Group Blog
 
All blogs
 

เหตุของความฉลาด



(ภาพประกอบจากความใจดีของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

ถาม : “มาขอคำปรึกษาครับ เพราะมีคนบอกว่าคุณพี่เป็นคนที่มีจิตใจสงบมาก
ผมอยากจะทราบทำอย่างไรจึงจะลืมภาพที่เราเคยมีความสุขกับแฟน”

ตอบ : ก่อนอื่น ขอแก้ข่าวนิดนึงที่คุณว่า มีคนบอกว่าผมมีจิตใจสงบมากน่ะ
ไม่จริงนะ ผมนี่แหละฟุ้งซ่านตัวพ่อเลย ^^"
ถ้าจิตใจผมสงบมากจริงๆ ผมไม่ต้องคอยฝึกสมาธิหรอก ^^ สบายแฮไปแล้ว

ส่วนที่ถามว่า จะลืมได้ไงนี่ตอบไม่ได้ครับ เพราะจิตแต่ละคนมันฉลาดไม่เท่ากัน หนึ่ง
และจิตเขาไม่ใช่เรา อีกหนึ่ง

ศัพท์บาลีท่านเรียกว่า จิตเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
เราสั่งจิตไม่ได้จริงหรอก ถ้าเขาไม่เห็นดีเห็นงามด้วย
ที่ทำได้ก็คือทำเหตุให้จิตเขาฉลาดขึ้น
ไม่ไปสนใจเรื่องที่มันจบไปแล้วและไม่มีสาระจะนึกถึง
เหตุที่ทำได้ที่ว่า คือการมีสติรู้ทันการคิดของจิต

หลวงพ่อปราโมทย์ท่านสอนมือใหม่บ่อยๆว่า
เริ่มต้น ให้หาเครื่องอยู่ไว้ให้จิตอย่างนึง
เลือกที่เขาสบายใจด้วยนะ เช่น รู้ลมหายใจหรือนึกถึงคำบริกรรมก็เอาสักอย่าง

รู้เล่นๆไป แล้วโดยธรรมชาติถ้าไม่กดข่มไว้
จิตมันจะต้องแอบหนีไปคิด ไปนึก ปรุงแต่ง

เราไม่ต้องห้ามจิตไม่ให้มันหนีนะ
แต่เวลาจิตมันหนีไปคิด ไปนึก ไปปรุงแต่งเมื่อไหร่ ให้รีบรู้สึกตัว
รู้ทันใจว่าจิตมันคิด จิตมันนึก จิตมันปรุงแต่งให้เร็วที่สุด พอละ

ทุกครั้งที่รู้ นั่นแหละ เราทำเหตุให้จิตมีสติขึ้นแล้ว หนึ่งครั้ง
จิตที่มีสติมากพอจะเริ่มตั้งมั่น เห็นความจริงว่า
ไอ้เรื่องที่เรากลัวนักหนา ดิ้นรนวุ่นวายกับมัน มันก็แค่ความคิด

เรื่องในอดีต จะดีจะร้ายยังไง
มันทำอะไรเราได้ ก็ด้วยอาศัยการคิดของจิตนี่แหละ
ฉะนั้น เรามีสติครั้งนึง ก็ตัดวงจรการคิดฟุ้งไปในอดีตไปครั้งนึง

พอความคิดมันขาดไป ดับไปบ่อยเข้าๆ จิตจะเริ่มฉลาดขึ้นเองว่า
บร๊ะเจ้าจ๊อด ที่ผ่านมา ตูหาทุกข์ใส่ตัวตูเองทั้งนั้นเลย
เรื่องจบไปแล้วก็ยังทะลึ่งเก็บมาคิดซ้ำย้ำซ้อน ทำเป็นอ้อนอยู่อย่างนั้น
แล้วจะเห็นอีกว่า สิ่งทั้งหลายเกิดแล้วล้วนแต่ดับ ไม่มีอะไรคงที่

จิตสุขก็ชั่วคราว จิตทุกข์ก็ชั่วคราว คิดดีก็ชั่วคราว คิดเรื่องง่าวๆก็ชั่วคราว
เฉยๆก็ชั่วคราว จิตมีสติก็ชั่วคราวอีก มีแต่ของชั่วคราว
ในเมื่อมีแต่ของชั่วคราว จะไปหวังไปยึดไปแบกอะไรไว้ให้หนักตุ้มทำไม
จิตที่เห็นความจริงถึงจุดนี้ จะฉลาดและไม่ทุกข์นาน

ที่ไม่ทุกข์นาน เพราะพอจิตไปแบกไปยึดอะไรพอรู้ตัวก็รีบปล่อย
มันรู้แล้วไงว่า เมื่อไหร่จิตอยาก จิตยึด แล้วจิตจะทุกข์
ปล่อยแล้วก็เบาสบาย เรื่องอดีตก็เท่านั้น ปัจจุบันก็เท่านี้

ทั้งหมดนี้ เริ่มจากเหตุที่ชื่อ "สติ" แค่ตัวเดียวเลย
ฉะนั้น มันอยากจำก็ให้มันจำไป เรามีหน้าที่ทำให้มันฉลาดด้วยการ "รู้ทันจิต" พอแล้ว
สุขสันต์วันที่จิตยังคิดอยู่ครับ


ปล. ขอประชาสัมพันธ์นี้ดส์นึงนะ ท่านที่บอกว่าหาหนังสือผมไม่เจอ
อยากแนะนำว่า ธนาคารความสุข ๑-๔ ทั้งสี่เล่ม
มีขายที่ซีเอ็ดบุ๊ค หรือถ้าสาขาใกล้บ้านท่านไม่มีก็สั่งได้จาก
www.primapublishing.co.th ครับ
ส่วน “วิตามินแห่งความสุข” เป็นหนังสือของผมอีกเล่มที่หลายท่านไม่ทราบ
ถ้าหาไม่เจอ สั่งได้จาก www.matichonbook.com นะครับ




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2555    
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 15:50:17 น.
Counter : 1974 Pageviews.  

จอดำ ใจ(ไม่)ดำ



(ภาพประกอบจากความใจดีของคุณแป๋ว
SevenDaffodils ครับ)

ใครที่รู้จักผมดีพอประมาณ จะพอทราบว่าผมเป็นคอบอลตัวยงคนหนึ่ง

ผมดูฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี ๑๙๗๘ ที่อาร์เจนติน่าเป็นเจ้าภาพ

ตอนนั้นผมอายุ ๑๑ ขวบ นั่งดูผ่านตาตี่ๆ จากทีวีขาวดำ ๑๔ นิ้ว
หนวดกุ้งยังไม่มี มีแต่ก้างปลาที่นกชอบมาเกาะแล้วขี้ใส่
และเมืองไทยยังไม่มีถ่ายทอดสดบ้าระห่ำแบบทุกวันนี้

ขนาดชื่อ aston27 ยังมาจากทีมฟุตบอล
จะพูดว่าไม่บ้าบอล ก็คงไม่แคล้วผิดศีลข้อ ๔
แต่จะบ้าขนาดไหน ผมก็ไม่เล่นพนันบอลนะ

มาถึงปีนี้ ๒๐๑๒ ปีที่บอลยูโรกลับมาอาละวาด
ผมถึงพบว่า การได้เข้านอนเมื่อถึงเวลาที่ง่วง
โดยไม่ต้องอาลัยอาวรณ์ว่าทีมไหนจะอยู่ทีมไหนจะไป
เป็นความสุขอย่างยิ่งชนิดหนึ่ง

ฟุตบอลยูโรปีนี้น่าสนใจครับ
ถ้าสังเกต จะเห็นอะไรหลายเรื่อง...เรื่องแรก

ปีนี้สเปนได้แชมป์ชนิดสร้างประวัติศาสตร์
เพราะเป็นทีมแรกที่ป้องกันแชมป์ยุโรปได้
แถมยังเป็นทีมแรกของยุโรป ที่ได้แชมป์เมเจอร์สามครั้งติด
คือแชมป์ยุโรปครั้งก่อน แชมป์โลกครั้งล่าสุด
และแชมป์ยุโรปอีกหนในครั้งนี้

แต่ประวัติศาสตร์แบบนี้ บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องที่เขาเอาไว้แบกกัน
เพราะจากนี้ สเปนจะลงเล่นด้วยภาระหน้าตาของสามแชมป์ใหญ่
ความกดดันจะยิ่งเพิ่ม เพราะแพ้ไม่ได้ เสียหน้านะ อายเค้า

และไม่ว่าทีมไหน จะได้กี่แชมป์ก็ตาม อีกไม่นานก็ต้องลงเตะใหม่
เพื่อ “รักษาแชมป์” ไว้ให้นานที่สุด เพียงเพื่อจะพบว่า
ไม่เคยมีแชมป์โลกคนไหน เป็นแชมป์ตลอดกาลหรอก
ไอ้ที่พูดว่า คนนั้นคนนี้เป็นแชมป์ตลอดกาล
อันนั้นพูดเอาใจให้เกียรติกันเฉยๆนะ

อีกเรื่องครับ เรื่องของจอดำ
อันนี้เป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับหลายคน
แต่เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับคนที่อยากดูบอลยูโร

ผมเคยสงสัยตัวเองว่า ทำไมเป็นคนไทย ถึงต้องอยากดูบอลยูโร
ได้คำตอบว่า เพราะมันเป็นกระแสสังคม

สังคมสร้างกระแสแล้วสังคมก็ต้องเป็นทาสของกระแสอีกที
และที่จอมันต้องดำ ก็เพราะไอ้กระแสนี่แหละ

คือมีคนเชื่อว่ากระแสบอลยูโรมันสำคัญ ยิ่งใหญ่
เลยควักเงินหลายร้อยล้านเพื่อจะซื้อสิทธิมาถือไว้คนเดียว
เลยมีเงื่อนไขตามมาวุ่นวาย จนจอต้องดำ
ท่ามกลางเสียงบ่นของคนอยากดูแต่อดดูว่า... ใจดำ

คนเราชอบดูบอล อยากดูบอล เพราะดูแล้วมีความสุข
แต่อาจจะลืมไปว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
ความอยากน่ะเป็นสมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์นะ

เพราะเอาเข้าจริง ก็มีคนรอบตัวผมจำนวนมาก
ที่ไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลย กับเรื่องจอดำ
แปลว่า จอดำ เป็นปัญหาเฉพาะก็แต่กับคนที่อยากดู

และในบรรดาคนที่อยากดู ก็มีไม่น้อย
ที่ไม่ทุกข์กับจอดำ เพราะยอมรับได้ว่า
ในเมื่อไม่พอใจจะจ่ายค่ากล่องให้อากู๋ จึงไม่ได้ดู

บางเรื่อง ถ้าเข้าใจได้ ถึงจะไม่ถูกใจเรา เราก็ไม่ทุกข์นะ
บางเรื่อง ถึงเข้าใจไม่ได้ ไม่ถูกใจ แต่ถ้ายอมรับได้
ก็ไม่ทุกข์อีกเช่นกัน

ถามว่า... ทำไมปีนี้คอบอลอย่างผม เข้านอนหลับสบาย
โดยไม่ได้ดูถ่ายทอดสดแม้แต่คู่เดียว ตั้งแต่หมดรอบแรก

ตอบว่า... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ
รู้แต่ว่า ภาวนาไปเรื่อยๆ พักหลังๆ มารู้สึกว่า
ความสุขในโลกที่เราเคยปลื้ม เคยหลงไหล
เคยรู้สึกว่ามันเป็นสีสันอัศจรรย์เหลือเกิน
มันก็อย่างนั้นๆ แหละ

มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ดูก็ดี ไม่มีก็ไม่ดู
จอดำไปแล้ว ไม่เป็นไร ให้กสทช.เขาแก้กันไป
จิตอย่าดำตามจอไปก็พอ

สุขสันต์วันที่จอไม่ดำแล้วครับ




 

Create Date : 31 สิงหาคม 2555    
Last Update : 31 สิงหาคม 2555 15:55:44 น.
Counter : 2503 Pageviews.  

ปืน ผี สิงห์ ไก่ เรือใบ หงส์


(ขอบคุณภาพประกอบจากฝีมือและความใจดีของคุณแป๋ว SevenDaffodils นะครับ) 

มีคนเคยสงสัยเสมอว่า ชื่อ aston27 ที่ผมใช้เป็นเสมือนนามปากกาเนี่ย มาจากไหน
อันนี้ถ้าใครอ่านหนังสือธนาคารความสุข เล่มแรก คงได้คำตอบไปแล้ว
แต่เผื่อว่าใครยังไม่ได้อ่าน จะเฉลยให้ฟังอีกที


แอสตัน เป็นชื่อชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองเบอร์มิ่งแฮม
เป็นที่ตั้งของสนามฟุตบอลชื่อวิลล่าปาร์ค ของสโมสรแอสตันวิลล่า
บอกเท่านี้คงเดาได้ว่า ผมเป็นแฟนฟุตบอลของทีมไหน


ผมเชียร์ทีมนี้มานานแล้วครับ ตั้งแต่ปี 1980
ให้ผมยกสองมือสองเท้ามานับนิ้วก็ยังไม่พอ
แต่ไม่ต้องยื่นเท้ามาช่วยผมนะ ผมคิดเลขในใจเป็น ^^


ไปเจอคนอังกฤษคุยกันเรื่องฟุตบอล เขาถามว่านึกยังไงถึงเชียร์วิลล่า
เหตุผลตลกๆคือไม่มีเหตุผลครับ เหมือนตอนนั้นทีมนี้เขาดัง ก็เชียร์


พวกคอบอลในไทยส่วนมากก็เริ่มเชียร์ทีมโปรดด้วยเหตุผลคล้ายๆกัน
คือรู้สึกว่าทีมนี้มันเจ๋ง มันเท่แฮะ หรืออาจจะชอบนักเตะคนใดคนนึงมาก่อนก็ได้


ถามว่าผมมีบ้านเกิดอยู่เบอร์มิ่งแฮมเหรอ... เปล่าครับ
มีโคตรเหง้าเหล่ากงหรืออาตั่วอึ้มมาจากอังกฤษรึเปล่า... เปล่าครับ
ชีวิตนี้ใกล้เคียงสุดก็เคยไปแค่ลอนดอน แมนเชสเตอร์ 
ไม่เคยเหยียบเบอร์มิงแฮมเลย


ทุกวันนี้เรามีคนที่ประกาศตัวว่าเป็นเด็กปืน สาวกผีแดง 
ญาติสิงห์ พี่ไก่ เพื่อนเรือใบ หัวใจหงส์ เต็มไปหมด
ทั้งที่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเมืองนั้น ทีมนั้นเลยสักกระบิ

เอาเข้าจริง บางคนยังไม่เคยออกนอกประเทศไทยเลย
ถ้าไม่นับข้ามไปฝั่งพม่าทางตลาดท่าขี้เหล็ก แม่สอด ด่านเจดีย์สามองค์นะ


ความยึดมั่นถือมั่นของมนุษย์ที่มีต่อทีมฟุตบอลโปรดของตัวเอง
ก็ไม่ต่างจากกระบวนการสร้างอัตตาตัวตนขึ้นมานั่นแหละครับ


มันเริ่มมาจากความไม่มีอะไร เหมือนที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
จนกลายเป็นมีอะไรขึ้นมามากมาย เป็นจริงเป็นจัง
อาศัยแค่ความยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดว่านี่แหละตัวฉันเป็นจุดตั้งต้น
แล้วก็พอกพูนเปลือก ที่เป็นผลผลิตของความคิดว่ามีตัวมีตนขึ้นทีละนิดๆ


เด็กบางคนชอบดูบอล แล้วก็เริ่มเชียร์ เริ่มสนใจ เริ่มยึดติด
ลืมตาขึ้นอีกที ไอ๊หยา ห้องนอนกลายเป็นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปแล้ว
(ชื่อสนามบอลของแมนยูเขาน่ะครับ)


ไม่ได้บอกว่าให้เลิกดูบอล หรือเลิกเชียร์ทีมไหนนะครับ
ผมเองก็ยังดู ยังเชียร์ แต่ดูใจตัวเอง เชียร์ให้ตัวเองมีสติไปด้วย
และอย่าบ้า อย่าคลั่งมากจนไปเบียดเบียนคนอื่นทีมอื่น

มนุษย์สร้างตัวตนขึ้นมาจากความคิด
แล้วตัวตนเทียมๆนั้น ก็กลับมาพันธนาการตัวเรา
แถมยังมีอิทธิพลกำหนดความคิดเราเสียเอง


หลายคนเชียร์ทีมนึง แล้วชอบไปเยาะเย้ยถากถางอีกทีม
วันไหนชนะก็ทับถมเขา วันไหนแพ้ก็หมดอาลัยตายอยาก
อันนั้นจริงจังมากไป และโดนความยึดมั่นถือมั่นมันหลอกเอา


คนเราเอาจิตไปยึด ไปผูก ไปรักสิ่งใด ก็ทุกข์ใจเพราะสิ่งนั้น
จะรักคน รักสัตว์ รักปืน ผี สิงห์ ไก่ เรือใบ หงส์ ก็มีทุกข์เพราะสิ่งนั้น

ถ้ามีสติ มีปัญญาพอประมาณ ก็ทุกข์น้อยหน่อย
ถ้าสติหลุด ปัญญาหล่น ก็ทุกข์มากหน่อย
ถ้าสติมาก ปัญญามั่น ก็อาจพ้นทุกข์ได้เลย

สุขสันต์วันที่ลูกฟุตบอลยังกลมอยู่ครับ




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2555 11:56:26 น.
Counter : 1743 Pageviews.  

มังเว้ยเฮ้ย


(ภาพประกอบจากความใจดีของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

แถวบ้านผมมีร้านขนมปังร้านนึง มาเปิดใหม่ ชื่อว่าร้าน “ปังเว้ยเฮ้ย”
เขาดังพอใช้ได้ และว่ากันว่าอร่อยจนขายดีขนาดมีสาขา

ไม่ได้จะมาชวนกินอะไรนะ แต่เห็นชื่อร้านแล้วนึกถึงเรื่องหนึ่ง
ที่มีคนถามผมในทวิตเตอร์ เขาถามว่า

ถาม: “คนที่ทานเนื้อสัตว์ที่ทำเป็นอาหารสำเร็จรูป
แล้วไม่มีส่วนรู้เห็นในการฆ่าสัตว์ จะมีส่วนร่วมบาปด้วยหรือเปล่าคะ”


ตอบ: เจตนาจะฆ่าไม่มี ก็ไม่มีเหตุของบาปอยู่ครับ

ถาม  “ตามหลักศาสนาพุทธ ห้ามทานเนื้อสัตว์หรือเปล่าคะ
เพราะศีลข้อ ๑ บอกว่าห้ามฆ่าสัตว์”


ตอบ: ท่านห้ามฆ่าแต่ไม่ห้ามกินเนื้อที่ถูกฆ่ามาแล้ว

ต้องเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ฉันผักอย่างเดียวนะ
กระทั่งพระ ก็ทรงอนุญาตให้รับจากชาวบ้านที่ทำสำเร็จอยู่แล้ว

ข้อปลีกย่อยก็เช่น ถ้าพระรู้ว่าเขาฆ่าสัตว์ตัวนั้นๆ
เพื่อเจาะจงเอามาถวายท่าน ท่านก็ฉันไม่ได้ 
หรือเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารถวายท่าน ก็ฉันไม่ได้

แล้วก็มีเนื้อต้องห้ามเช่น ๑. เนื้อมนุษย์ ๒. ช้าง ๓. ม้า ๔. สุนัข ๕. งู
๖. ราชสีห์ ๗. หมี ๘. เสือโคร่ง ๙. เสือดาว ๑๐. เสือเหลือง

ที่เหลือจะฉันไม่ฉัน เป็นเรื่องความสะดวกของแต่ละบุคคล
แต่ไม่ให้ทำการฆ่าหรือไปดูเขาฆ่าเสียเอง 

ต้องเข้าใจว่า กินเจหรือมังสวิรัติ ทำได้ก็ดีต่อสุขภาพ
แต่ถ้าไม่กินเจแล้วทำทาน เจริญสติ รักษาศีล แบบนี้ดีกว่านะ

คำว่าภิกษุ มาจาก ภิกขุ แปลว่าผู้ขอ เช้ามาก็ไปบิณฑบาต
ชาวบ้านเขาทำอะไรกิน เขาอุตส่าห์แบ่งมาใส่บาตร
จะไปบอกว่าโยม อาตมาไม่ฉันเนื้อ มันดูเรื่องมากไป

แต่ถ้าลงบาตรแล้ว หรืออยู่ในสำรับ พระจะทานไม่ทานอะไร
อันนั้นก็เป็นสิทธิที่ทำได้ แต่บางสายก็ให้พิจารณาว่ามันเป็นอาหาร

บุญกิริยาวัตถุมีเยอะนะ ตั้ง ๑๐ อย่าง
ถ้าเพ่งจ้องสนใจแค่เรื่องกินเนื้อสัตว์หรือไม่กิน ได้ประโยชน์น้อยนะ

เคยมีคนถามหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง เรื่องกินเนื้อไม่กินเนื้อนี่แหละ
ว่า...ตกลงจะวางใจเชื่อฝ่ายไหนดี ท่านตอบว่า…

“เหมือนกบกับคางคกนั่นแหละ โยมว่ากบกับคางคกอย่างไหนมันดีกว่ากัน"

หลวงปู่ขยายความว่า การบริโภคอาหารเป็นสักแต่ว่า
เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงร่างกายพอให้คงอยู่ได้ 

ท่านไม่ให้ติดในรสชาติของอาหาร
ไม่ให้ติดอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง 
ให้รู้จักประมาณในการบริโภค ไม่ให้บริโภคด้วยตัณหา 

ถ้าคนกินเนื้อไปติดอยู่ในรสชาติของเนื้อ นั่นเป็นตัณหา
ถ้าคนไม่กินเนื้อ พอเห็นคนอื่นกินเนื้อก็รังเกียจและโกรธเขา
ไปด่าว่านินทาเขา นี่ก็ชื่อว่าทำไปตามอำนาจของตัณหาเหมือนกัน

หลายคนพูดว่า กินเจเพื่อเจริญเมตตาต่อสัตว์
แต่การพูดเสียดสีคนที่กินเนื้อ อันนี้ก็ขาดเมตตาแล้ว

หลวงปู่ชา ท่านสรุปไว้ว่า “แต่ทางที่ถูกนั้น ใครจะกินอะไรก็กินไป แต่ให้มีธรรมะ"

ฉะนั้น อย่าทะเลาะกัน อย่าเสียเวลาไปวุ่นวายว่า จะมังหรือไม่มัง
คนที่กินมัง ก็ระวังอย่าให้มานะอัตตามันพอง จะเป็นพวก “มังเว้ยเฮ้ย”

สุขสันต์วันที่ยังทานอาหารทางปากอยู่ครับ




 

Create Date : 05 กรกฎาคม 2555    
Last Update : 5 กรกฎาคม 2555 15:27:17 น.
Counter : 3180 Pageviews.  

อาหารใจ


(ภาพประกอบจากความใจดีของคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

นักโภชนาการฝรั่งเขามีคำพูดว่า “We are what we eat”

อย่าไปแปลเป็นภาษาไทยยวนกวนประสาทตามสไตล์คุณแอสตันนะ
ไม่งั้นคำแปลจะออกมาว่า “เรา เป็น อะไร เรา กิน”

บางคนอ่านถึงบรรทัดนี้แล้วอาจถึงกับอุทานว่า
เรื่องนี้ต้องถึงหูครูอังคณาแน่!

บางคนไปแปลได้เมามันยิ่งกว่าผมอีกว่า
“เราเป็นในสิ่งที่เรากิน”

ถ้าเป็นแบบนั้นจริง มนุษย์เราคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดมาก
เพราะเป็นครึ่งคน ครึ่งหมู ครึ่งไก่ ครึ่งไข่ ครึ่งผัก ครึ่งปลาไหล ครึ่งปลาหมึก ^^

ความจริงฝรั่งเขาหมายถึงว่า
เราเลือกกินอาหารแบบไหน ร่างกายก็จะแสดงผลออกมาอย่างนั้น

ถ้ากินอาหารดีมีประโยชน์ สุขภาพก็จะดี
กินอาหารไม่มีประโยชน์ สุขภาพก็จะแย่
แต่ไม่ได้บอกว่าถ้ากินแย้แล้วไซร้ สุขภาพจะเป็นยังไงนะ

อย่างที่เรารู้กันว่า ชีวิตคนเรามันประกอบด้วยสองส่วน
ร่างกายส่วนหนึ่ง จิตใจก็อีกส่วน

ตอนเด็กๆเรารู้มาจากครูสุขศึกษา ที่จำไม่ได้ว่าชื่อครูอะไร...ว่า
ร่างกายต้องการอาหารหลักห้าหมู่

แต่อาจไม่รู้ว่าจิตใจ เขาก็ต้องการอาหารเหมือนกัน
ถ้าร่างกายทานอาหารอะไร แล้วรับผลเป็นอย่างนั้น

จิตใจก็ไม่ต่างกันครับ
เราป้อนอะไรให้เขาทาน จิตใจก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย

อาหารของจิตที่เขาทานตลอดเวลามีชื่อว่า “อารมณ์”
ในภาษาพระท่านจะใช้คำว่า “จิตเสวยอารมณ์”

อารมณ์ก็มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์เสีย อารมณ์เฉยๆ
มีอารมณ์ที่เป็นกุศล อารมณ์ที่เป็นอกุศล และที่กลางๆ

จะว่าไป เลือกอาหารให้ร่างกายเลือกง่ายกว่านะ
เพราะอาหารทางใจบางทีเราไม่ค่อยรู้ทันใจตัวเอง

อย่างตอนแรกไปอ่านหนังสือของคุณดังตฤณ
นั่นเป็นผัสสะทางตาที่ดี อ่านแล้วจิตก็ปรุงดี
พอมาอ่านหนังสือธนาคารความสุขของนายแอสตัน
มันเขียนอะไรก็ไม่รู้ อ่านแล้วงง จิตก็ปรุงโทสะ เป็นต้น

จิตเขาเก่งนะ เขาสามารถปรุงอารมณ์ต่างๆ เองแล้วก็กินเอง 
กินจนอ้วน แต่ไม่เคยอิ่ม 

เคยนั่งอยู่คนเดียว ไม่มีใครมายุ่งมาทำอะไร
แล้วก็ขุดเรื่องกิ๊กเก่าๆ สมัยทวาราวดีขึ้นมาดราม่าตัวเองไหม

นั่นแหละ ถ้าปล่อยให้จิตเสวยอารมณ์ไปแบบไม่ทำอะไร
จิตก็มักจะเจียะป๊าบ่อสื่อ หาเรื่องใส่ตัวแบบนั้นเอง

พระท่านว่า จิตมีธรรมชาติไหลลงต่ำ 
ฉะนั้น ปล่อยให้เขาลอยๆไหล ไม่มีสติ 
หาอารมณ์รับประทานไปเรื่อยๆ ไม่ดีนะ

จะเลือกอาหารที่ดีให้จิต ก็ต้องทำเหตุที่ดี
ไม่ต้องทำอะไรพิสดารเลยครับ แค่มีสติ รู้สึกตัว
รู้ทันจิตที่คิด จิตที่ปรุงแต่ง แสวงหา แค่รู้นะ ไม่ต้องห้าม

ที่เหลือก็คบหาสนทนากับคนที่มีสัมมาทิฐิ ฟังเทศน์ฟังธรรม
อย่าคบคนพาล คบบัณฑิต พระพุทธองค์สอนไว้ จำได้ใช่ไหม

ถึงเวลาก็ไหว้พระ สวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือธรรมะ เจริญเมตตา
เหล่านี้ก็เป็นเหตุที่ดี เป็นอาหารที่ดีของจิตนะ

บางคนบอกว่า แบบนี้จิตก็เป็นภาระสิ เหมือนต้องคอยเลี้ยงมัน
ปล่อยทิ้งเลยได้มั้ยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระ

ตอบว่า ถ้าทำได้ก็ดีสิครับ แต่เอาเข้าจริงๆ
ถามว่าแล้วใครจะเป็นคนปล่อยทิ้งจิต ...ก็เรา

ในเมื่อยังมีความรู้สึกว่าเป็นเรา ก็ปล่อยไม่ได้จริงหรอกครับ
ต้องทำเหตุให้จิตเขามีปัญญา
จนจิตเขาปล่อยเขาวางของเขาเอง

เมื่อไหร่ ก็เมื่อนั้นนะ อย่าใจร้อน ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้

สุขสันต์วันที่ยังเลือกได้ว่าจะกินอะไรนะครับ




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2555    
Last Update : 17 มิถุนายน 2555 8:29:47 น.
Counter : 2381 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.