Group Blog
 
All blogs
 

เพราะรู้ทุกข์จึงเติบใหญ่ เพราะเสียไปจึงได้มา


ขอบคุณภาพประกอบโดยความเอื้อเฟื้อจากคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

ตั้งใจว่าจะเริ่มบทความนี้ด้วยการถามว่า “สงกรานต์ ไปไหนครับ”
แต่กลัวจะมีคนตอบว่า “ไม่รู้ ไม่ใช่แอฟ ทักษอร” ^^” เลยไม่ถามดีกว่า

สงกรานต์ หรือการฉลองวันขึ้นปีใหม่ตามคติความเชื่อแบบไทย
ถือเป็นอะไรที่สำคัญสำหรับคนไทย ยิ่งกว่าตรุษจีนหรือตรุษฝรั่ง
แต่เพราะคนไทยชอบฉลอง สังเกตไหมครับ เราชอบความเฮฮาปาร์ตี้
เราเลยสังสรรค์กันได้ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมชาติไหน ประเพณีใคร
ถ้าคนไทยรู้ เราจะ..ตามไปเฮ ^^

แต่ว่ากันไม่ได้นะ มันเป็นธรรมชาติใน DNA ของมนุษย์ทุกคน
ที่ชอบความสุข และรังเกียจความทุกข์
เรามีปกติในการรักที่จะได้มา และไม่ชอบที่จะเสียไป

แต่ลืมไปว่า บางทีเพื่อจะได้บางอย่างที่วิเศษมา
มันต้องยอมเสียบางอย่างไปก่อน
และบางครั้งสิ่งที่สวยงาม มันก็เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่สวยงามนะ

รู้จักนักร้องตัวเล็กๆที่ชื่อ ชารีส ไหมครับ?
ชื่อจริงๆของเธอคือ ชารีส เพ็มเพ็งโก เป็นชาวฟิลิปปินส์โดยกำเนิด
ชีวิตวัยเด็กเธอลำบากมากครับ พ่อเธอขี้เมาไม่ดูแลครอบครัวและชอบซ้อมแม่
แม่เลยต้องหอบลูกเล็กๆสองคนหนีมาลำบากทำงานต๊อกต๋อย
เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองและลูกๆไปวันๆ

ความจน เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ชารีสหัดร้องเพลง
และเริ่มเดินสายร้องประกวดชิงรางวัลตามเวทีต่างๆ ตั้งแต่อายุแค่เจ็ดขวบ
เจ็ดขวบนี่ หลายคนยังนอนตีพุงดูการ์ตูนเนทเวิร์ค โดราเอมอน
เล่นกระโดดเชือก และทำอะไรไม่เป็นนอกจากร้องจะไปเที่ยวสวนสนุกอยู่เลย
แต่ชารีสช่วยแม่ทำงานเลี้ยงครอบครัวแล้ว

เธอดังขึ้นมาเพราะไปประกวดร้องเพลงในทีวีรายการหนึ่ง ตอนอายุ 12
ครั้งนั้นเธอได้ที่สาม แต่มีคนที่ชอบเสียงเธอเอาคลิปไปใส่บนยูทูป
เธอเลยเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก ได้ไปร้องโชว์ในรายการทีวีของเกาหลี
แล้วเอเลน ดีเจนเนอรีส ก็เชิญเธอไปออกรายการสองครั้ง
ตามด้วยโอปราห์ วินฟรีย์โชว์ รายการโชว์อันดับหนึ่งของอเมริกา
แถมโอปราห์ยังยกหูโทรศัพท์ โทรหาเดวิด ฟอสเตอร์ ฝากชารีสด้วยตัวเอง
เดวิด ฟอสเตอร์ ขัดเกลาชารีส แล้วพาขึ้นคอนเสิร์ตของเขา
ที่จบลงด้วยฝรั่งทั้งฮอลล์ยืนปรบมือให้เด็กเอเชียนอายุแค่ ๑๖ ปีในตอนนั้น
ทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าคนอเมริกา รู้จักเธอครึ่งประเทศได้นะ

ชารีสมีวันนี้ได้ ไม่ใช่เพราะเธอโตมากับความสบาย ความสุข
เธอไม่มีพ่อ เธอเสียโอกาสที่จะได้กินอยู่เที่ยวเล่นสบายเหมือนเด็กทั่วไป
ถ้าบ้านเธอรวย ชีวิตเธอสบาย ตอนนี้เธอก็คงเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่ง
ไม่ใช่ชารีสนักร้องอัจฉริยะที่โลกรู้จักตอนนี้

แต่เธอไม่ได้มีวันนี้เพราะชีวิตเธอลำบากอย่างเดียวนะครับ
เพราะคนมีชีวิตลำบากหลายคนก็ไม่ได้เลือกทางเดินชีวิตที่ดี
แต่เพราะเธอรู้จักปฏิบัติต่อความลำบาก ด้วยสติ ปัญญา ด้วยความเพียรด้วย

เธอไม่ใช่ตัวอย่างเดียวที่ต้องเผชิญทุกข์ ยาก ลำบาก ความสูญเสีย
แล้วเติบโตงอกงามขึ้นจากความสูญเสียนั้น

มีเรื่องเล่าว่า เจ เค โรวลิง นักเขียนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
เธอนั่งเขียนพล็อตแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ บนกระดาษเช็ดปากที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
ที่เธอไปนั่งอาศัยไออุ่น เพราะบ้านโดนตัดแก๊ส ตัดไฟ เพราะไม่มีเงินจ่าย
ที่ไม่มีเงินจ่าย เพราะเธอตกงาน และสามีเธอทิ้งไป
เธอเลยนั่งระบายความทุกข์ เป็นตัวละครตัวหนึ่ง ที่โตมาในสภาพแวดล้อมที่บีบคั้น
แต่มีเวทย์มนต์เสกโน่น นั่นนี่ขึ้นมาได้ และกลายเป็นแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ในเวลาต่อมา

ถ้าสามีไม่ทิ้ง ถ้าเธอไม่ตกงาน เธอคงไม่มีวัตถุดิบ ไม่มีเวลา
และแรงบันดาลใจมานั่งเขียนหนังสือ ว่าไหมครับ
ป่านนี้เธอคงเป็นแม่บ้านนั่งขัดพื้นครัว หน้ามันอยู่ที่ไหนสักแห่งในอังกฤษ

พวกเราที่นั่งอ่านบทความนี้อยู่ ก็คงมีเรื่องทุกข์ใจกันไปคนละอย่างสองอย่าง
มากบ้างน้อยบ้าง ตามแต่เหตุปัจจัย และกรรมวิบากของแต่ละคน

หลวงตาพระมหาบัว ท่านสอนว่า
“การไม่ยอมรับในความทุกข์ความลำบากบ้างเลย
แต่จะเอาความวิเศษเลิศโลกขึ้นมานั้นไม่มีทาง” (จากทวิตของคุณหมอก้วยครับ)

ลองมองทุกข์ในมุมใหม่ วางใจให้เป็นเวลาเห็นการสูญเสียในชีวิต
เพราะวิกฤต มันมักจะมีโอกาสซ่อนอยู่ในนั้นเสมอ นะครับ

สุขสันต์วันที่ยังมีทุกข์ให้รู้ครับ




 

Create Date : 25 เมษายน 2554    
Last Update : 25 เมษายน 2554 9:11:53 น.
Counter : 2252 Pageviews.  

เติมคำในช่องว่าง


(ภาพประกอบจากฝีมือและน้ำใจของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

ช่วงนี้เป็นเวลาสอบไล่ปลายภาคของเด็กหลายคน
เด็กบางคนสอบเสร็จแล้ว บางคนยังไม่เสร็จ
บางคนเสร็จแล้วแต่”เสีย”ต้องสอบใหม่
เสียตรงไหนไม่รู้ล่ะ รู้แต่ครูท่านเรียกให้ไป “ซ่อม” ^^”

ข้อสอบสมัยนี้จะต่างจากสมัยผมเป็นนักเรียนไหม ผมก็ไม่แน่ใจ
แต่สมัยผมจะแบ่งเป็นสองอย่างใหญ่ๆ คือปรนัย กับอัตนัย
ปรนัยคือข้อสอบที่มีตัวเลือก ก ข ค ง จ
ที่เด็กหัวซนบางคนอย่างผมจะมองเป็นรหัสว่า..“ก่อน เขียน คิดสิ โง่ จริง”
ส่วนอัตนัยคือข้อสอบที่ตั้งคำถามให้ผู้สอบเขียนอธิบายคำตอบ

วิธีออกข้อสอบปรนัยมีแบบหนึ่งที่เห็นบ่อย นั่นคือ “จงเติมคำในช่องว่าง”
เช่น 1) นายแอสตันหน้าเหมือน.........
ก. เคน ทีละเด้ด
ข. โดม ไปก่อนรำ
ค. แบรต พิษ
ง. มาริโอ้ เมาแล้วเรอ
จ. เห้งเจีย
ไม่ได้ล้อคนหล่อเขานะ ผมล้อตัวเองให้คุณอมยิ้มกัน ^^

ที่พูดถึงข้อสอบแบบนี้ เพราะผมเคยนั่งสังเกตการใช้ชีวิตของผมเองที่ผ่านมา
และชีวิตของคนรอบข้าง ผมพบว่ามันมีลักษณะคล้ายๆการพยายาม
”เติมคำในช่องว่าง”

ทุกคนคิดคล้ายๆกันว่า ชีวิตมันจะสมบูรณ์ เมื่อ........................
ชีวิตจะมีความสุข ถ้า........................................................
ชีวิตจะดีกว่านี้ถ้า ............................................................

กิจกรรมหลายอย่างที่เราอยากทำ ทำอยู่ และพยายามจะทำ
ไม่ว่าจะมีแฟน มีลูก เล่นเกม ดูทีวี ตีสนุ๊ก ขลุกกับเพื่อน ไปช้อปปิ้ง ฯลฯ
ล้วนแต่เป็นไปเพื่อเติมเต็ม”ช่องว่าง” เหล่านี้เป็นส่วนมาก

ข้อสอบสมัยเรียน มันมีถูกมีผิด เติมช่องว่างให้ชีวิตก็มีผิดได้เช่นกัน
อาจมีบางเวลาที่เติมอะไรก็ “ถูกทุกข้อ” และมีบางเวลาที่ “ผิดหมดทุกข้อ”

จุดที่น่าสังเกตมากๆคือ
กระทั่งคำตอบที่ให้เลือกว่า “ผิดหมดทุกข้อ” ก็ยังได้คะแนนถ้าตอบถูก
เพราะอะไรครับ? ใครตอบได้มั่ง : )

เพราะการรู้ว่าอะไรผิดนั่นแหละ สำคัญไม่แพ้การรู้ว่าอะไรถูกเลยนะ
เคยมีติวเตอร์บางคนสอนวิธีทำข้อสอบว่า อย่าเพิ่งมองหาข้อที่ถูก
เพราะบางทีคนออกข้อสอบเขาสับขาหลอกพวกมือไวใจเร็วนี่แหละ
แต่ให้ตั้งสติ แล้วตัดข้อที่ผิดออกไปก่อน จนเหลือตัวเลือกน้อยที่สุด

แล้วถ้าคนออกข้อสอบชีวิตให้เราตอบเป็นมือระดับพญามาร
ท่านก็คงสับขาหลอกเก่งไม่แพ้คริสเตียนโน โรนัลโด เหมือนกัน

บางคนได้ข้อเสนอที่(ดูเหมือน)ดี เพราะดูสบาย แถมเงินงามไปสามชั่วคน
แต่ต้องเกี่ยวข้องกับอะไรที่ผิดศีล ผิดธรรม ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน
ถ้าไม่ใช้วิธีตัดข้อผิดออกไป เราก็อาจเลือกทางสายนี้ได้ง่าย
ด้วยเหตุผลอย่างที่เราได้ยินบ่อยๆว่า “ใครๆเขาก็ทำกัน”

หรืออย่างหลายคนบ่นกับผมแทบทุกวันว่า
เจอแต่คนที่ผิดลูกผิดเมียผิดผัวขาวบ้านเขาในทุกหัวระแหง

ถามว่า คนเหล่านั้นรู้ไหมว่าทำแบบนั้นมันไม่ดี ..ส่วนมากรู้ครับ
แต่สามารถหาเหตุผลดีๆมาหลอกตัวเองได้ว่า ..
เพราะเรารักกันบ้าง.. ใครๆเขาก็ทำกันบ้าง
หรือ.. เพราะมันเป็นพรหมลิขิตบ้าง

แต่ถ้ามีสติปัญญาฉุกคิดเป็น จะนึกได้ว่า..
ระดับพระพรหมท่านอยู่สูงขนาดนั้น ท่านจะมาลิขิตให้คนผิดศีลรึ?
คำตอบคือ ไม่มีซะล่ะ คนเรานี่แหละเลือกจะสร้างกรรมเอง
ทางพุทธเราเรียก กรรมวิบาก หรือกรรมลิขิต

การเจริญสติ พัฒนาจิต จนมีสมาธิตั้งมั่น เดินปัญญาได้
เบื้องต้นก็เป็นไปเพื่อให้รู้ทันกิเลสที่อัดเต็มช่องว่างในใจเรา
ตัดตัวเลือกที่ผิดออกไปได้ ก่อนจะเรียนรู้สิ่งที่ถูก
และเลือกสร้างเลือกเติมช่องว่างด้วยกรรมดี

ฉะนั้น ไม่ว่าวันนี้โจทย์ชีวิตคุณจะยากขนาดไหน
ขอให้เติมคำในช่องว่างนั้น ด้วยสติ เมตตา และปัญญานะครับ

สุขสันต์วันที่ชีวิตยังมีช่องว่างให้เติมอยู่ครับ




 

Create Date : 15 เมษายน 2554    
Last Update : 15 เมษายน 2554 20:08:46 น.
Counter : 2771 Pageviews.  

กฏของความใกล้


(ภาพประกอบฝีมือและน้ำใจจากคุณแป๋ว Seven Daffodils ครับ)

คืนหนึ่ง ผมเดินออกมาทำธุระหน้าบ้าน
เกิดนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้เป็นคืนหลังวันมาฆบูชาหมาดๆ
พระจันทร์น่าจะยังสวยอยู่ เลยเงยหน้าขึ้นมอง

แล้วนายแอสตันเห็นพระจันทร์ไหม? … เห็นครับ
แต่ที่เห็นชัดกว่า สว่างกว่า เด่นกว่า ไม่ใช่พระจันทร์ครับ
แต่เป็นโคมไฟจากเสาไฟฟ้าหน้าบ้านผมเอง

ถามว่า.. เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ อะไรสว่างกว่ากัน
อะไรใหญ่กว่า ระหว่างโคมไฟกับพระจันทร์?
คำตอบที่ได้ ยังไงมันก็ต้องเป็น... พระจันทร์ ว่าไหมครับ

แล้วปัจจัยอะไรทำให้ผู้ชายตาตี่อย่างนายแอสตัน
เห็นโคมไฟริมถนน ใหญ่กว่า เด่นกว่า สว่างกว่าพระจันทร์ไปได้นะ
คำตอบที่ผมได้คือ.. ความใกล้ไงครับ

ในมงคล ๓๘ ประการ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าคือเหตุของชีวิตที่ดีงาม
ท่านเริ่มด้วย การไม่คบคนพาล และคบบัณฑิต เป็นสองประการแรก
แล้วยังมี การอยู่ในถิ่นอันสมควร การได้เห็นสมณะ ในข้อต่อๆมา

เพราะคนเรา อยู่ใกล้ใคร ใกล้อะไร
โตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน ก็มีแนวโน้มจะเป็นแบบนั้น

ผมเคยสังเกตว่า คนต่างจังหวัดที่ผมรู้จักจะใจเย็น
และมีน้ำใจกับคนแปลกหน้ามากกว่าคนกรุง
ส่วนหนึ่งก็เพราะวิถีชีวิต บรรยากาศ สภาพแวดล้อม วิธีคิด

บางท่านอาจจะพอทราบว่า ผมใช้ชีวิตวัยเด็กที่เชียงใหม่
ตอนเรียนจบก็เลือกกลับไปทำงานที่นั่นอีกสามปี
ทุกเดือน จะต้องกลับมาประชุมในกรุงเทพฯเดือนละครั้ง
ผมเคยสังเกตว่า หลังจากกลับไปอยู่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่ง
ความเร็วของชีวิตมันจะค่อยๆช้าลง ช้าลง
จนเวลากลับเข้ามาประชุมในกรุงจะรู้สึกแตกต่างอย่างเห็นชัด

เคยมีคนบอกว่า จิตใจคนเราเหมือนฟองน้ำ จะซึมซับสิ่งที่อยู่รอบตัว
แต่บางคนที่ผมเจอ หนักกว่า คือใจเขาเหมือนทิชชู่ ซึมซับง่ายเหลือ
ถ้าหนักกว่านั้น ก็พวกผ้าอนามัยคือมีปีก และไม่ไหลย้อนกลับด้วย
คือบอกเท่าไหร่ เตือนเท่าไหร่ ก็ไม่ฟัง อันนี้เป็นกรรมอย่างหนึ่ง

คนเราถ้ามีสติ มีปัญญาที่เคยสั่งสมภาวนาติดตัวมา ก็จะเหมือนมีเครื่องกรอง
ยังรู้จักเลือกซึมซับ กลั่นกรองว่าจะรับอะไรดีๆเข้ามาบ้าง
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะไหน หรือตัวจะอยู่ในสถานที่ยังไง

ความใกล้ มีสองนัยนะครับ ใกล้ทางกาย กับใกล้ทางใจ
ถ้าไม่มีเวลาภารกิจเยอะ ทั้งลูก ทั้งหลาน ทั้งงานบ้านช่อง
พาตัวเองไปเจอคนดีๆ ในที่ดีๆ สภาพแวดล้อมดีไม่ได้
ก็เจริญสติ ด้วยการระลึกถึงพระพุทธเจ้า อยู่กับพุทโธก็ได้ครับ

อย่าเอาเงื่อนไขชีวิตทางโลก มากันเราออกจากสิ่งดีงามทางใจ
อย่าเอาคำว่า ไม่มีเวลา มาปิดโอกาสจะอยู่ใกล้ธรรมะ
ใกล้ความจริงของชีวิต ที่จะพาเราพ้นทุกข์ได้

เพราะสิ่งที่อยู่ใกล้เราตลอดเวลาชนิดเราอาจจะนึกไม่ถึง
ก็คือมัจจุราช ความตายนั่นเอง

สุขสันต์วันที่ลมหายใจออก ยังอยู่ใกล้กับลมหายใจเข้านะครับ




 

Create Date : 15 เมษายน 2554    
Last Update : 15 เมษายน 2554 19:43:22 น.
Counter : 1833 Pageviews.  

คำแนะนำแด่สาวนักช้อป Advice for the Shopaholic


(ขอบคุณคุณแป๋ว SevenDaffodils ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบครับ)

"มีปัญหากับแฟนจนเกือบจะเลิกกันเพราะแฟนไม่ชอบในเรื่องความคิดและการตัดสินใจของเราค่ะ

ที่หนักๆเลยคือเวลาอยากได้อะไรมากๆจะไม่มีสติ เช่นกระเป๋าแพงๆ ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ควรรีบซื้อ แต่ ณ ตอนนั้นถ้าไม่ได้ก็ทรมาน มันทุกข์เพราะอยากได้อยู่อย่างงั้น เหมือนมีความอยากในหัวตลอด จนตอนหลังก็แพ้กิเลสตัวเอง

ครั้งหลังสุด ชอบทั้งสองสี ได้สีนึงแล้ว กลับรู้สึกอีกสีสวยกว่าก็สั่งมา พอได้มามันไม่สวยอย่างที่คิด กว่าจะได้กระเป๋ามันก็รู้ว่าทุกข์มากๆ พอได้มาแล้วก็สุขที่ได้มา แต่ก็ยังมีทุกข์ที่รู้สึกว่าทำให้แฟนผิดหวังเรื่องใช้เงิน แล้วก็รู้สึกผิดต่อครอบครัว

ครอบครัวเราก็ไม่ถึงกับลำบาก แต่ทุกคนใช้เงินประหยัด แล้วพอแฟนไม่ให้ซื้อ ใจก็เห็นด้วย แต่พอความอยากมันไม่หมดไป ก็หาเหตุผลว่า คนอื่นก็เงินเดือนเท่าเราทำไมเค้าก็ซื้อ เริ่มรู้สึกแย่ว่าทำไมเราซื้อไม่ได้ทั้งๆที่ก็เงินหามาเอง ทำไมแฟนคนอื่นเค้าไม่ว่าไม่มีปัญหาขนาดนี้

กรณีแบบนี้ควรหัดยังไงคะ อยากจะใช้เงินแบบมีสติโดยที่ใจก็ไม่ทรมานมากๆ ขอคำแนะนำด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ"


สารภาพว่า ผมอ่านเรื่องของคุณแล้วนึกถึงหนังสือชื่อ "Confessions Of A Shopaholic"
ที่เคยมีคนเอามาสร้างหนังเมื่อหลายปีก่อน อาการของนางเอกในเรื่องก็ครือๆกัน

คือเสพติดการช้อปปิง เห็นอะไรแล้วอยากได้เป็นต้องซื้อ โดยเฉพาะของแบรนด์เนม
ไม่ว่าจะแพงขนาดไหน ก็จะหาเหตุผลมาบอกตัวเองว่า "ต้องซื้อ" ให้ได้เสมอ

เคยเห็นคนติดยาแล้วลงแดงไหมครับ อาการอาจจะไม่เหมือนกันทีเดียว
แต่มีลักษณะคล้ายกันคือ รู้ว่าไม่ดี ไม่ควร แต่มันเย้ายวนใจเกินทน

สิ่งที่คุณเสพติด มันไม่ใช่แค่การได้จับจ่าย ได้มาครอบครอง
แต่มันคือการติดในความอยาก ดังนั้นพอฝืนความอยากแล้วจะทรมาน
เหตุอย่างหนึงของการเสพติดอะไรก็ตาม คือการทำซ้ำสิ่งนั้นบ่อยๆ
ฉะนั้น เมื่อเคยชินจะตามใจความอยาก การเสพติดก็เกิดได้ไม่ยาก

ผมไม่รู้ว่า คำว่า.. ครอบครัวไม่ลำบากที่คุณว่า นี่แปลว่ารวยได้ไหม
คือถ้าการจับจ่าย มันไม่เกินฐานะจริงๆ เช่นเงินเดือน 2 แสน
คุณจะใช้ครึ่งเดียวสักเดือนละแสน ก็คงไม่มีใครว่าได้นะ

แต่ถ้าเงินเดือนสี่หมื่น ใช้เงินเดือนละสี่หมื่นห้า นี่ไม่ดีแล้ว
จะไปเอาเหตุผลว่า คนเงินเดือนเท่าๆกันเขาก็ซื้อ เขาก็มีกัน เห็นจะไม่ควร

เพราะคนเราจะอวดกัน ก็มักจะงัดมาอวดแต่ในด้านที่ดี
แต่ถ้ามีหนี้พอกบาน ขี้คร้านจะหมกเม็ดกันไว้ให้มิด ไม่ให้ใครรู้

ถ้าคุณคิดว่า สิ่งที่คุณใช้จ่าย มันพอเหมาะพอสมกับรายรับดีแล้ว
มีเหลือกินเหลือเก็บเหลือทำบุญดีแล้ว ก็แนะนำให้คุยกับแฟนให้ดีครับ
อาจจะตั้งเป็นงบประมาณ ให้เขาเป็นคนดูแลให้ ว่าเดือนหนึ่งๆจะใช้แค่ไหน

แล้วจากนั้น ก็ต้องเคารพสิ่งที่ตกลงกัน
แปลว่าถ้าคุณใช้ไม่เกินจากนั้น เขาก็ไม่ต้องมาบ่น

แต่ถ้าเขาให้งบประมาณ ตามที่คุณเห็นพ้องไม่ได้
ก็ต้องเลือกนะครับ ว่าแฟนกับกระเป๋า อะไรสำคัญกว่ากัน

ถ้าอยากซื้อของตามตัณหา ตามใจอยาก
เราตอบคำถามแค่ว่า "เท่าไหร่?" ก็พอ

แต่ถ้าอยากซื้อของด้วยสติ ให้ตอบคำถามว่า "เพื่ออะไร?" ด้วย

เราได้ยินกันเสมอๆว่า..คนเราชอบมองกันที่ภายนอก
แต่คำถามคือ ..แล้วเราล่ะ มองตัวเองที่ภายนอก หรือภายใน?

บางครั้ง ก็ควรถามตัวเองว่า.. ถ้าเราไม่ได้สิ่งนั้นมา แล้วทำไมเหรอ?
ชีวิตเราจะจบลง ถ้าไม่ได้ซื้อของสิ่งนั้นไหม?

สุดท้าย คือคำถามว่า ทำไมเราจะต้องอยากได้ของนั้น?
ถ้าคำตอบคือ "ความสุข" ลองถามต่อว่า แล้วที่อยากอยู่นี่สุขหรือทุกข์?

ถ้าการได้มาซึ่งสิ่งนั้น มันทำให้เราพ้นทุกข์ได้จริง
ทำไมเราถึงต้องมีความอยากใหม่ๆขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น

การเทน้ำลงในทะเลทราย ไม่ทำให้ทรายเปียกอยู่นาน
เพราะน้ำย่อมแห้งเหือดหายไปอย่างรวดเร็วฉันใด
การสนองความอยาก ก็ไม่อาจทำให้ความอยากหมดไปเช่นนั้น

หัดรู้ทันความอยากของเราไว้นะครับ แล้วอย่าให้มันชนะเรา
ลดโอกาสการเกิดความอยาก เช่น เดินห้างเท่าที่จำเป็น
อย่าเอาตาไปเห็นอะไร ที่มันจะกระตุ้นความอยากได้

ทุกวันสวดมนต์ ทำสมาธิ พิจารณากายบ้าง
ระหว่างวันใช้เวลา ฝึกสติ รู้ทันความอยากในใจบ่อยๆ

อยากพูด อยากกิน อยากดื่ม อยากบ่น อยากเถียง อยากด่า
ไปจนถึงอยากได้ รู้ทันไว้หมดนะ

อันไหน ไม่ทัน ช่างมันครับ นับหนึ่ง เริ่มต้นใหม่ไว้
ถ้าคุณชนะความอยากเมื่อไหร่ นั่นแหละ
จะมีความสุขอีกแบบ ที่สงบ ไม่เร่าร้อน เป็นรางวัล

สุขสันต์วันที่โลกไม่เคยเว้นจากป้ายลดราคาครับ




 

Create Date : 28 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 15 เมษายน 2554 21:04:23 น.
Counter : 1858 Pageviews.  

กับดักของการมี



(ขอบคุณภาพประกอบโดยความเอื้อเฟื้อจากคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

เคยคิดไว้ไหมครับว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร

ผมเคยมีลิสต์งานที่ผมอยากทำมากมาย ยาวเป็นหางว่าว
หลายอย่างในรายการเหล่านั้น ผมเคยทำมาแล้ว บางอย่างก็กำลังทำอยู่

ผมเคยนึกอยากมีงานจ๊าบๆ ทำ อยากเป็นพวกครีเอทีฟ
ตอนจบใหม่ๆ เคยพยายามถีบตัวเองเท่าไหร่ ก็ไม่ได้เป็นสักที

แต่มาค้นพบว่าคนเราสามารถเป็นครีเอทีฟได้ในชีวิตประจำวัน
พูดซื่อๆ คือไม่ต้องมีเงินเดือน เราก็ครีเอท สร้างสรรค์ได้ทุกวัน

ตั้งแต่เรื่องเบสิคอย่างหุงข้าว ทอดไข่
ไปจนถึงการปฏิบัติภาวนา ผมยิ่งว่ามันครีเอทสุดๆ เลยนะ

เพราะการภาวนาขั้นที่ละเอียดที่สุด
มันเหมือนเคล็ดวิชากำลังภายในอย่างที่โกวเล้งเขาว่า
...กระบี่อยู่ที่ใจ ที่สุดของกระบวนท่า คือไร้กระบวนท่า…
อะๆ อะๆ ลงจากบู๊ตึ้ง ง่อไบ๊ คุนลุ้น เส้าหลิน กันมาก่อนครับ มาคุยกันต่อ

แล้วคุณๆ เคยคิดอยากมีโน่นนั่นนี่บ้างไหมครับ ?
ถ้าให้จดรายการออกมา รับรองมีกันทุกคนแหละ ไม่ต้องมาอมยิ้ม J

ในจำนวนนั้น มีอะไรบ้างที่เรามี จนลืมไปแล้ว
อะไรบ้างที่เคยมี จนมีอันใหม่ๆ นับแทบไม่ไหว
บางคนมีเสื้อเป็นร้อยชุด ยัดกันจนตู้เสื้อผ้าแอ่น
บางคนมีร้องเท้า ตุ้มหู มากจนไม่รู้เท่าไหร่
แต่เราก็ยังอยากได้อันใหม่ๆ เสมอ

เห็นไหมครับว่าการได้มาของสิ่งเหล่านั้น
มันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต
ไม่อย่างนั้น เราคงหมดอยากไปตั้งแต่ได้ของสองสามชิ้นแรกแล้ว

แล้วอะไรบ้างที่อยากมี แต่ไม่เคยมีสักที
ถ้าคุณมีรายการอันหลังสุดนี้ ผมจะบอกว่าโชคดีแล้วล่ะ

เพราะรายการอย่างหลังนี่ ถ้าไม่เป็นเรื่องคนรัก
ก็มักเป็นเรื่องของแพงๆ...พวกรถ บ้าน ผมเดาถูกไหม

แล้วในเมื่อยังไม่ได้ มันโชคดียังไง ผมจะเล่าให้ฟัง

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ผมหนีกทม. ไปเที่ยวเหนือมาครับ
ไปนอนในเมืองเชียงใหม่สองคืน แล้วไปปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอน
ต่อด้วยห้วยน้ำดัง เชียงใหม่และลำปาง

อยู่ๆไป เกิดปัญญาวุฒิ กเรเตเต ขึ้นมาว่า..
เอ๊ะ...บนดอยนี่อากาศก็ดี ชีวิตก็แสนจะสโลว์ไลฟ์
อย่ากระนั้นเลย เราระเห็จจากกทม. มาอยู่บนดอยเสียน่าจะดี

แต่ฉับพลันทันใด วิมานก็สลายเหมือนสายรุ้งโดนควันไฟ
เพราะนึกได้ว่าผมมีบ้านมีรถที่ยังติดผ่อนธนาคารอยู่
ถ้าจะขายตอนนี้ เห็นทีจะลำบาก เพราะบ้านใหม่ๆ มีเยอะแยะ

จะขายขาดทุนก็ไม่ได้ เพราะเพิ่งผ่อนได้สามปี เงินต้นก็ยังเหลือบานอยู่
ในเมื่อยัง “มี” บ้านกับรถ ก็ยังต้องอดทนทำงานในกทม.ต่อไป
เพราะไปอยู่บนดอย จะหวังมีรายได้มากอย่างที่รับเงินเดือนอยู่
ก็เห็นจะต้องไปขายยาบ้า ซึ่งก็ไม่ฉลาดที่จะทำอย่างนั้น

ตกลงไอ้ที่เคยอยากมีบ้าน ก็มีแล้ว แต่มีแล้วเคยคิดว่าจะสุข
กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางความสุขยิ่งกว่าที่มาค้นพบทีหลังเสียนี่

คนส่วนมากเห็นภาระเป็นของดี เพราะชอบใจในการมี การถือครอง
แต่กระทั่งกายใจ (ที่เราคิดว่าเป็น) ของเราเอง
พระพุทธเจ้าท่านยังว่าเป็นภาระ เป็นของหนักเลย

แล้วนับประสาอะไรกับสิ่งนอกกาย ที่เรามักไปแสวงหา
ไปแย่งชิง ตบตี แก่งแย่งกัน ไปโกงเขามา มันจะไม่หนัก

ฉะนั้น ใครที่ไม่มี ไม่ได้ ไม่เป็นอะไร สักที
จงดีใจไว้เถอะครับว่าคุณมีบุญแล้ว

สุขสันต์วันที่มีความไม่มีอะไรครับ





 

Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2554 14:08:44 น.
Counter : 1596 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.