Group Blog
 
All Blogs
 

ในทัศนะของข้าพเจ้า ความคิดสร้างสรรณ์ และการอนุรักษ


ผมชอบจาหลาย อย่างแต่ ชอบทีสุดคือ จาทำสิ้งเก่าให้เป็นสิ่งใหม่ https://www.youtube.com/watch?v=a8xTMBta-Bw&mode=related&search=
อย่างแจกสุพรรณ์หงศ์ จาเอาแม่ไม้มวยไทยมาโชว์ กับอ.จ.พิเชษ กลินชืน (โขนสมัยใหม่คนทีเล่นเป็นเบจกายทีเสกมันยืนคร่อมอะ)โดยจับ เอาความงดงามของแม่มวยไทย มาร้อย เรืยงขึ้นมาใหม่ เป็นเรืองราว ทีไม่ต้องตีความ แต่ งาม จับใจ มีกระโดด ตี รังกา กระทืบเท้าแสดงความดุดั้นว่ากรูนี้ไม่ธรรม แต่ มีอ่อนช้อย เหมือนบัลเร่ใสท่าโขนให้ดูขลั้ง พูดง่ายๆ งานแสดงของ จา ครบทุกรส(สร้างจิตนาการและแรงบัลดาลใจให้ไม่รู้จบ เฮ้ยมวยไทยทำอย่างนี้ได้ด้วยหรือ)
ถ้ามัน แซปอย่างนี้ ใครว่าไม่ ไทย ฟะ วิจาณ์ว่าเขาทำไม่ดีอย่างนู้นอย่างนี้ ไม่ใช้หนังไทยเหมือนฮองกง
หรือว่าไม่รู้จักแยกแยะหรืออย่างไรว่าอะไรแสดง อะไรเรืองจริง โอ้ย ฟันมือผิด เชือกก็ผิด มันนึกว่านี้มันหนังสารคดี ไอ้ทีพัน มันพันแบบจา แบบหนังมันผิดตรงไหน
อย่าให้มันทำมาบางแล้วกัน อะไรหลุดออกมา จะวิจาณ์ มัน 7วัน7คืนเลย

คนเรา จะทำสิงใหม่ ได้ ดี มันต้องแตกฉานเรืองสิ่งเก่า เพราะ จะหยิบจับสิ่งเก่า มาทำใหม่ มันเป็นเรืองหมินเมต่อ ความรู้สึกของคน เพราะเขาจะทำอะไร เขาต้อง ดู "กติกา" ของสิ่งเก่ามีอะไรบาง เขาต้องเคราพ ไม่งั้นมีสิทธิโดนด่าได้ว่าหมินครู จา หยิบจับ อะไรใหม่ แสดงว่าเขาต้องรู้แล้วว่าทำอะไร ไม่หมิ่นครู แต่เป็นการเคราพต่อครูทำอย่างนี้ ครูไม่ว่าแน่ ผมคิดในใจโอโฮ้ จา สร้างแรงบรรดาลในมากเลยนะ ทำให้คนอยากเรียนรู้สิ่งเก่า เพราะของไทยมันไม่เชย การอนุรักษณ์ทีแท้จิงจึงเกิดขึ้น เพราะ คนเขารู้ว่า "ของโบราณ" แต่ "ไม่ล้าสมัย"เอามาหยิบจับอะไร โชว์ชาวโลก ได้อีกเยอะ ถ้าเพียงแค่เราเขาใจ กติการ ของสิ้งเก่า ว่าทำอะไรได้อะไรทำไม่ได้ ไม่ใช้"บางคน" ใครทำสิ่งใหม่ โอ๊ย ตีอกชกตัว ว่ามันไม่ใช้มวยไทยโบราณ ของโบราณมันไม่มี มวยคชสารมันไม่มี จาพันมือผิด คิดได้แต่เรือง กระฬี!!

ถามว่าจาทำผิดกติการอะไรไหม ก็เปล่า ไอ้ที กลัว จิง ๆ คือ ความคิดสร้างสรรณ์ จะมาทำลาย เก่า กัวมีไม่คนสืบทอดแนวความคิดเก่า กลัวว่า คนจะโดดไปทำสิ่งใหม่หมด เพราะ "บางคน" รู้สึก"แปลกๆ"กับคนทีเป็นตัวเอง เพราะ"บางคน"ทั้งชิวิต ไม่มีใคร สอนให้รู้จักการเป็นตัวเอง ทั้งชิวิต เพราะครู "บางคน"สอนแบบ ต้องเชือ ต้องฟังและห้ามคิดทำอะไร นอกเหนือจากครูบอกถือว่าผิดครู เพราะถ้าทำตัวไม่เรียบร้อย เดียวครูไม่รัก(ย้ำอีกทีแค่บางคน)
"บางคน"ถูก ครูทีอยู่และ ตายไปแล้ว ครอบงำอยู่ ทั้งทีตัวเอง อยู่กับความจิงมากกว่าคนทีจากไป แต่คนทีจากไป มีอิทธิพลมากกว่าคนทีอยู่เสียอีก คนพวกนี้ กลัวครูทีจากไปแล้วมาก กว่า คนทีอยู่ซะอีก

ถ้า "รักครูจริงแต่ต้องแยกแยะ" ไม่ใช้ถูกกติกาครอบงำตลอดชิวิต กติกามันไม่เคยถูกสอนให้คุณมีอิสระ ให้มีความคิดสร้างสรรณ ก็บอกตัวเองได้และ ว่าต้องอยู่กับความเป็นจริง ไม่ใช้หลงกติกาแบบเก่าๆแล้ว มันบอกว่ามันดีอยู่ มันดี อยู่ กติการเก่าผมบอก ว่ามันดีจริงผมยอมรับ แต่สำหรับผม มันต้องดีกว่านี้เรือย ๆ คุณต้องรู้จัก สร้างความไม่พึงพอใจ ซิมันจะจุดประกาย ให้คุณมีความคิดสร้างสรรณ์ ถ้าคุณยังพอใจคำตอบสำเร็จรูปเดิมๆ ทีคน รุ่น ก่อน สอนเอาไว้ เป็นมนุษญ์ อิฐบล็อกเดินได้ ผมบอกได้เลย ชิวิต สิ่งทียึดถือมันได้เสือมสลาย ก่อน คุณจะตายเสียอีก ความรู้ในวิชาจะลดๆลงไปเรือยในรุ่นต่อๆไป ถ้าคุณมีความคิดสร้างสรรณ์ ถ้ามันหายไป หนึง คุณสร้าง มาอีก10เป็น100ถามจริงๆเห่ะ ถ้าทำอย่างนี้ พันปีมันยังอยู่ไหม





 

Create Date : 21 กันยายน 2549    
Last Update : 21 กันยายน 2549 22:04:30 น.
Counter : 635 Pageviews.  

ใน ทัศนะของข้าพ การศึกษาทีแท้จริง

ศิลปศาสตร์การอ่านใจคน ก็เป็นศาสตร์ทีสำคัญอย่างหนึงของการต่อสู้ การทีได้สังเกตุ จา จับปากกาอย่างไงท่าทีสบายแค่ไหน เซ้นมือซ้ายมือขวาท่าทีต่อทีเพลอต่อนไม่ออกกล้อง เป็นอย่างไง มันทำให้ผมท้ายได้หลายอย่างว่าลักษณะนิสัยนอกจอในจอต่างกันอย่างไรและการทีเราจะวิเคราะคนอืนได้นั้น เราต้องเริมวิเคราะตัวเองเสียก่อนต้องเขาใจตัวเอง ถึงจะเขาใจคนอื่นได้ดี และไม่ใครเป็นครูเราได้นอกจากตัวเราเอง มันตัวคุณเองทีมีทุกข์เศรา หมอง เสียใจมีความสุข ความกลัว ความเป็นความตาย สมาธิหรือการหลุดพ้น ไม่มีใครสามารถบอกท่านได้เลย คนอื่นๆๆอาจอธิบายได้ ครูอาจอธิบายได้ แต่คำอธิบายเหล่านั้นอาจผิดพลาด และไม่จริงได้ไหม
ดั้งนั้นเมือเราเกิดความสงสัยและตังคำถามจึงเป็นการดี เพราะเป็นโอกาสทีทานจะได้คนหาด้วยตัวเองว่าท่านต้องการครู หรือ ไม่ สิ่งทีสำคัญคือ พยามเป็นแสงสว่างให้แก่ตัวเองพยามเป็นศาสดาให้แก่ตัวเอง และเป็นสาวกด้วยตัวเอง พยามเป็นทั้งครูและนักเรียนให้แก่ตัวเอง การเรียนรู้ทีแท้จะไม่ต้องการครู ครูจะเกิดขึ้นแก่ท่าน เมื่อท่านหยุดการเรียนรู้ และหยุดทำความเข้าใจกระแสชีวิตทั้งหมดต่างหาก
ครูมิใช้ศูณกลางของความรู้ ทังหมดเพราะท่านไม่ส่ามารถอธิบายได้ทั้งหมดว่าชิวิต คืออะไร เพราะเขาไม่ใช้ท่าน และก็ไม่สามารถอยู่กับท่านได้ตลอด ความจริงครูกับของท่านจึงแตกต่างกัน ครูทีดีต้องปลอดปล่อยให้ท่านเป็นตัวของท่านเอง เป็นตัวเองทีไม่เหมือนใคร ไม่ใช้ให้เหมือนผู้สอน ไม่ใช้ให้ผู้สอนเป็นอย่างไร ท่านก็ต้องเป็นอย่างนั้นเป็นมนุษย อิฐบล็อกอย่างนั้นไม่เอา

ในประวัติศาสตร์ นักสู้ทีเก่ง ๆ ทีแถบไม่มีครูเลย แต่ก็เอาตัวรอดจนกระทั้ง แก่ตาย ได้ ก็มี 2ท่านทีนึกออก คนแรกก็นีเลย ขวัญใจนักอ่านไม่ควรพลาด " มูซาชิ " ประวัตศาสตร์เขาไม่สังกัด สำนักไหนเลยนอกจากกองทัพ เขาฝึกฝนด้วยตัวเอง และอ่านคนขาด สู้ แต่เมือรู้ ตัวเองว่าชนะ!!

อีกคน คือ อาโอยามา นักคาราเต้ เชือสายเกาหลี เขาคลั้งการดำเนินชิวิตแบบมูชาซิ เขาไม่ได้สังกัดสำนักไหนเลย เหมือนกันฝึกด้วยตัวเอง(เก็บตัวบนภูเขาเป็นปี จนคนเขียนกระตูนเอามาล้อเลียนบ่อยๆ) ประลอง ต่อเมือรู้ตัวเองว่าชนะ ถูกตำหนิว่าไม่ใช้คาราเต้ แต่ขอโทษ ลูกศิษทั้งโลกมีเป็นล้านคน เออทำไม่คนเอาตัวรอดมาได้ละ เขาไม่เห็นต้องมีครูเลย แสดงว่าชิวิตเขาไม่ได้ขาด"การศึกษาทีแท้จริง"


สรุป
ครูทีแท้จริงต้องสอนให้ท่านเป็นคนสมบูรณ์แบบนั้นคือการเป็นตัวเอง เพราะยิงคุณรู้จักตัวเองได้มากเท่าไรคุณยิงควบคุณตัวเองได้มากเท่านั้นครับ




 

Create Date : 21 กันยายน 2549    
Last Update : 21 กันยายน 2549 22:03:11 น.
Counter : 621 Pageviews.  

ปีศาจคาบคัมภีร์มีสำนึกบกพร่อง ทางวัฒนธรรมสาธารณะ

คอลัมน์ รายงานพิเศษ

สุจิตต์ วงษ์เทศ



รัฐรุ่นแรกๆตั้งแต่ยุคสุวรรณภูมิ รับศาสนาจากอินเดียมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง-การปกครอง เราเรียกรัฐรุ่นแรกๆเป็นรัฐศาสนา-การเมือง ใช้ศาสนาควบคุมความประพฤติชนชั้นปกครองให้มีธรรมาภิบาล ฉะนั้นวรรณคดีโบราณที่ราชสำนักผลิตออกมาจึงเป็นไปเพื่อศาสนา-การเมืองทั้งนั้น

รัฐรุ่นหลังๆต่อมาจนปัจจุบันใช้เศรษฐกิจเป็นเครื่องมือทางการเมือง-การปกครอง เราเรียกรัฐรุ่นหลังๆเป็นรัฐเศรษฐกิจ-การเมือง มีตลาดเป็นตัวควบคุมทิศทางของรัฐที่ชนชั้นปกครองต้องปฏิบัติตาม ส่งผลให้วรรณคดีสมัยหลังผลิตตามกลไกตลาดทางเศรษฐกิจ-การเมือง

จะเห็นว่าในโลกนี้มีการเมืองทั้งนั้นไม่ว่าในศาสนาหรือเศรษฐกิจ ฉะนั้นทั้งนักบวชและกวีหนีไม่พ้นการเมือง เว้นเสียแต่จะมีอาการดัดจริตวิตถารว่านักบวช-กวีล้วนไม่เกี่ยวข้องการเมือง

ระบอบทักษิณอยู่ในโลกเศรษฐกิจ-การเมือง ที่พยายามอ้างอิงศาสนา-การเมือง แต่แปลงศาสนาเป็นทุนทางเศรษฐกิจ-การเมืองเพื่อการตลาด แล้วมอมเมาให้มหาวิทยาลัยทั่วประเทศที่เป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ปฏิบัติตามอย่างเชื่องๆจนทุกวันนี้ ฉะนั้นอาจารย์หมอประเวศ วะสี จึงมีบัญญัติ 10 ประการ ให้เป็นแนวทางแก้ไข



มือถือสาก ปากถือศีล

ของปีศาจคาบคัมภีร์



เมื่อปลายปีก่อนถึงต้นปีนี้ ผู้มีอำนาจในระบอบทักษิณสั่งให้กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ด้วยพฤติกรรมมือถือสากปากถือศีลของปีศาจคาบคัมภีร์ ด้วยการผลาญงบประมาณจำนวนมหาศาลบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอาราม และโบราณศิลปะสถาปัตยกรรมในวัดรวมทั้งหมด 60 แห่ง


ทั้งหมดนี้ไม่เคยระดมความคิดเพื่อวินิจฉัยด้วยปัญญาว่าทำเพื่ออะไร? แล้วจะดูแลใช้งานอย่างไรต่อไปให้มีคุณค่ายั่งยืน? ที่สำคัญคือไม่มีแนวคิดแบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่แหล่งที่จะบูรณปฏิสังขรณ์เหล่านั้น ฉะนั้นทำแล้วก็ปล่อยทิ้งให้เสื่อมโทรมไปเพื่อทำใหม่ ทำอีก ทำเรื่อยๆ ในคราวต่อไปเหมือนที่เคยเป็นมาเกือบร้อยปี

แม้คำสั่งของผู้มีอำนาจในระบอบทักษิณคราวนี้ก็เช่นกัน บรรดานักโบราณคดีและนายช่างสถาปนิกรู้กันว่ากำหนดขึ้นอย่างมั่วๆ และมักง่ายๆ ตามใจผู้มีอำนาจที่มั่งคั่ง อย่างไม่ต้องระดมความคิด ไม่ต้องวินิจฉัยอะไรทั้งนั้น แต่มีเหตุผลข้างๆคูๆอธิบายได้เสมอว่าดีและมีประโยชน์ อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อผู้รับเหมากับคนเลี้ยงช้าง กินขี้ช้าง

แต่ประโยชน์ต่อสังคมไทยไม่มี ถ้าจะมีบ้างก็น้อยนิดนับไม่ได้ ยิ่งถ้ายึดถือตามบัญญัติข้อ 6 ของบัญญัติ 10 ประการ ที่อาจารย์หมอประเวศ วะสี ชี้ทางบรรเทาทุกข์ ยิ่งไม่มี จะขอยกบัญญัติข้อ 6 ของอาจารย์หมอประเวศมาให้อ่านดังนี้

"เรามีวัดอยู่ 30,000 กว่าวัด ถ้ารัฐบาลสนใจ ส่งเสริมให้มีการจัดการที่ดี ให้วัดสะอาด ร่มรื่น ใครเข้าไปแล้วจิตใจสงบ มีอาจารย์สอนกรรมฐานได้ทุกวัด แล้วคนเดี๋ยวนี้เครียดมากทั่วประเทศ ถ้าเช้าก่อนไปทำงานหรือว่าเย็นก่อนกลับบ้านแวะไปไหว้พระที่โบสถ์สักหน่อยดูภาพงามๆ เห็นพระพุทธเจ้า นั่งสมาธิ"

ก่อนหน้านี้ ระบอบทักษิณต้องการบริหารจัดการที่ดินวัดเป็น"ทุน" แต่ถูกต่อต้านจนต้องหยุด(ชั่วคราว) เห็นชัดๆว่าระบอบทักษิณเป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีลของปีศาจคาบคัมภีร์ ฯลฯ ที่จ้องล้างผลาญวัดในพระพุทธศาสนาเป็นทุน ไม่ใช่เป็นแหล่งเรียนรู้โลกและธรรม

ข้าราชการกระทรวงวัฒนธรรม รักจะเป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีลของปีศาจคาบคัมภีร์ ไปตามระบอบทักษิณอย่างนั้นหรือไฉน? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จงไปที่ชอบๆเถิด



สำนึกวัฒนธรรมสาธารณะบกพร่อง

มันก็ต้องเป็นเช่นนี้เเหละ-อยุธยา



นานหลายปีเเล้ว กรมศิลปากรอนุญาตให้กองถ่ายหนังชุด"มอทัล คอมเเบต"ของฝรั่งมังค่านานาชาติ ใช้วัดพระศรีสรรเพชญ์ วัดมหาธาตุ วัดไชยวัฒนาราม ฯลฯ ในอยุธยา ถ่ายทำฉากบู๊ล้างผลาญ มีดารา มีผู้เเสดงประกอบ รวมทั้งคณะกองถ่ายขนเครื่องไม้เครื่องมือนับร้อย ด้วยรถบัส รถกระบะ รถเก๋ง เป็นขบวนใหญ่ราวกับคณะละครสัตว์เข้าไปจอดในวังโบราณ

มติชนเเละข่าวสด รวมทั้งสื่อหลายฉบับหลายสถานีวิทยุ-โทรทัศน์ เสนอข่าวเชิงคัดค้านนานหลายวันต่อเนื่องกัน มีนัยยะว่า"นักโบราณคดี"ที่จบการศึกษาจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร มีทั้งพวกรับราชการในกรม ศิลปากรเเละเอกชนนอกราชการ มีผลประโยชน์ทับซ้อนเสมือน"นายหน้า"ให้เจ้าของหนังเรื่องนั้นเข้ามาถ่ายทำ โดยใช้ซาก ศาสนสถานเป็นฉากทั้งที่อยุธยาเเละที่อื่นๆ

คราวนั้นผมได้เขียนติเตียนการกระทำอย่างนั้นด้วย ว่าไม่ถูกต้องทั้งทางโลกเเละทางธรรม รวมถึงทั้งอดีตเเละปัจจุบัน ไม่ว่าทุนนิยมหรือสังคมนิยม-คอมมิวนิสต์เขาก็ไม่ปล่อยให้กระทำย่ำยีอย่างนี้ เเม้วัดมหาธาตุกับวัดศรีสรรเพชญ์จะปรักหักพังเป็น dead monument เเล้วก็ตาม เเต่จิตวิญญาณความเป็น"ศรี"อันศักดิ์สิทธิ์ของกรุงศรีอยุธยา "ราชอาณาจักรสยามเเห่งเเรก" ยังสืบเนื่องไม่ขาดเเคลนหรือคลายลง

เเต่นักโบราณคดีทั้งในราชการเเละนอกราชการเหล่านั้น มี"สำนึกวัฒนธรรมสาธารณะบกพร่อง"ไปเเล้ว เพราะผลประโยชน์ทับซ้อนเลยมองเห็นสิ่งเก่าๆเหล่านั้นเป็นเเค่"สินค้า"ที่มี"มูลค่า"เหมาะเเก่การ"ขาย" โดยไม่เห็น"คุณค่า"ที่ซ่อนอยู่ข้างในเนื้ออิฐ ทุกก้อน จึงพากันต่อว่าด่าพอผู้คัดค้าน รวมถึงตัวผมด้วย

นักโบราณคดี"สำนึกวัฒนธรรมสาธารณะบกพร่อง"พวกนั้น มีทั้งนายหน้าเเละ ผู้รับเหมา ขณะนี้เติบโตในราชการมีอำนาจในกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม เเล้วเเผ่รังสีอำมหิตประจบประเเจงเเข่งขันเซ็งลี้ลาภยศสรรเสริญด้วยข้ออ้าง"เพื่อความเป็นไทย" ใน"ระบอบทักษิณ"

ฉะนั้น จึงไม่มีอะไรต้องประหลาดหรือมหัศจรรย์ใจ เมื่อมีข่าวในมติชน เเละสื่ออื่นๆว่าผู้บริหารระดับสูงมากของกรมศิลปากรอนุญาตให้มีกิจกรรมไม้ค้ำยันเเปลกปลอมนับร้อยๆต้นซุกซากสถูปวัดมเหยงค์ อยุธยา เเล้วยังอนุญาตให้หมู่มารจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ตะบี้ตะบันกันบริเวณลานโล่งหลังวัดมหาธาตุ อยุธยา โดยใช้สถูปเจดีย์เป็นฉากเฉกเช่น โลกียสถาน จะไปโทษคนจัดไม่ได้

มันก็ต้องเป็นเช่นนี้เเหละ "ระบอบทักษิณ" ในกรมศิลปากร

หน้า 24




 

Create Date : 18 กันยายน 2549    
Last Update : 18 กันยายน 2549 21:34:01 น.
Counter : 664 Pageviews.  

ไพร่กระฎุมพี ลีลากลอนแบบสุนทรภู่ และพระอภัยมณี พิมพ์แจกงานพระเมรุ รัชกาลที่ 4

คอลัมน์ รายงานพิเศษ

สุจิตต์ วงษ์เทศ



สุนทรภู่แต่งวรรณคดีการเมืองเรื่องพระอภัยมณี ขณะบวชเป็นภิกษุ จำพรรษาอยู่ที่บ้านมหากวี กุฎีสุนทรภู่ ที่วัดเทพธิดาราม กรุงเทพฯ ในแผ่นดินรัชกาลที่ 3 เป็นที่รู้ทั่วกันว่ามีผู้ติดตามขอคัดลอกไปอ่านกว้างขวาง ที่ต้องคัดลอกเพราะยังไม่มีเทคโนโลยีพิมพ์เผยแพร่วางขายเหมือนปัจจุบัน

ปลายแผ่นดินรัชกาลที่ 3 สุนทรภู่อายุมากแล้ว ก็ลาสิกขาออกมารับราชการกับพระปิ่นเกล้าฯ ครั้นรัชกาลที่ 4 เสวยราชย์ โปรดให้แต่งเสภาพระราชพงศาวดารถวาย แสดงว่าสุนทรภู่ใกล้ชิดกับพระจอมเกล้าฯ กับพระปิ่นเกล้าฯ เป็นพิเศษมาก่อนนานแล้ว จึงได้รับพระรานทานชุบเลี้ยงในยามชราภาพ

ผมไม่เคยรู้ว่าพระอภัยมณีของสุนทรภู่ มีคนอ่านยกย่องมากน้อยขนาดไหน จนได้รับเอกสารของคุณชื่นกมล ศรีสมโภชน์ ถ่ายสำเนาจากเว็บไซต์หรืออะไรสักอย่างที่ผมไม่รู้จัก ส่งมาให้อ่าน ถึงรู้ว่าน่ามหัศจรรย์แท้ จะขอคัดมาลงไว้ให้แพร่หลายเพื่อแบ่งปันแลกเปลี่ยนต่อไปดังนี้

การค้นพบครั้งสำคัญสำหรับวงการหนังสือ

ก่อนหน้านี้หนังสืองานศพที่เก่าที่สุดที่พบในขณะนี้คือ หนังสืองานพระศพของ"พระนางเรือล่ม" พิมพ์ขึ้นในปี 2423 (จุลศักราช 1242) เป็นหนังสือแจกในงานพระเมรุพระศพสมเด็จพระนางสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์ เนื้อหาเป็นหนังสือรวมบทสวดมนต์ พระสูตร และพระปริตรต่างๆ พิมพ์จำนวน 10,000 เล่ม เพื่อพระราชทานพระสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร

แต่นี่คือหนังสือที่เพิ่งถูกค้นพบครับ

หนังสือแจกงานพระเมรุ รัชกาลที่ 4 ปี 2411(จุลศักราช 1230) โรงพิมพ์ครูสมิท เรื่องพระอะไภยมะณี (เขียนสมัยเก่า) พิมพ์จำนวนเพียง 120 เล่ม พิมพ์ก่อนหนังสืองานพระศพของ"พระนางเรือล่ม"ถึง 12 ปี

จึงขอบันทึกไว้ ณ ที่นี้ เพื่อเป็นหลักฐานในการศึกษาค้นคว้าในภายหน้าครับ จากคุณ : boranbook


ร.ศ. 124 คือปีที่ท่านเจ้าของคนแรกผู้รับแจกมาจากครูสมิท นำไปทำปกหนัง เดินทอง คงจะเป็นผู้มีบุญวาสนามาก และรักหนังสืออย่างเหลือเกิน

เรียกกันในหมู่นักสะสมว่า หนังสือปกสวย

ปกหนังนั้นประโยชน์โดยตรง คือปกป้องกระดาษ อายุเกือบร้อยปีได้คลอดมา การที่ทำปกนูนนั้นใช้ไม้เนื้อแน่น น้ำหนักเบารอง เกือบหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาเนื้อไม้กระจาย น้ำมันออกมาซึมกระดาษด้านหลังเล็กน้อย หนังนั้นเข้าใจว่าเป็นหนังลูกวัว ทราบว่ายังมีปกที่ทำจากหนังแกะอีกด้วย ในชุดปกสวยนี้

โปรดสังเกตว่า นางผีเสื้อสมุทรสวยงามมาก เลียนแบบมาจากยักษ์จินนี่ในนิทานของฝรั่ง ในมือซ้ายของนางผีเสื้อสมุทร คือพ่อเงือก ดิ้นอยู่ราวกับกุ้งตัวหนึ่ง น่าชมผู้วาดภาพเหลือเกิน ที่เขียนผ้านุ่งให้นางเงือกด้วย กลมกลืนและเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง นึกไปว่าครูสมิทคงกำกับการดูแลอยู่ในฐานะเอไดเตอร์

กราบครูสมิท ผู้มหัศจรรย์แห่งวงการหนังสือในสยาม จากคุณ : แสนอักษร



ความคิดการเมืองไพร่กระฎุมพี

แห่งกรุงรัตนโกสินทร์

อาจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีงานวิจัยเล่มสำคัญพิมพ์เป็นเล่มล่าสุด ชื่อความคิดทางการเมืองไพร่กระฎุมพี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีคำนำจะขอคัดมาไว้ดังนี้

คำว่า"กระฎุมพี"นั้นหมอบรัดเลย์เขียนและอธิบายดังนี้ "กะดูมภี ว่าคนเจ้าทรัพย์ หฤาคนมั่งมีทรัพย์มากนั้น" จากหนังสืออักขราภิธานศรับท์ หากเปรียบกับความเข้าใจปัจจุบันให้ง่ายๆ ก็ตรงกับคำว่า"นายทุน" หรือคนมีทรัพย์นั่นเอง

ส่วนคำว่า"ไพร่กะดุมภี"นั้นอธิบายว่า "คือคนพลเมืองที่มีเงินพอใช้เลี้ยงชีวิตไม่เปนทาสบุคคลผู้ใดนั้น"


สมัยก่อนคำว่า"ไพร่กระฎุมพี" ใช้พูดถึงในลักษณะดูถูกว่าเป็นคนชั้นต่ำ ในหนังสือนี้ผมใช้คำนี้ในความหมายดั้งเดิมที่หมอบรัดเลย์ให้ไว้ คือพลเมืองที่มีเงินพอเลี้ยงชีพ และมุ่งให้ครอบคลุมถึงวัฒนธรรมและการคลี่คลายขยายตัวของคนชนชั้นนี้ในประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์เป็นสำคัญ

อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบายอย่างละเอียดถึงการก่อตัวและเติบใหญ่ขึ้นมาของกลุ่มชนที่เรียกว่ากระฎุมพีในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ลักษณะเด่นคือการที่กำเนิดและแหล่งที่มาของกระฎุมพีในสังคมรัตนโกสินทร์ไม่ได้กำเนิดแยกเป็นอิสระจากชนชั้นศักดินาที่ครอบครองอำนาจและผลประโยชน์เศรษฐกิจของอาณาจักรมาก่อน ตรงกันข้ามกระฎุมพีไทยถือกำเนิดมาภายในและจากระบบศักดินาเอง จึงไม่แปลกใจว่ากระฎุมพีที่เป็นชนชั้นนำในยุคแรกนั้นล้วนเป็นชนชั้นศักดินาด้วย เงื่อนไขสำคัญของการก่อเกิดและขยายตัวของกระฎุมพีไทย ซึ่งไม่ต่างไปจากกระฎุมพีฝรั่งในตะวันตก ก็หนีไม่พ้นการขยายตัวและเติบใหญ่ของการค้าและการผลิตโภคทรัพย์นานาประการที่สร้างความมั่งคั่งให้กับคนจำนวนหนึ่งที่สามารถและมีโอกาสในการควบคุมเข้าถึงและจัดการกับมันได้

ในระยะต่อๆมามิติด้านวัฒนธรรมของชาวกระฎุมพีจึงพัฒนายกระดับขึ้น เมื่อพื้นที่และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมสร้างความเคลื่อนไหวให้กับคนจำนวนมากขึ้นในหลากหลายสถานที่ในเวลาเดียวกัน นั่นคือการก่อตัวขึ้นของวัฒนธรรมหนังสือ และความคิดแบบ"เป็นเหตุเป็นผล" อันเป็นคุณลักษณะที่ขาดไม่ได้ของกระฎุมพีทั้งหลาย หนังสือ เช่น "ขุนช้างขุนแผน" ในทัศนะของนิธิ เอียวศรีวงศ์ จึงเป็นเรื่องราวของบรรดาคนที่เป็นกระฎุมพีทั้งนั้น "เป็นวรรณกรรมกระฎุมพีโดยแท้...ตัวละครกระฎุมพีที่เผชิญปัญหาของกระฎุมพีและแก้ปัญหานี้อย่างกระฎุมพี"

ในหนังสือเล่มนี้ อาจารย์ธเนศบอกว่าใช้กระฎุมพีในเชิงมิติวัฒนธรรมความคิดมากกว่าทางชนชั้น ข้อที่น่าสังเกตคือการที่วัฒนธรรมกระฎุมพีต้นรัตนโกสินทร์มีความหลากหลาย อย่างน้อยก็หลากหลายกว่าวัฒนธรรมศักดินา (อยุธยา) ที่พวกเขาได้รับและเรียนกันมาก่อนแล้ว ทำให้กระฎุมพีสยามมีความพร้อมที่จะรับวัฒนธรรมแปลกใหม่ๆ ที่เป็น"ต่างด้าว"ได้อย่างไม่ขัดเขิน ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการรับและรู้สึกถึงวัฒนธรรมของราษฎรชาวบ้านธรรมดาด้วย

ข้อนี้ทำให้บรรดานักคิดและปัญญาชนรุ่นแรกๆ เช่นเทียนวรรณและ ก.ศ.ร. กุหลาบ มาถึง"ศรีบูรพา"สามารถพัฒนาแนวคิดและความคิดที่กว้างและไกลกว่าผลประโยชน์และฐานันดรแคบๆ ได้ โดยอาจไม่เกี่ยวกับความคิดการเมืองแบบหัวรุนแรงโดยตรงอะไรเลยก็ได้ อาจารย์ธเนศบอกอีกว่า

"การมีวัฒนธรรมลายลักษณ์อักษร และตัวภาษาไทยที่ชัดเจน ก็เป็นคุณแก่การสร้างวาทกรรมและงานเขียนที่มีน้ำหนักขึ้นมาได้ ด้วยการอ้างรากฐานหลักฐานแบบแผนที่เป็นของตน (ทั้งที่เป็นจริงและเท็จ) จากคัมภีร์ที่เป็นตัวอักษรได้ แม้กระทั่งตำราที่เป็นภาษาอื่นเช่นอังกฤษก็นำมาอ้างอิงได้ ทั้งหมดนั้นทำให้การพัฒนาทางความคิดการเมืองและสังคมของปัญญาชนไทยมีแนวโน้มไปทางการเป็นหัวรุนแรงหรือราดิคัลได้มาก ในขณะที่รัฐไทยสมัยใหม่ก็พัฒนาความคิดการเมืองที่มุ่งรักษาอำนาจและกลายเป็นอนุรักษนิยมไปโดยธรรมชาติมากขึ้น

ความขัดแย้งชุดดังกล่าวนี้ ระหว่างปัญญาชนที่วิพากษ์กับรัฐที่รักษ์ตนเอง จึงเป็นลักษณะเด่นอันหนึ่งในความเป็นมาของวาทกรรมการเมืองไทย กระทั่งกลายมาเป็นขนบธรรมเนียมที่สำคัญอันหนึ่งในกระบวนการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยยุคปัจจุบัน"

ขอเชิญชวนให้ไปอ่านอย่างละเอียด จะได้รู้ความเป็นมาของการเมืองไทย เพื่อเตรียมรับความเป็นไปอย่างทันท่วงทีทั้งดีและร้าย




 

Create Date : 08 กันยายน 2549    
Last Update : 18 กันยายน 2549 21:28:42 น.
Counter : 1378 Pageviews.  

ลุยโลกคอดแคบเมืองไทย ชายฝั่งคลองวาฬถึงด่านสิงขร

ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กิตติพงษ์ สุนานันท์ สั่งเปิดโซนการท่องเที่ยวใหม่ระยะ 12 กม. ที่คนไม่ค่อยรู้จัก จากชายฝั่งคลองวาฬอ่าวไทยถึงด่านสิงขรบนเทือกเขาตะนาวศรีจดพม่า เขตสำคัญในประวัติศาสตร์โลกและของไทย “แลนด์บริดจ์” เก๋ากึ้กเมืองไทยที่ใช้ขนถ่ายสินค้าจากอ่าวตะนาวศรีทะเลอันดามัน มาสู่ชายฝั่งคลองวาฬอ่าวไทยที่เจ้าพระยาวิชาเยนทร์เข้าคุมเอง เฉพาะด่านสิงขรเป็นเขตรุกรบแพ้ชนะสลับไปมาระหว่างไทย-พม่า เพื่อมีอำนาจเหนือการเดินเรือและการค้าในทะเลอันดามันที่มีเมืองท่ามะริด ทะวาย และตะนาวศรีเป็นหัวใจ ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกรบไทยดุเดือดครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 ตายเป็นเบือทั้ง 2 ฝ่ายเพราะต้องการหักหาญเดินทัพลุยข้ามด่านสิงขรไปรบยึดพม่า วันนี้ มีอะไรโดดเด่นอยู่ในเส้นทาง จังหวัดประจวบฯ นำเสนอหมดสิ้น

แม้เป็นเขตท่องเที่ยวใหม่ แต่ตลอดเส้นทางนี้ ก็น่าตื่นตาตื่นใจไปกับประชาคมเก่าแก่ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ผู้คนที่ดูแปลกใหม่ด้วยน้อยคนเคยไป จะได้เห็นภูมิทัศน์งดงามพร้อมความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆที่เกิดขึ้น ผู้รับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ไม่ใช่ใครที่ไหนคือ นายฐานิศร์ น้อยเพ็ง นายอำเภอเมืองประจวบฯ ที่มีเขตปกครองตั้งแต่ชายฝั่ง อ่าวไทยไปจดพม่าที่ด่านสิงขรนั่นเอง เริ่มต้นทางที่ชายฝั่งอ่าวไทยชุมชนเก่าแก่ย่านตลาดคลองวาฬที่อายุอาจถึงพันปี ที่โน่นกำลังก่อสร้างท่าเรือที่น่าเรียกท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ได้ ด้วยงบ 430 ล้านบาท ความยาวแนวหน้าท่า 1 กม. พร้อมท่าเทียบเรือยื่นออกไปในทะเล 750 ม. ระดับน้ำลึกที่ท่าเทียบอยู่ ที่ 5.30-6 ม. เศษ แล้วแต่น้ำขึ้นน้ำลง เรือใหญ่ระวางขับน้ำ 50,000 ตันและเรือสำราญเข้าเทียบได้สบายกำหนดเสร็จปี 2551 แน่นอน จะพลิกเศรษฐกิจไทยไปอีกขั้น

ประชาคมย่านตลาดคลองวาฬค่อนข้างใหญ่ เป็นชุมชนเก่า สิ่งก่อสร้างเก่าๆ คล้ายเดินย้อนมิติแห่งกาลเวลากลับเข้าไปในประวัติศาสตร์ 60 ปีที่แล้วได้ ร้านรวง 2 ข้างทางเก่าแก่ชั้นเดียวเป็นส่วนมาก ค่อนข้างเงียบสงบไม่พลุกพล่าน วิถีชีวิตดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน ผู้คนมีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ กันดี นายอำเภอฐานิศร์บรรยายว่า ย่านตลาดคลองวาฬ เป็นย่านอาหารอร่อย ทั้งอาหารไทยและอาหารจีนรสชาติเก่าแก่ดั้งเดิม ไม่ว่ากินในร้านเล็กอาหารจานเดียวหรือสั่งเป็นชุดมากินในร้านใหญ่หน่อย ถูกมากถูกกว่าที่หัวหินแยะจะได้กินอาหารสดๆ โดยเฉพาะอาหารทะเล คนชอบสั่งก๋วยเตี๋ยวปูกับผัดไทยกินกันมากและเป็นย่านขายปลาเค็มปลาแห้งกุ้งแห้งมาก ระหว่างทางออกจากที่นี่ไปด่านสิงขรผ่านสถานีรถไฟหนองหินสถานีเล็กๆ ที่ร่มรื่นด้วยแมกไม้ที่ดูสวยงามมาก



ทางจากขอบถนนเพชรเกษมมุ่งตะวันตกไปด่านสิงขรถนนดีมาก ผ่านไร่นา สวนผลไม้ สวนมะพร้าวไปตลอดทาง มะพร้าวอ่อนทุ่งเคล็ดดังมาก กลายเป็นมะพร้าวอ่อนรับแขกจังหวัดไปแล้ว ที่เชิงเขาตะนาวศรีก่อนขึ้นเขาไปสู่ด่านสิงขร สภาพเละเทะรกรุงรัง ถูกจัดระเบียบใหม่หมดแบ่งเป็นโซนตลาดผลไม้ของป่า และกล้วยไม้ป่าพม่าที่เอามาขายให้คนไทยเอาไปขายต่อ โซนของใช้อย่างเฟอร์นิเจอร์ไม้ อัญมณี ของที่ระลึก เครื่องอุปโภคบริโภคทั้งของไทยและพม่าอยู่อีกด้านหนึ่ง นางฉอ้อน วิไลรัตน์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 บ้านด่านสิงขร เผยว่า เริ่มจะเป็นเขตคึกคัก เดิมมีตลาดนัดวันเสาร์อาทิตย์ ปัจจุบันเปิดทุกวันเพราะนักท่องเที่ยวไปมาก ในวันธรรมดารถใหญ่เข้าไปวันละ 5-6 คัน วันสุดสัปดาห์มีมากกว่านั้น

ถนนขึ้นเขาตะนาวศรีไปสู่ช่องเขาด่านสิงขร บริษัทอิตาเลี่ยนไทยตัดให้ใหม่ เพราะฝั่งพม่ามีเหมืองถ่านหินใหญ่ที่อิตาเลี่ยนไทยเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ ตัดใหม่ เพื่อสะดวกแก่การขนถ่านหินมาไทย ไม่ช้าฝั่งพม่าจะเป็นเขตส่งน้ำมันปาล์มใหญ่มาขายไทย เพราะกำลังขยายการปลูกนับพันๆไร่ ที่ด่านฝั่งไทยเดิมทางการเคร่งครัดไม่ยอมให้ใครขึ้นเขาไปดูวิว ถึงช่องเขาด่านสิงขรด้านไทยได้เลย บัดนี้ผ่อนผันให้ขึ้นไปดูได้ ผู้ใหญ่ฉอ้อนชี้ว่ากำลังจะสร้างหอดูวิวบนเขาให้ด้วย ขนาดไม่มีหอไปยืนอยู่บนโน้นมองมาฝั่งไทย นอกจากเห็นตัวเมืองยังเห็นฝั่งทะเลอ่าวไทย ตรงพรมแดนจริงๆห้ามเข้าเป็นเขต No man land กว้าง 200 เมตร ไทยและพม่าต่างเฝ้ากันคนละข้าง

นายศิวะ ศิริเสาวลักษณ์ รอง ผวจ.ประจวบฯ เผยว่า กำลังสืบเสาะรวบรวมทั้งเอกสารและผู้รู้ชุมชนชาวด่านสิงขรทั้งฝั่งไทยและพม่า หาจุดที่กองอาตมาท หน่วยรบพิเศษบนหลังม้าของไทย 40 นายที่มีรองปลัดชูเป็น ผบ. พากันสละชีพยอมตายหมดทั้ง 40 นาย รักษาด่านสิงขรไม่ยอมให้ทัพพม่าพระเจ้าอลองพญาโถมบุกตีไทยล่วงล้ำเข้ามาได้ ในการศึกเข้าตีอยุธยาปี 2303 เชื่อกันว่าทุกคนตายในด่านบนช่องเขาเยี่ยงวีรบุรุษทหารหาญโดยแท้แต่ไม่รู้ว่าตรงไหน ที่สุดพระเจ้าอลองพญาก็ตีอยุธยาไม่ได้ ถูกปืนใหญ่ระเบิดใส่ขณะล้อมระดมยิงอยุธยา บาดเจ็บสาหัสต้องยกทัพกลับพม่าทางจังหวัดตาก แล้วก็ไปตายในป่าจังหวัดตาก

น่าคิดพรมแดนพม่าด้านนี้เป็นไทยทั้งหมดไม่มีเป็นกะเหรี่ยงหรือมอญเหมือนด้านอื่น หลายคนขายกล้วยไม้ป่า แม้มองดูครึกครื้นดีแต่ดวงตาเศร้าอมทุกข์คล้ายถูกหลอกชอบกล มารู้ภายหลังทุกคนเป็นไทย แต่ผู้มีอำนาจปกครองประเทศไทยไม่ยอมรับ ใครไปเที่ยวที่โน่นช่วยอุดหนุนด้วยเถิด เขาไปไหนไม่ได้ถูกกักบริเวณ.

* โฟกัส *

คนไทยผิดอะไร?

สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม คนไทยมี 18 ล้านคน เราปลุกความรักชาติด้วยเพลงปลุกใจหลวงวิจิตรวาทการมีเนื้อร้องตอนท้ายว่า “...18 ล้านภาคภูมิในใจเทอดไทย ชโย” แล้วเร่งเพิ่มพูนคนไทยด้วยการเชิญชวนคนไทยฝั่งลาวและเขมร ซึ่งสมัยโน้นเรียกว่าอินโดจีนของฝรั่งเศส ที่พรากจากกันไปเพราะการปักปันดินแดนกับฝรั่งเศส ให้กลับมาอยู่ร่วมกันในไทย ด้วยเนื้อเพลงจับใจ “ข้ามโขงมาสู่แคว้นแดนไทย มาพวกเราชาวไทย พร้อมเพรียงกัน...” ไทยจำนวนมากข้ามโขงมาไทย ทุกคนเป็นไทยโดยพลันเมื่อมาถึงแผ่นดินไทย

9 มีนาคม 2519 รัฐบาลไทยออกประกาศให้พี่น้องไทยที่ตกค้างอยู่ในพม่า เพราะการปักปันดินแดนกับอังกฤษให้กลับไทยจะให้อยู่ที่ด่านสิงขร ไทยในพม่ามากมายตัดสินใจกลับ เกือบทั้งหมดมาจาก ต.สิงขร อ.ตะนาวศรี จ.มะริด ของพม่า หลายครอบครัวมีฐานะดีมีบ้านเรือนขนาดใหญ่มีฝูงปศุสัตว์นับสิบๆ จนถึงร้อยตัว ต่างยอมสละหมดสิ้นกลับมาไทย ด้วยเลือดไทยเดือดพล่านไม่ต้องการอยู่ใต้การปกครองใคร คนไทยเหล่านั้นเมื่อดั้นด้นเดินป่าขึ้นเขาลงห้วย รอนแรมอย่างระโหยมาถึงแผ่นดินไทยกลับได้รับ การปฏิบัติสุดทุเรศ ถูกกักกันเขตถูกระบุเป็น “ผู้หลบหนีเข้าเมือง” ต่อมาเอะใจเรียกใหม่ว่า “คนไทยพลัดถิ่น” ทั้งที่ทุกคนเป็นไทยด้วยเลือดเนื้อชีวิต และวิญญาณพูดอ่านเขียนภาษาไทยมาตลอด

30 กว่าปีผ่านมาคนไทยเหล่านี้มีราว 100 ครัวเรือน 400 กว่าคน เป็นประชากรที่มากที่สุดในหมู่ 6 บ้านด่านสิงขรโดยไม่ได้เป็นคนไทย ไปไหนก็ไม่ได้ต้องอยู่ในเขตจำกัดทำใบขับขี่ก็ไม่ได้ เคราะห์ดีที่ลูกหลานได้รับการผ่อนผันให้เรียนหนังสือได้ คุณยายเลื่อน ประกอบปราณ อายุร่วม 80 ปีแล้ว พูดอย่างอัดอั้นตันใจทั้งน้ำตาไหลพราก “อยู่ที่นี่จนผัวตายมีลูกหลานจนถึงเหลนแล้ว ก็ยังไม่มีใครยอมรับเป็นคนไทย ลูกหลานมันเป็นไทยทั้งตัว ฆ่ามันมันก็ไม่ยอมกลับไปพม่า” เราตรองดูแล้วจริง คนไทยที่ด่านสิงขรมีความเป็นอิสระย่ำแย่กว่าพม่า เขมร ลาว หนีเข้าเมืองเสียอีก

คนไทยเหล่านี้ผิดอะไร?




 

Create Date : 26 สิงหาคม 2549    
Last Update : 26 สิงหาคม 2549 21:05:19 น.
Counter : 985 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  

win_mma
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add win_mma's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.