Group Blog
 
All Blogs
 
พลิกประวัติศาสตร์แคว้นสุโขทัย แล้วชำระประวัติศาสตร์ไทย ตามหลักฐานจริงๆ เสียทีเถอะ

วันที่ 04 มกราคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10891

คอลัมน์ สุวรรณภูมิ สังคมวัฒนธรรม






วัดมหาธาตุ ศูนย์กลางของรัฐสุโขทัย


ปรับปรุงจากบทนำหนังสือพลิกประวัติศาสตร์แคว้นสุโขทัย รวมบทความทางวิชาการของ นักวิชาการหลายท่าน เช่น รศ. ดร.ธิดา สาระยา, รศ. ศรีศักร วัลลิโภดม, ศ.ดร. นิธิ เอียวศรีวงศ์, ฯลฯ, สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2540

จนถึงทุกวันนี้ ประวัติศาสตร์ไทยของทางราชการยังยึดถืออย่างมั่นคงว่า ถิ่นกำเนิดของคนไทยอยู่ทางทิศเหนือขึ้นไปตั้งแต่เทือกเขาอัลไตถึงอาณาจักรน่านเจ้า เหตุที่ต้องอพยพหนีลงมาจากน่านเจ้าเพราะถูกกองทัพจีนรุกราน เมื่อเข้ามาถึงดินแดนประเทศไทยทุกวันนี้คนไทยต้องตกเป็นทาสเขมรกับมอญก่อน ภายหลังจึง "ปลดแอก" จากเขมร แล้วสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของไทยเมื่อราว พ.ศ.1800 ประวัติศาสตร์ไทยอย่างนี้ยังเผยแพร่ทั่วไปทั้งในโรงเรียนและนอกโรงเรียนแล้วบังคับให้เชื่อถืออย่างศิโรราบ

แต่น่าเสียดายที่หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีไม่สนับสนุนให้เชื่อถือตามที่ทางราชการของประเทศไทยเผยแพร่ได้เพราะ

ประการแรก อาณาจักรน่านเจ้าไม่ใช่ของคนพูดภาษาตระกูลไทย แต่เป็นของกลุ่มชนพื้นเมืองที่พูดภาษาตระกูลอื่นๆ เช่น จีน-ทิเบต หรือพม่า-ทิเบต ซึ่งอาศัยอยู่บริเวณนั้นมาแต่ดั้งเดิม ถ้าจะมีคนพูดภาษาตระกูลไทยอยู่บ้างก็เป็นพวกที่อยู่ตามพรมแดนแล้วถูกต้อนไปเป็นข้าทาสใช้แรงงานซึ่งมีอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ประการที่สอง กองทัพจีนยึดอาณาจักรน่านเจ้าได้เมื่อราว พ.ศ.1797 มีจารึกที่น่านเจ้าระบุว่า ฝ่ายจีนตั้งเชื้อสายเดิมให้เป็นเจ้าปกครองบ้านเมืองต่อไปในชื่ออาณาจักรต้าหลี่สืบเนื่องต่อมาอีกนาน ถ้าหากคนไทยหนีจากอาณาจักรน่านเจ้าลงมาจริงก็ไม่น่าจะผ่านดินแดนอาณาจักร

คุนหมิงที่เมืองคุนหมิงลงมาได้ และไม่น่าจะผ่านดินแดนโยนกบริเวณเชียงราย-พะเยา สมัยโบราณที่กลุ่มชนใหญ่ปกครองตนเป็นอิสระมาได้อีก และถึงจะผ่านมาได้ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างแคว้นสุโขทัยได้ในปี พ.ศ.1800 ซึ่งหลังจากอาณาจักรน่านเจ้าแตกเพียง 3 ปีเท่านั้น ฟังแล้วเป็นเรื่องตลกมากกว่า

ประการที่สาม ถ้าคนไทยที่อพยพลงมาจากน่านเจ้าแล้วมาสร้างกรุงสุโขทัยจริงๆ ทำไมศิลาจารึกสมัยสุโขทัยซึ่งมีหลายหลักไม่เคยเอ่ยถึงอาณาจักรน่านเจ้าเลย ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่น่าสงสัยก็ยังไม่พูดถึงบ้านเมืองเดิมที่ยิ่งใหญ่อย่างอาณาจักรน่านเจ้า

กล่าวโดยสรุปแล้ว เรื่องเทือกเขาอัลไตกับเรื่องน่านเจ้า เป็น "นิยายอิงประวัติศาสตร์" ที่สังคมไทยยุคที่ถูกปกครองโดย "เผด็จการคลั่งชาติ" ใช้เป็นเครื่องมือในการปกครองเท่านั้น ไม่ใช่ประวัติศาสตร์ที่น่าเชื่อ แต่เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าคิด ว่าทำไมพวกเผด็จการต้องเขียนประวัติศาสตร์ไทยอย่างนั้น? ประวัติศาสตร์อย่างนั้นช่วยให้ปกครองประชาชนได้มากน้อยขนาดไหน? แล้วส่งผลร้ายต่อสังคมไทยอย่างไรบ้างทั้งในยุคนั้นและยุคนี้?

แต่ก็ยังมีคำถามว่าถ้าเช่นนั้น คนไทยมาจากไหน

คำอธิบายเรื่องนี้ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจผู้คนชนเผ่าในภูมิภาคอุษาคเนย์สมัยโบราณ
แผนที่ประเทศไทยแสดงพื้นที่ภาคกลาง ที่ราบลุ่มน้ำเจ้าพระยา






คนไทยอยู่ที่นี่ ที่อุษาคเนย์

บริเวณที่เป็นภาคใต้ของประเทศจีนทุกวันนี้ สมัยโบราณไม่ใช่ดินแดนจีน เพราะเอกสารจีนโบราณหลายฉบับระบุตรงกันว่า เป็นถิ่นฐานของพวก "ป่าเถื่อน" มากมายหลายเผ่าพันธุ์ รวมทั้งพวกพูดตระกูลภาษไทยด้วย

จดหมายเหตุ "หมานซู" ของฝันฉัว แต่งเป็นภาษาจีน เมื่อ พ.ศ.1410 มีความโดยสรุปว่า ตั้งแต่บริเวณมณฑลยูนนานลงมาถึงภูมิภาคอุษาคเนย์ปัจจุบัน ถือเป็นดินแดนเดียวกันของพวกหมาน ไม่ใช่ของพวกจีนหรือฮั่นที่เพิ่งขยายอำนาจลงมาครอบงำปราบปราม แล้วผนวกเอาผู้คนและดินแดนไปเป็นของจีนในสมัยหลังๆ

หมาน-เป็นชื่อโบราณที่จีนใช้เรียกมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว หมายถึงชนชาติต่างๆ ทั้งหลายที่ไม่ใช่จีนหรือฮั่น และล้วนอยู่ทางถิ่นใต้ คือตั้งแต่มณฑลยูนนาน ทุกวันนี้จนถึงฝั่งทะเลของอุษาคเนย์โดยไม่ระบุเผ่าพันธุ์ และมักมีความหมายดูถูกว่าเป็นพวก "ป่าเถื่อน"

บริเวณภาคใต้ของจีนตั้งแต่มณฑลยูนนานและดินแดนใกล้เคียงกับบริเวณที่เป็นอุษาคเนย์ มีรูปแบบทางวัฒนธรรมเกี่ยวข้องกันมาช้านานตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์โดยเฉพาะยุคโลหะตอนปลายที่พบโบราณวัตถุทำด้วยสำริดมีรูปแบบคล้ายคลึงกัน เช่น กลองทองหรือมโหระทึก แสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อไปมาหาสู่กันทั้งทางบกและทางทะเล

สรุปว่า บริเวณภาคใต้ของจีนนับตั้งแต่มณฑลยูนนาน รวมทั้งดินแดนใกล้เคียง เช่น มณฑลกวางสีกับมณฑลกวางตุ้ง ต้องนับเป็นส่วนหนึ่งของภูมิภาค "อุษาคเนย์สมัยโบราณ" ที่มีดินแดนประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านรวมอยู่ด้วย

และเป็นที่รู้ว่า "ชนชาติไทย" ก็คือพวกพูดตระกูลภาษาไทยที่ถูกจัดเป็นพวก "ป่าเถื่อน" พวกหนึ่งอยู่ในภูมิภาคนี้มาแต่โบราณด้วย ฉะนั้น "ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย" จึงไม่ได้มีขอบเขตจำกัดอยู่ใน "กรอบ" ทางประวัติศาสตร์ของประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ แต่มีอาณาบริเวณกว้างขวางแผ่ไพศาลจนเป็นส่วนหนึ่งของ "ประวัติศาสตร์ภูมิภาคอุษาคเนย์สมัยโบราณ"

ภูมิภาคอุษาคเนย์สมัยโบราณ นับตั้งแต่มณฑลยูนนานและดินแดนใกล้เคียงลงมาถึงชายทะเลเป็นถิ่นฐานของชนเผ่า "ร้อยจำพวก" หรือ "ร้อยพ่อพันแม่" หมายถึงมีจำนวนมากเป็นร้อยๆ เผ่าพันธุ์จนนับไม่ถ้วน มีทั้งพวกมอญ-เขมร พูดพม่า-ทิเบต หรือจีน-ทิเบต พูดม้ง-เย้า พูดไทย-ลาว หรือจ้วง-ต้ง และ ฯลฯ

เอกสารจีนโบราณเมื่อประมาณ 3,000 ปีมาแล้ว เรียกรวมๆ พวกนี้ว่า "ไป่เยะ" แปลว่า "เยะร้อยเผ่า" หรือ "เยะร้อยจำพวก" หรือ "เยะร้อยพ่อพันแม่" นั่นเอง

จะเห็นว่าถิ่นฐานของชนชาติไทยกระจายอยู่ตามลุ่มน้ำสำคัญทางตอนใต้ของจีน หรือทางตอนเหนือของภูมิภาคอุษาคเนย์ แล้วเคลื่อนย้ายไปมาผสมกลมกลืนกับกลุ่มชนพื้นเมือง

แต่การ "เคลื่อนย้าย" ไม่ใช่ "อพยพ" แบบถอนรากถอนโคนจากที่เดิมสู่ที่ใหม่ หากเป็นเพียงการเคลื่อนย้ายของผู้คนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ผู้คนส่วนใหญ่ยังกระจัดกระจายอยู่ที่เดิม

ถิ่นฐานของชนชาติไทยกระจายอยู่ใกล้แหล่งอารยธรรมดั้งเดิมของภูมิภาคอุษาคเนย์สำริด-เหล็ก ทางภาคใต้ของจีนปัจจุบัน และเป็นอารยธรรมร่วมกับคนอีกหลายชนชาติที่มีหลักแหล่งในที่ราบลุ่มเดียวกัน



ฉะนั้น ร่องรอยทางวัฒนธรรมที่พบตามแหล่งต่างๆ จึงไม่ใช่ของชนชาติไทยเท่านั้น หากเป็นของคนหลายชนชาติ แต่มีชนชาติไทยเป็นกลุ่มใหญ่เพราะตั้งถิ่นฐานกระจายอยู่กว้างขวางรวมอยู่ด้วย ทำให้มีการยอมรับ "ภาษาไทย" ของชนชาติไทย ที่ไม่ซับซ้อนและอ่อนไหวต่อความเปลี่ยนแปลง จึงมีศักยภาพเป็นภาษาในการสื่อสาร

คนหลายชนชาติที่ใช้ภาษาในการสื่อสารเหล่านี้ ต่อมาถูกเรียกจากคนกลุ่มอื่นว่า "สยาม" เมื่อเคลื่อนย้ายมาประสมกลมกลืนกับคนพื้นเมืองแถบลุ่มแม่น้ำโขงและลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา คนทั้งหมดที่สื่อสารกันด้วยภาษาไทยจึงถูกเหมารวมเรียกว่า "สยาม" ไปด้วย และในทางกลับกันพวกสยามที่ประกอบด้วยคนหลายเผ่าพันธุ์ก็ถูกเรียกว่า "ไทย" เพราะพูดจาสื่อสารด้วยภาษาไทย

ด้วยเหตุดังกล่าวจึงเรียกคนกลุ่มนี้ว่า "ไทยสยาม" เพื่อให้แตกต่างจาก "ไทยน้อย" และ "ไทยใหญ่" เพราะในระยะเริ่มแรกพวก "ไทยสยาม" คงเป็นชนชาติไทยพวกเดียวกับ "ไทยน้อย" และ "ไทยใหญ่" แต่เมื่อประสมกลมกลืนกับบรรดาชนเผ่าและชนชาติพื้นเมืองดั้งเดิมกับพวกอื่นๆ ที่เคลื่อนย้ายเข้ามาใหม่แล้ว พวก "ไทยสยาม" จึงแตกต่างจาก "ไทยน้อย" และ "ไทยใหญ่"

แม้คนบางกลุ่มโดยเฉพาะชนชั้นสูงและชนชั้นปกครองจะเรียกตนเองว่า "คนไทย" โดยมี "ภาษาไทย" เป็นภาษาสำคัญเพื่อการสื่อสารภายในประเทศ แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ทึกทักว่าคนทั้งหมดของประเทศเป็น "คนไทย" และบ้านเมืองเป็น "ประเทศไทย" หากยังคงเรียกกันว่า "ชาวสยาม" และ "กรุงสยาม" หรือ "ประเทศสยาม" เรื่อยมา

ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เปลี่ยนชื่อ "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" พร้อมกับสร้างประวัติศาสตร์ของประเทศขึ้นมาใหม่ คือให้ความสำคัญเฉพาะ "ชนชาติไทย" เป็นหลัก แต่ไม่ให้ความสำคัญเรื่อง ดินแดนและผู้คนซึ่งประกอบด้วยชาวพื้นเมืองดั้งเดิมและกลุ่มชนชาติพันธุ์อื่นๆ ที่เข้ามาประสมกลมกลืนจนกลายเป็นชาวสยามหรือ "คนไทย" สืบมาถึงปัจจุบัน

ฉะนั้น บรรพชนของ "คนไทย" ทุกวันนี้คือ "ชาวสยาม" ที่มีทั้งเม็ง-มอญ ขอม-เขมร ลัวะ-ละว้า ข่า-ช้อย ลาวและ "แขก" อย่างมาเลย์ จาม รวมทั้งเจ๊ก-จีน ฯลฯ คนพวกนี้เกือบทั้งหมดมีถิ่นฐานเป็นคนพื้นเมืองอยู่ในดินแดนประเทศไทยนี้มาแต่ดั้งเดิม ส่วนน้อยมาจากที่อื่น แต่ก็อยู่ที่นี่มาช้านาน แล้วต่างก็มีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง และดูเหมือนจะมีจำนวนมากกว่าพวกที่เป็นชนชาติไทยเสียอีก

เพราะฉะนั้น บรรพชนคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากที่ไหน เพราะอยู่ที่นี่ แม้จะมีชนชาติไทยอยู่ที่โน่นด้วย คือกระจายอยู่นอกประเทศไทย แต่พวกนั้นก็ไม่ได้อพยพหลบหนีการรุกรานมาจากไหน ล้วนมีถิ่นฐานอยู่ที่โน่นบ้างอยู่ที่นี่บ้าง คืออยู่ในภูมิภาคอุษาคเนย์มาแต่ครั้งดั้งเดิมดึกดำบรรพ์อย่างน้อยก็ 3,000 ปีมาแล้ว

แล้วก็มีคำถามตามมาอีกว่า ถ้าอย่างนั้นแคว้นสุโขทัยมาจากไหน? กรุงศรีอยุธยาล่ะมาจากไหน?

คำอธิบายเรื่องนี้ ไม่ยาก แต่ไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจ



พลิกประวัติศาสตร์แคว้นสุโขทัย

กรมศิลปากรเคยจัดสัมมนาทางวิชาการเรื่องสุโขทัยครั้งใหญ่ขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2503 มีนักปราชญ์ราชบัณฑิตไปร่วมมากมายหลายท่าน

หลังจากนั้น ความก้าวหน้าทางวิชาการเรื่องสุโขทัยเงียบไป เงียบจนน่ากลัว แต่มีเรื่อง "อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย" โด่งดังขึ้นมาแทน ควบคู่ไปกับอำนาจและอิทธิพลของ "วัฒนธรรมท่องเที่ยว" โด่งดังจนนักวิชาการต้องหวาดผวา เพราะหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่ค้นพบใหม่หมดความสำคัญ ไม่ได้รับการเหลียวแล และไม่มีใครใส่ใจ ราวกับว่าทุกคนพอใจให้แคว้นสุโขทัยเป็น รัฐในอุดมคติ" อยู่แค่นั้น คือหล่นลงมาจากฟากฟ้าสรวงสวรรค์เมื่อราว พ.ศ.1800 ด้วยผลของการอพยพของชนชาติไทยแท้ๆ จากอาณาจักรน่านเจ้าโน่น ต่อจากนั้นก็มีประเพณีลอยกระทง โดยนางนพมาศ "สนมพระร่วง" และอื่นๆ ฯลฯ เพื่อให้ความเป็น "รัฐในอุดมคติ" มีอยู่จริง

แต่หลักฐานไม่มี ที่มีอยู่คือความเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ สุดแต่ใครจะมีอำนาจฝันขึ้นมา

การศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดของแค้วนสุโขทัยวนเวียนอยู่แต่เรื่องการอพยพ วัด วัง และความเป็นไทยแท้ที่ไม่มีอยู่จริงในโลก แต่อธิบายไม่ได้ว่าทำไมแคว้นสุโขทัยเป็นรัฐที่มั่งคั่งเพราะมีการสร้างวัดมากมายเหลือเกิน แล้วสร้างซ้ำซ้อนกันมากี่ครั้ง กี่หน ประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือทำไมชาวแคว้นสุโขทัยถึงมีความรู้และความสามารถถลุงโลหะสำริดได้สวยงามและยิ่งใหญ่ เขาเอาความรู้เรื่องโลหะมาจากไหน อนึ่ง ทำไมเมืองสุโขทัยถึงมีการจัดผังเมืองได้อย่างวิเศษ ฯลฯ

ประวัติศาสตร์ไทยมักบอกว่า กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรกของคนไทย เมื่อแคว้นสุโขทัยล่มสลายลงแล้วก็เกิดกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาแทนที่ นี่เลอะเทอะ เพราะกรุงสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแห่งแรกของคนไทย ในยุคกรุงสุโขทัยมีขึ้นมายังมีบ้านเมืองแว่นแคว้นของตระกูลไทย-ลาวอีกหลายแห่ง อย่างน้อยก็มีแคว้นละโว้-อโยธยาที่มีพัฒนาการเป็นกรุงศรีอยุธยาอยู่ด้วย

ราชวงศ์ที่ปกครองสุโขทัยกับละโว้-อโยธาหรืออยุธยา มีความขัดแย้งกันมาตั้งแต่สมัยแรกๆ ต่อมาราชวงศ์ในกรุงศรีอยุธยาที่มาจากสุพรรณภูมิเป็นใหญ่เหนือสุโขทัย ราชวงศ์สุโขทัยถูกลดอำนาจกลายเป็นขุนนางอยู่ในพระนครศรีอยุธยา แต่ด้วยความขัดแย้งทางการเมืองภายในกรุงศรีอยุธยาเองทำให้ราชวงศ์สุโขทัยยึดอำนาจกรุงศรีอยุธยาได้ แล้วสถาปนาราชวงศ์สุโขทัยขึ้นปกครองกรุงศรีอยุธยา พร้อมทั้งอพยพไพร่พลครอบครัวจากเมืองสุโขทัยลงมาเป็นประชากรอยู่ในกรุงศรีอยุธยา แคว้นสุโขทัยก็ปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ แต่ไม่ได้หมดราชวงศ์สุโขทัย หากได้ขึ้นเป็นใหญ่ปกครองกรุงศรีอยุธยาต่างหาก

ก็เรื่องสมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดาสมเด็จพระนเรศวรนั่นยังไง อย่าแกล้งทำเป็นลืม

หน้า 34






Create Date : 04 มกราคม 2551
Last Update : 17 ตุลาคม 2554 22:05:14 น. 0 comments
Counter : 3408 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

win_mma
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add win_mma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.