวัติศาสตร์โบราณ" มีว่า

ชาติเรามีสมัญญาว่าชาติไทย เป็นชาติใหญ่แต่โบราณนานหนักหนา

ภูมิลำเนาของเราแต่ก่อนมา อยู่ท่ามกลางพสุธาของเอเซีย

เมื่อชาติจีนรุกร้นร่นลงใต้ เข้าแย่งไทยทำกินถิ่นก็เสีย

จีนไล่ไทยเหมือนไฟไหม้ลามเลีย ไทยต้องเสียดินแดนแคว้นโบราณ

ถูกแย่งที่หนีร่นลงทางใต้ ไทยมาตั้งเมืองใหม่อย่างไพศาล

ชื่อน่านเจ้าอยู่ไปไม่ได้นาน จีนก็ตามรุกรานถึงทางนี้

เมื่อถูกรุกสุดสู้อยู่ไม่ได้ ไทยก็แตกแยกกันไปหลายวิถี

ไทยอิสาณเลื่อนลงโขงนที ไทยใหญ่หนีร่นมาอยู่สาละวิน

พวกไทยน้อยพลอยเลื่อนเคลื่อนลงมา อยู่แม่น้ำทั้งห้าทางทักษิณ

คือ ยม, น่าน, ปิง, วัง ตั้งทำกิน พวกไทยกลางยึดถิ่นเจ้าพระยา

หัวข้อ "สุวรรณภูมิ" มีว่า

ที่ตรงนี้กว้างขวางแต่ปางบรรพ์ ชื่อสุวรรณภูมิเป็นเมืองท่า

เรือสำเภาครั้งโบราณผ่านไปมา เป็นแหล่งค้าของเหล่าชาวชมพู

เคยมั่งคั่งมาแต่ครั้งพุทธกาล นามขนานว่ามีทองคำอยู่

จึงขึ้นชื่อลือเลื่องจนเฟื่องฟู ว่าแหลมทองคนรู้ทั่วกันมา

องค์พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งพระสงฆ์มาประกาศพระศาสนา

พระโสณะอุตระทั้งสองมา ประกาศพจน์บรรพชาคนแดนนี้

ชื่อสุวรรณภูมิจึงกระเดื่อง เป็นแดนทองถิ่นผ้าเหลืองเรืองศักดิ์ศรี

อันวัตถุหลักฐานนั้นยังมี คือปฐมเจดีย์ที่บูชา

คนพื้นเมืองแถบนี้ครั้งกระนั้น ก็มีอยู่หลายพันธุ์หลายภาษา

ที่รุ่งเรืองขึ้นชื่อคือละว้า ตั้งอาณาจักร์ใหญ่ๆ หลายมณฑล

ต่างปกครองตั้งแคว้นแดนนคร เป็นหลักแหล่งถาวรไม่สับสน

ประกอบการเพาะปลูกทุกตำบล ประชาชนเป็นสุขอยู่ทั่วกัน

พุทธศกตกราวพันสี่ร้อย อำนาจขอมสูงลอยเป็นหลักมั่น

ขอมเข้ายึดดินแดนแผ่นสุวรรณ ปกครองกันอยู่ได้ไม่นานนัก

เพราะมีองค์มหาราชของพะม่า ชื่ออโนรธาผู้บุญหนัก

ยกกองทัพเข้ามาตั้งหวังพำนัก แต่ก็รักษาไว้ไม่ได้นาน

พอสิ้นบุญองค์พระอโนรธา อิทธิพลของพะม่าก็ถูกผลาญ

ขอมกลับมาครอบครองอยู่อีกนาน จึงได้มีของโบราณขอมมากมาย

สำเนาต้นฉบับมีหลายสิบหน้า ขอตัดมาให้อ่านกันแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้จะยกมาให้อ่านต่อ

แต่ขอเกริ่นให้รู้ว่า ครูสถาพรจะยกวง Chamber music ของกรมศิลปากร ไปบรรเลงร้องเพลงดนตรีประวัติศาสตร์ชาติไทยชุดนี้ให้ฟังในท้องพระโรงวังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร ตอนบ่ายวันศุกร์ที่ 14 กันยายนนี้ เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ในงาน คนไทยเป็นใคร? มาจากไหน? กันแน่ เป็นพวกเดียวกับเนื้อเพลงของหลวงวิจิตรวาทการที่ยกมานี้ไหมหนอ?




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 19:12:32 น.
Counter : 737 Pageviews.  

ชนชาติไทย มาแย่งดินแดนละว้า, มลายู ฯลฯ

คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ



ถ้าเชื่อตามบทเพลงดนตรีประวัติศาสตร์ ของ หลวงวิจิตรวาทการ (พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2482 ปีที่เปลี่ยนชื่อสยามเป็นประเทศไทย) ชนชาติไทยถอยหนีจากน่านเจ้าลงทางใต้เข้าถึงดินแดนละว้า, มลายู, ขอม, เขมร ฯลฯ แล้วต้องเป็นข้าทาสของขอม จนถึง พ.ศ.1800 ถึงได้ "ตีขอม" แล้วตั้ง "นครสุโขทัย" ขึ้น ดังบทเพลงดนตรีมีดังต่อไปนี้

พวกไทยน้อยเมื่อถอยจากน่านเจ้า ก็เดินเข้าเขตต์สุวรรณภูมิใหญ่

ตั้งเป็นถิ่นหลักฐานกันต่อไป ชื่อสิบสองจุไทยทางเบื้องบน

การเคลื่อนที่ของไทยไม่หยุดยั้ง เหมือนน้ำหลั่งไหลท่วมทุกแห่งหน

ไหลเข้าแดนขอมละว้ามาปะปน กล้าประจนสู้ภัยได้เขตต์ครอง

ชั่วเวลาราวห้าหกร้อยปี ไทยทวีเพิ่มเข้าเป็นเจ้าของ

เขตต์สุวรรณภูมิใหญ่ไทยเข้าครอง เหมือนน้ำนองท่วมทั่วทุกตำบล

แดนเขมรแดนละว้ามะลายู ไทยเข้าอยู่กำกับไม่สับสน

เลือดของไทยหลั่งไหลเหมือนสายชล เข้าปะปนเปลี่ยนเลือดละว้าเดิม

เลือดของไทยเข้าไปปนเขมร ทำให้เด่นเกียรติไทยได้ส่งเสริม

เลือดเขมรปนไทยไกลจากเดิม ไทยยิ่งเพิ่มเขมรกลายเป็นไทยแท้

สมัยเดียวกับพระอโนรธา ขุนบรมไทยกล้าอำนาจแผ่

ตั้งอาณาจักร์ใหม่ของไทยแท้ ชื่อลานช้างตั้งแต่ครั้งกระนั้น

เวลาล่วงมาได้อีกไม่ช้า ก็มีแคว้นลานนาขึ้นตั้งมั่น

เชียงแสนหลวงรุ่งเรืองเมืองสำคัญ หลักไทยมั่นรวมกำลังตั้งนคร

เริ่มสมัยสุโขทัย

ไทยข้างใต้ยังอยู่ในอำนาจขอม เราต้องยอมเป็นข้าเขาไปก่อน

ถึงปีพันแปดร้อยไทยน้อยจร เข้าตีขอมตั้งนครสุโขทัย

อันนานเดิมที่กระเดื่องของเมืองนี้ ชื่อ "สยามธานี" เป็นเมืองใหญ่

ครั้นเปลี่ยนนามมาเป็นกรุงสุโขทัย ชื่อ "สยาม" หายไปจากถิ่นเรา

เนื้อความในบทเพลงของหลวงวิจิตรฯ แสดงว่าดินแดนประเทศไทยทุกวันนี้มีเจ้าของเดิมตั้งแต่ดึกดำบรรพ์คือ ละว้า, มลายู, ขอม, เขมร, ฯลฯ (พวกชาตินิยมพยายามจะบอกว่าขอมกับเขมรเป็นคนละพวก) ชนชาติไทยไม่ใช่เจ้าของเดิม แต่เป็นพวกหนีลงมาจากทางเหนือ แล้วแย่งดินแดนของเจ้าของเดิมมาเป็นของตัวสืบจนทุกวันนี้

แนวคิดของหลวงวิจิตรฯคือต้นแบบประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยที่ใช้สืบต่อมานานตราบจนทุกวันนี้ มีใช้เป็นตำราในกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงวัฒนธรรม แต่พากันแกล้งลืมสิ่งที่หลวงวิจิตรฯบอกไว้ว่าชนชาติไทยมาแย่งดินแดนของเจ้าของเดิม เช่น มลายู ฯลฯ

คำถามมีว่าสังคมไทยปัจจุบันและอนาคตจะเขียนประวัติศาสตร์ของตัวเอง อย่างหลวงวิจิตรฯ หรืออย่างอื่นที่ต่างจากหลวงวิจิตรฯ โดยมีพยานหลักฐานยืนยันหลากหลายว่าบริเวณประเทศไทยเป็นของ "ประชาชาติ" หรือ "นานาชาติพันธุ์สุวรรณภูมิ" มาแต่ดึกดำบรรพ์ไม่น้อยกว่า 3,000 ปีมาแล้ว คนไทยและความเป็นไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของประชาชาติหรือนานาชาติพันธุ์สุวรรณภูมินั่นเอง




 

Create Date : 13 กันยายน 2550    
Last Update : 13 กันยายน 2550 19:07:46 น.
Counter : 727 Pageviews.  

ดนตรีไทย ในสังคมอำนาจควบคุมของ"รัฐ"

คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ




ปี่พาทย์เสภา วงษ์ศิษย์สุพจน์ โตสง่า โดย ขุนอิน โตสง่า ในงานเสียงของแผ่นดิน สุดยอดเสภา สยามประเทศไทย ที่ท้องพระโรง วังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อวันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม 2550


เถรวาท เน้นให้ท่องจำเพื่อสวดปาฏิโมกข์ (เหมือนนกแก้วนกขุนทอง) แนวทางสืบทอดวิชาความรู้ก็ได้จากเถรวาทจนเป็นปรัชญาการศึกษาไทยทุกวันนี้ (ปากว่าเปลี่ยนแล้ว แต่วิธีปฏิบัติยังไม่เปลี่ยน) ส่งผลให้ดนตรีและนาฏศิลป์ไทยอยู่ในคอกคับแคบของอำนาจรัฐโดยไม่รู้ตัว ดังจดหมายของคุณอติภพที่เขียนมาบอกต่อไปนี้

ประกวด Young Thai Artist Award โดยเครือซิเมนต์ไทยปีนี้ของสาขาดนตรีแปลกออกไปกว่าทุกปีตรงที่กำหนดให้ผู้เข้าประกวดต้องสร้างงานผ่านวงดนตรีไทยเท่านั้น โดยมีหลักการคร่าวๆ ให้เป็นดนตรีแนวทดลอง (หรือ experimental music) เล่นสด และสามารถผสมวงได้อย่างหลากหลายไม่ต้องคิดถึงเรื่องขนบใดๆ ทั้งสิ้น จะมียกเว้นอยู่ก็แต่ห้ามใช้เครื่องดนตรีไฟฟ้าเท่านั้น

แต่หลังจากที่รอแล้วรอเล่า ผู้เข้าประกวดก็มีปรากฏให้เห็นให้ฟังอยู่เพียง 6 วงดนตรีเท่านั้น และปรากฏว่ามีบางวงต้องโดนตัดสิทธิเสียตั้งแต่แรกเริ่มเพราะทำผิดกติกา คือใช้การสังเคราะห์เสียงและมีการตัดต่อบทเพลงโดยใช้กลวิธีทางคอมพิวเตอร์ ทำให้เหลือวงดนตรีที่ผ่านเข้ามาจริงๆ เพียงสามวงเท่านั้น!

สิ่งนี้สะท้อนอะไรให้เราเห็น? มันไม่ได้กำลังบอกเราอยู่หรือ ว่าเรากำลังเผชิญกับกำแพงขนาดมหึมาที่ขวางกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเยาวชนดนตรีไทย จากข้อมูลวงใน ทราบกันอยู่ว่าครูดนตรีไทยหลายท่านออกคำสั่งห้ามมิให้ลูกศิษย์ส่งเพลงเข้าประกวดในงานนี้ เพราะมันเป็นการสร้างงานนอกครู! นอกขนบ!

บางคนอาจมองปัญหาว่าเกิดจากการประกวดนี้เองแหละที่จับประเด็นล้าหลังไปหน่อย มันหมดสมัยแล้วกับการไปรักษาและจับยึดความเป็นไทย

นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดโดยสิ้นเชิง เพราะการตั้งโจทย์การประกวดที่คิดขึ้นมานี้มิได้เป็นความพยายามที่จะรักษาความเป็นไทยเลย และแท้ที่จริงแล้วกลับเป็นตรงกันข้าม คือมันพยายามที่จะทุบทำลายความเป็นไทยต่างหาก มันเป็นการรื้อสร้างความเป็นไทยแบบเดิมๆ เพื่อตั้งคำถามกับตัวตนของเราทุกคนว่าอะไรคือความเป็นไทย และเปิดเส้นทางใหม่ให้เราได้เรียนรู้และคิดค้นร่วมกันต่างหาก!

การที่บอกให้ใช้เครื่องดนตรีไทยทำงานทดลองมันก็บอกอยู่แล้วว่าให้ทำอะไรมาก็ได้ ที่มันไม่เหมือนเดิม! ที่มันไม่ใช่ขนบ! มันฉีกทำลายความเชื่อเก่าๆ ตั้งแต่แรก เหมือนกับโยนขวานให้นักเดินทางนั่นแหละ โยนให้เขาเฉยๆ เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสได้บุกป่าฝ่าดงที่มันรกชัฏนั้นได้ด้วยตัวเอง

แต่ผลปรากฏว่านักเดินทางส่วนมากกลับไม่เก็บขวานเล่มนั้นขึ้นมา บางคนเก็บขึ้นมาแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปในป่า ก็พ่อแม่ครูบาเขายังไม่กล้าเข้าไป แล้วตัวเขาเองจะไปกล้าเข้าไปได้อย่างไรเล่า? เขาคงคิดอย่างนี้ ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดโดยสิ้นเชิง

ก็ ณ ตรงนี้ตรงที่เขายืนอยู่ตอนนี้น่ะ เมื่อก่อนมันมิใช่ป่าทึบหรอกหรือ? ทุกหนทุกแห่งเคยเป็นป่าทึบทั้งนั้นแหละ คนเราล้วนบุกเบิกก่อร่างสร้างตัวมาด้วยการบุกป่าฝ่าดงทั้งนั้น อาจจะไม่ใช่รุ่นพ่อรุ่นแม่เขาครูบาเขาหรอกที่บุกเบิกที่ดินผืนนี้ แต่ปู่หรือทวดเขาต่างหากที่บุกเบิกที่ดินผืนนี้มาก่อน และมันก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะอยู่ติดที่กันไปชั่วโลกดับ ชีวิตต้องเคลื่อนที่ ดนตรีต้องเคลื่อนไหว และใจของนักเดินทางต้องกล้าพอ!

มันเป็นเรื่องน่าตกใจที่กระทั่งแวดวงศิลปะยังมีสภาพเป็นสังคมแห่งการควบคุม การควบคุมที่ร้ายกาจที่สุดนั้นไม่ผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในนวนิยายเรื่อง The Naked Lunch ของ William Burroughs หรือภาพยนตร์เรื่อง Brazil ของ Terry Gilliam มันเป็นสังคมที่สถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จเหนือสมาชิก มันเป็นสังคมที่คนทุกคนยินยอมพร้อมใจกันหยุดนิ่งอยู่กับที่!

หรือว่าสำหรับบ้านนี้เมืองนี้แล้วสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องปกติ? อติภพ ภัทรเดชไพศาล

ขอให้ย้อนขึ้นไปอ่านย่อหน้าแรกอีกครั้ง แล้วจะทักท้วง-ถกเถียง หรือจะด่าทอก็ได้




 

Create Date : 05 กันยายน 2550    
Last Update : 5 กันยายน 2550 22:25:33 น.
Counter : 521 Pageviews.  

ระนาดมาจากกระบอกไม้ไผ่ เป็นมรดกร่วมของชาติพันธุ์สุวรรณภูมิ

อลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ




ระนาด มีขึ้นในวัฒนธรรมไม้ไผ่ในชุมชนหมู่บ้านยุคแรกสุดของสุวรรณภูมิและประเทศไทยราว 5,000 ปีมาแล้ว เริ่มต้นจากกระบอกไม้ไผ่ที่เรียกกันสมัยหลังสืบจนปัจจุบันว่า เกราะ โกร่ง กรับ ยังพบร่องรอยทั่วไปในหมู่ชนเผ่าชาติพันธุ์ของอุษาคเนย์ โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนใต้ลุ่มน้ำแยงซีเกียง (ทางภาคใต้ของจีน) ลงไปถึงหมู่เกาะฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย แพร่หลายผ่านมหาสมุทรอินเดียถึงแอฟริกาตะวันออก

ฆ้องวง มีขึ้นจากวัฒนธรรมสัมฤทธิ์ ราว 3,000 ปีมาแล้ว เริ่มจากกลองทอง (มโหระทึก) มีแหล่งผลิตอยู่ทางมณฑลยูนนาน-กวางสี-กวางตุ้งบริเวณภาคใต้ของจีน แล้วแพร่กระจายทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ลงไปถึงหมู่เกาะ หลังจากนั้นย่อส่วนเป็นฆ้อง เรียกวัฒนธรรมฆ้อง (คำว่า ฆ้อง กับ ระฆัง มีรากอยู่ในตระกูลชวา-มลายู เป็นคำเดียวกัน คนโบราณเรียกระฆ้องระฆัง) ต่อมาเอาฆ้องมาเรียงลำดับเสียงอย่างระนาด แล้วเรียกฆ้องวง มีหลักฐานเก่าสุดอยู่ในภาพสลักที่ปราสาทนครวัด ราว พ.ศ.1650 แสดงว่ามีฆ้องวงก่อนหน้านี้หลายร้อยปีแล้ว

ระนาดเป็นสมบัติของสามัญชนชาวบ้านตั้งแต่ 5,000 ปีมาแล้ว ส่วนฆ้องวงเป็นสมบัติของชนชั้นสูงมีอำนาจ ทำเลียนเสียงระนาด มีร่องรอยในภาพสลักที่บุโรพุทโธในชวาที่ต่อมาคือกาเมลัน แรกมีฆ้องใบเดียวเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ต่อมาเอาฆ้องใบเดียวเรียงกันเรียกฆ้องวง ควรมีขึ้นหลัง พ.ศ.1000 เมื่อแรกมีรัฐ เช่น ทวารวดี (ศรีวิชัย), เจนละ, ฟูนัน ฯลฯ

ระนาดของสามัญชน กับ ฆ้องวงของชนชั้นสูงผู้มีอำนาจ เป็นสมบัติร่วมของชนเผ่าชาติพันธุ์สุวรรณภูมิไม่น้อยกว่า 5,000-3,000 ปีมาแล้ว ยุคนั้นยังไม่มี "ชาติ" จึงยังไม่มีชาติไทยหรือชาติอื่นๆ และยังไม่มีชื่อชาติพันธุ์ว่าคนไทย หรือคนอื่นๆ ฉะนั้นต้องยกขึ้นอย่างรวมๆ กว้างๆ ว่าระนาดกับฆ้องวงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมร่วมของสุวรรณภูมิ มีพัฒนาการขึ้นในภูมิภาคอุษาคเนย์ แล้วแพร่กระจายไปถึงแอฟริกาตะวันออก ชายฝรั่งมหาสมุทรอินเดีย

สุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของไทย แต่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชอาณาจักรสยามแห่งแรกสืบเนื่องจากรัฐทวารวดีที่ละโว้หรือลพบุรี ฉะนั้นถ้าจะมีระนาดกับฆ้องวงก็มีในบ้านเมืองลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างก่อน คือทางละโว้-อโยธยาศรีรามเทพนคร มีพร้อมกับรัฐอื่นๆ เช่น รัฐกัมพูชา (เขมร) รัฐชวา (อินโดนีเซีย) ฯลฯ

ระนาดยุคแรกสุดที่ขึงบนรางมีรางเดียว ยังไม่เรียกแยกเป็น 2 อย่าง ว่าระนาดเอกกับระนาดทุ้มเช่นปัจจุบัน แต่ระนาดเก่าสุดคือระนาดทุ้ม ลูกระนาดทำจากไม้ไผ่ ครั้นถึงรัชกาลที่ 2 มีเทคโนโลยีก้าวหน้าทำลูกระนาดจากไม้เนื้อแข็ง เช่นไม้ชิงชัน ทำให้เรียกระนาดเอกขึ้นมาเป็นครั้งแรก แล้วลดฐานะระนาดเก่าสุดเป็นระนาดทุ้ม

เมื่อระนาดเป็นสมบัติของไพร่บ้านพลเมือง จึงมีพัฒนาการอยู่ในชุมชนหมู่บ้านมาแต่ดึกดำบรรพ์ ตีประโคมละครชาวบ้าน (ละครนอก) ก่อน แล้วราชสำนักกรุงศรีอยุธยาเอาละครชาวบ้านไปปรุงเป็นละครใน เลยยกระนาดตามไปกับละครด้วย

ระนาดเทวดา เป็นคำยกย่องให้สมญาครูบุญยงค์ เกตุคง ส่วนระนาดน้ำค้าง เป็นคำยกย่องให้สมญาครูสุพจน์ โตสง่า (พ่อแท้ๆ ของขุนอิน โตสง่า)




 

Create Date : 03 กันยายน 2550    
Last Update : 3 กันยายน 2550 19:03:18 น.
Counter : 879 Pageviews.  

มวยไท มวยสยาม มีมาแต่ใด?

มวยไท มวยสยาม มีมาแต่ใด?

ก็ต้องถามว่า คนไทยมาจากไหน? คนไทยหมายถึงใคร? อะไรทีไหน? อย่างไร? คำอธิบาย ตายตัวหรือสำเร็จรูปมัก ขึนอยู่กับ"ภูมิหลัง" หรือ"บูมหลัง"ของผู้อธิบาย (ตามแล้วรสนิยมและความชอบส่วนตัวที่อยากให้เป็น) ที่มีต่างกันมากมายหลายหลาก

แต่ความจริง คำว่า "ไทย" ไม่ใช้เชือชาติ เพราะเชือชาติบริสุทธิไม่มีจริงในโลก

และไม่ใช้ ชือชนชาติมาแต่แรก เพิงมาสมมุติเรียก ภายหลังในช่วงใดในช่วงหนึงของประวัติศาสตร์


มไม่เชือว่ามีเชือชาติไทยบริสุทธิ์ เพราะแม้จะมีชือเรียก ว่า ไต ไท ไทย แต่ชือเหล่านี้ก็มิได้มีความหมายทางเชือชาติ หากเป็นชือเรียกทางวัฒนธรรมเช่นเดียวกับคำว่า สยาม ลาว มอญ ขอม

เกียวกับคำว่า ขอม (ก่อนพุทธศตวรรษที 20) ก็มิใช้ชนชาติ หากเป็นชือเรียกทางวัฒนธรรม ทีมีขอบเขตเปลี่ยนสลับไปมาระหว่างลุ่มแม่น้ำ เจ้าพระยาและกลุ่มแม่นำโขง ทั้งในแง่ภาษาก็ยังหาที่มาและความหมายแท้จริงไม่ได้ จนกระทั้งบางทีก็ดูเสมือนหนึงจะมีรากแก้วแถวเดียวกันกับคำว่า "สยาม"

กรณีประเทศไทย แต่เดิม มา ดินแดนประเทศไทยเรียกว่า "สยาม" เป็นชือทีคนภายนอก เช่น จีน กัมพูชา และชาวตะวันตก เรียกขานมาช้านาน และเรียกประชาชน พลเมืองว่า "ชาวสยาม" เรือยมา ในขณะทีบางกลุ่มโดยเฉพาะ ชนชันสูงและชนชั้นปกครองเรียกตัวเองว่าเป็น "คนไทย" โดยมี "ภาษาไทย" เป็นภาษากลาง หรือภาษาสำคัญทีใช้สือสารกันในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้ทึกทักว่าคนทั้งหมดของประเทศเป็น "คนไทย" และบ้านเมืองเป็น "ประเทศไทย" หากยังคงเรียกกันว่าชาว "ชาวสยาม"และ เมืองสยาม หรือ ประเทศสยาม เรื่อยมา


ครั้น ถึงสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ก็เริมมีปัญหา เมือรัฐบาลสมัยนี้ปลุกระดม ความรู้สึกชาตนิยม แล้วให้เปลียน ชือประเทศ "สยาม" เป็นประเทศ "ไทย "หร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์ของประเทศใหม่คือให้เน้นความสำคัญ ของ "ชนชาติไทย" เป็นหลักโดยไม่ให้ความสำคัญของดินแดนและผู้คนทีเป็นขาวพื้อนเมืองดั้งเดิมรวมทั้ง ไม่นำพาต่อกลุ่มชนชาติพันธุ์อื่นๆ ทีผ่านมาเข้าบนเส้นทางประวัติศาสตร์ เช่น จีน มอฐ เขมร ลาว ลัวะ ละว้า ข่า ข้อย ญีปุ่นแขก มาลายู ทีกลายเป็นชาวสยามหรือคนไทยในทีสุด


ผมยังจำได้ ว่ามีบางเวปไซด์ศิลปการต่อสู้ ได้เขียนประวัติศาสตร์ แบบขอโทษ เชือชาตินิยมล้าหลัง คลั่งชาติ (โดยใครก็ไม่รุ) ให้พวกรสนิยมเดียวกัน ได้เสพสม เปะไว้ทีเวปแล้วมาแก้ไข้เอาต้อนหลังผมจึงประเมิน ได้ว่าพวกนี้แนวความคิดเป็นอย่างไร

ประวัติศาสตร์แบบ เชื้อชาตินิยมล้าหลัง -คลั่งชาติ ทีเกิดขึ้นใน สมัย จอมพล ป พิบูลสงคราม เป็นอย่างไร

คือยังคงเชือถือและให้ความสำคัญว่าประวัติศาสตร์ของประเทศไทย คือประวัติการเคลือนย้าย ถูกรุกไล่ ของชนชาติไทยจากดินแดนประเทศจีนเข้ามาสร้างบ้านแปลงเมืองในดินแดนไทย แล้วรบพุ่งขับไล่ชนทีเป็นเจ้าของมาแต่เดิม เช่น มอย ขอม และอื่นๆๆ ออกไปจึงเกิดอาณาจักรของคนไทยขึ้น เกิดอาณาจักร ต่างๆๆขึ้น

ผลทีตามมาของการลบชือประ ไทยใส่แทน ก็คือทให้เข้าใจว่า ประเทศไทย เป็นประเทศใหมเพิ่งเกิดเมือพุทธ สตวรรษที 19 หรือหลัง1800 ลงมาเท่านั้น

ต่ทีสำคัญทีสุดก็คือ ทำให้บุคทั้งหลายในประเทศไทยปฏิเสธความเป็นบรรชนของชนกลุ่มอื่นๆ ไม่ว่า จะเป็นมอญ เขมร จีน ลาว ลัวะ ละว่า ข่า ข้อย ญีปุ่น และ อื่นๆๆ เช่น "แขก"ทีเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนนี้ช้านาน จนเป็นบรมครู ของเรา ไม่ว่า จะเป็น โขน ลิเก มวยไทย ฤษีดัดตน การแพทย์แผ่นโบราณ อาหารไทย ดนตรี ฯลฯ และเชือไหมชาติพันธ์ทีกล้าวมามีลูกหลานเต็มเมือง และดูเหมือนจะมีจำนวนมากว่า ชาติพันธุ์ ทีเป็นชนชาติไทยเสียอีก

นไทย ก็เหมือนคน ในโลกนี้ ครับ มีมาจากแม่(ไมโทคอนเดรีย "อีฟ)เดียวกัน มีจุดตั้งต้นที เอธโอเปีย ทวิปแอฟริกา เชือว่ามนุษย์ บริสุทธิใสปิ้งเกิดขึ้นเมือ 1แสนหรือ 2แสนปีก่อน เรียนว่ามนุษย์โฮโม.เซเปี้ยนส์

แต่การทีคนเราเดินทางมาจากแฟริกามายังสุวรรณภูมิได้ยังไงนั้น ก็เป็นเรืองมืดหมน เกินกว่าจะหาลัฐานมาอ้างอิ้งได้ แต่เราได้ ได้พบ บรรพบุรุษของเราทีมีลักษณะทีแตกต่างกัน อย่างกว้างๆ 3 กลุ่มด้วยกันคือ "มองโกลอยด์" "ออสโตรลอยด์" และ นิโกรอยด์(เงาะป่า)

่ก็มีตัวอย่างหนึงอย่างเห็นได้ชัด อย่างเงาะป่าเป็นรูปแบบหนึ่งของบรรพบุรุษดังเดิมของเรา ทีเดินทางมาจากอแฟริกา ไม่ทำมาหากินเป็นหลักแหล่ง อพยพเคลือนย้ายมา จนถึงประเทศไทย และกระจายไปอยู่ตามภูมิภาค ในแถบนี้ มักพบเห้นในภาคใต้ และแน่นอน อย่างชัดเจนว่า คนพวกนี้ ได้ประสมข้ามเผ่าพันธ์กันก่อนมีประวัติศาสตร์!!!!

มีหลักฐานว่ามีมนุษย์ตั้งแต่ ในยุคน้ำแข็งแล้วเมือหลายหมืนปี ก่อน จากเครืองมือหิน โครงกระดูกมนุษย์และ ฯลฯ มีการเปลียนแปลงเกิดขึ้นจากการทีไม่หลักแหล่งทีอยู่อาศัยแน่นอนยังชีพด้วยการ เคลือยย้าย หาอาหารไปเรือยๆๆ(คล้ายกะผีต้องเหลืองนั้นและ) ในสุด ก็สามารถแพะปลูกเองได้ จากทีราบลุ่มริมแม่น้ำท่วมถึง มนุษย์จึงสามารถควบคุมอาหารเองได้เพียงพอต่อความต้องการ จาการขยายตัวของ"กลุ่มชน" จนค่อยๆๆกลายเป็นชุ่มชน หมู่บ้านทีมีระเบียบแบบแผนนั้น ขณะนี่มีหลักฐานเก่าทีสุดอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมือไม่น้อย กว่า 5000 ปีมาแล้


วเมือ 3000ปีมาแล้ว เกิดชุมชนหมู่บ้าน ในทุกภูมิภาค มีการแลกเปลี่ยเทคโนโลยี ถลุ่งเหล็ก และหล่อโลหะ ทำเครืองมือเครืองใช้ เครืองประดับ ผู้คน ที่ต่อ ไปทีจะเรียกว่าชาวสยามนั้นได้มีการติดต่อกับบ้านเมืองอื่น ทีอยู่ห่างไกลออกไป เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า และอินโดนิเซีย ฯลฯ

จากการติดสัมพันธกับกลุ่มชนในบ้านเมืองดังกล่าวเป็นเหตุให้ลักษณะสังคม ในดินแดนสยาม เปลียนจากระดับ ชุมชน หมู่บ้านทีละเล็กทีละน้อย จนกลายเป็น เมือง และมีการปกครองแบบ เมือง โดยมีหัวหน้าปกครอง โครงสร้างสังคมมีการแบ่งชนชั้น เกิดไพร หรือทาส ซึงต่างจากความเชือเดิมว่าไทย ไม่เคยมี ทาส พึงเริม มาจากขอมใน สมัย อยุธยา ซึงมันไม่จริงเลย ไทยเรามีทาสมาตั้งนานแล้ว

เริมต้น พุทธกาล ประมาณ2500ปี บรรดาผู้คนที่อยู่บนทีสูงเคลือนย้ายติดต่อมาทำมาหากิน กับกลุ่มราบลุ่มมากขึ้นมีการ แต่ก่อนและมีความหนาแนนของชุ่มชนมากขึ้น

พัฒนาช่วงเวลาต่อไปจากนี้ จะเริมเห็นกลุ่มชนทีอาศัยอยู่ในภาคใต้ และกลางจะมีความเจริญกว่าภาคอื่นๆ เพราะได้ติดต่อกับชาวต่างประเทศทางทะเลประกอบกับ ทีราบลุ่มในภาคกลางมีความอุ่มสมบูรณ์กว่าทีอืนเป็นแรงดึงดูดให้คนตั้งหลักแหล่งมากขึ้น "โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มชนจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" และ"เหนือ"

เพราะเหตุนีเองผมจึงไม่เชือว่าคนไทยมีถิ้นกำเนิดอยู่ทีใดทีหนึงหรือบริเวณใดบริเวณหนึง แต่เชือว่าความเป็นไทยต้องเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรมของผู้คนหลายหมู่เหล่าและเผ่าพันธ์ทีประสมประสานอยู่ด้วยกันในภูมิภาคอุษาคเนย์มาแต่โบราณ กาลจนแยกออกจากกันไม่ได้

ผมจึงไม่เชือว่า มวยไทย ไม่มี่สวนประสมของ มวยลาว มวยเจ็ก มวยเจิง เขมร มอญ เขมร แขก

ฯลฯอยู่ด้วย และก็ไม่เชือด้วยว่าชนชาติเปล่านั้น จะไม่รูปแบบของเรา แฟ้งอยู่




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2550    
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 17:52:03 น.
Counter : 571 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

win_mma
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add win_mma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.