Group Blog
 
All blogs
 
คำถาม: เพ่ง งง สงสัย จะภาวนาไปทำไม



มีคำถามตกค้างมาตั้งแต่ พ.ย. 52 ผมเพิ่งไปเห็นเข้า ตกใจรู้ว่าตกใจ
เลยรีบตอบให้เสียก่อนจะไปนอน ขออภัยที่ทำให้รอนานนะครับ

สวัสดีค่ะ คุณ aston

คือรู้สึกสับสนระหว่างการ รู้สึกตัว กับการเพ่งน่ะค่ะ สมมุติเรานั่งอยู่เฉยๆ เรารู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก และรู้สึกเฉยเฉย แต่ทำไมเวลาเรารู้สึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ ถึงกลายเป็นเพ่งล่ะคะ ก็ถ้าเราไม่ได้คิดอะไรเลย รู้ไปอย่างนี้เรื่อยๆ จะไม่ได้เป็นการเพ่งไม่ได้หรือคะ

ขอบคุณค่ะ

โดย: DeeNee


ก่อนจะไปเรื่องเพ่ง ขอแนะนำว่า ความสงสัยเป็นสิ่งที่ควรรู้ทันเสมอนะครับ

ครูบาอาจารย์ผมท่านเตือนบ่อยๆว่า
นักเรียนวิปัสสนามักมีตัวถ่วง ที่ควรระวังเหมือนๆกันอยู่สองตัว
ตัวแรกคือขี้เกียจ ตัวสองคือสงสัย

ไม่ได้บอกว่าห้ามมี ห้ามขี้เกียจ ห้ามสงสัย
แต่บอกว่า ขี้เกียจก็ให้รู้ทัน แล้วเมื่อถึงเวลาก็ภาวนาตามที่ตั้งใจไว้
เวลาสงสัย ก็ให้รู้ทันจิตที่สงสัยอยู่ แล้วค่อยพิจารณาว่า
มันเป็นคำถามที่มีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์

ส่วนมาก คนที่ดูจิต จะเป็นปัญญาชนคนเมือง เจ้าความคิด ฟุ้งซ่าน
ก็เลยขี้สงสัยกันเป็นปกติ ถ้าไม่รู้ทัน ก็จะสงสัยไม่จบสิ้นจนไม่เป็นอันภาวนา

ส่วนเรื่องเพ่ง อันนี้ว่าตามประสบการณ์ ความเข้าใจของผมเองนะครับ
การเพ่งก็เป็นการรู้สึกตัวอย่างหนึ่ง แต่เป็นการรู้สึกตัวที่มีเจตนารุนแรง
เพื่อจะบังคับให้จิตแน่วแน่ในสิ่งที่จิตรู้นั้นโดยไม่เคลื่อนออกไปเลย

เช่นเวลารู้ลม ก็บังคับให้รู้แต่ลม เอาจิตไปยึดแน่นกับลม
ไม่ใช่แค่ "รู้สึก" ถึงลมหายใจเข้าออกตามธรรมชาติ
ไม่ได้เห็นร่างกายนี้หายใจเข้าออกตามปกติ แต่บังคับกระทั่งการหายใจ

เท่าที่ศึกษามาจากผู้รู้ ท่านแนะนำว่า กรรมฐานที่อาศัยลมหายใจเข้าออก
ที่ถูกให้เพียงแต่รู้สึกสบายๆ ถึงรูปกายที่มีธาตุลมไหลเข้าออก
ไม่ใช่ให้ไปบังคับลมให้แรงหรือให้เบา ให้สั้นหรือให้ยาว
ตามที่เราชอบเพื่อจะได้เห็นลมชัดๆ

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเคยให้หลักไว้ว่า สมถะเริ่มเมื่อหมดความตั้งใจ
ฉะนั้น จะเจริญสมถะกรรมฐานด้วยการเพ่ง ก็เท่ากับจงใจจะบังคับให้จิตสงบ
ผลที่ได้มักจะเป็นตรงกันข้าม

แต่ถ้ารู้ว่าร่างกายมันหายใจของมันเอง ลมเข้าสั้นก็สั้นเอง ลมออกยาวก็ยาวเอง
มันทำงานได้เอง เราไม่ต้องบังคับ มันก็หายใจได้เอง เราเพียงแค่คอยรู้สึก
ถ้าทำได้อย่างนี้ จะพบว่าจิตสงบเร็วมาก

สมถะกรรมฐาน คือการเอาจิตไปรู้อารมณ์อันใดอันหนึ่งอย่างต่อเนื่องก็จริง
แต่ก็ไม่ได้จำเป็นต้องเพ่งอยู่ดีนะครับ รู้แบบสบายๆก็ได้นะ

ส่วนคำถามต่อมา มาจากหลังไมค์ครับ

คนเราจะเฝ้าดูจิตไปทำไมคับสุดท้ายก็เพื่อให้รู้ว่าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา พอทุกอย่างไม่ใช่ของเราแล้วจะทำไปทำไม สุดท้ายเกิดแล้วก็ตายเหมือนกัน

deponj


คำถามนี้จัดอยู่ในหมวดคลาสสิคจริงๆครับ
ต้องชมคนถามที่ตั้งคำถามได้ดีครับ

น่าคิดอย่างที่น้องเขาถามจริงๆใช่ไหมครับ
ถ้าทุกอย่างไม่ใช่ของเรา ไม่มีตัวเราถาวร แล้วจะดูจิตไปทำไม

สมัยผมเรียนหนังสือ เคยมีสติ๊กเกอร์ติดท้ายแท็กซี่อันนึงที่ผมชอบมาก
อาจจะหยาบคายนิดนึง แต่ขออนุญาตไม่เปลี่ยนคำ เพราะมันได้อารมณ์มาก

"เรียนไปก็ไร้ค่า ตายห่าลืมหมด"

ถูกของพี่แท็กซี่เขานะครับ เพราะความรู้ทางโลก เรียนมากเท่าไหร่
ตอนตาย จะโหงหรือจะห่า ก็เอาไปไม่ได้แม้สักบรรทัดเดียว ครือกัน

เพียงแต่คำถามคือ เรารู้ได้ยังไงว่าเราจะตายเมื่อไหร่
แล้วระหว่างที่ยังมีชีวิต ระหว่างคนที่ได้เรียนหนังสือ กับไม่ได้เรียน
แบบไหนมันมีโอกาสในชีวิตดีกว่ากัน?

ในเมื่อเรายังต้องเจริญเติบโต ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่า
การศึกษาจึงมีคุณค่าที่เราจะใช้สร้างอนาคตและชีวิตที่ดีให้ตัวเองได้

การภาวนาก็เหมือนกันครับ จะดูกายดูจิตก็เถอะ
ถ้าเรารู้แจ้งจริงๆแล้วว่า กายนี้ใจนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่มีตัวตนถาวร เป็นอนัตตา
การจะต้องเฝ้ารู้เฝ้าดูจิต ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำอีก

จึงมีศัพท์เทคนิคเรียกคนที่สำเร็จมรรคผลแล้วว่า "อเสขบุคคล" (อะเสขะ)
แปลว่าผู้ที่ไม่ต้องเรียนแล้ว คือพระอรหันต์นั่นเอง
(เสขะ = สิกขา = ศึกษา รากศัพท์เดียวกันครับ)

แต่ในเมื่อ ณ ปัจจุบัน คุณกับผม เรายังเรียนไม่จบ
เรายังมีความเห็นผิด ยังเห็นกายนี้ใจนี้เป็นตัวตนถาวรของเรา
เมื่อยังมีความเห็นผิด กิเลสยังย้อมใจเราติด ความทุกข์ก็ยังเกิดมีอยู่

การคอยตามรู้ตามดูกายใจของตัวเอง
จึงมีคุณค่าและจำเป็นสำหรับทุกชีวิต

หรือถ้าคิดว่าจากวันนี้จนวันตาย เราสามารถสั่งให้ตัวเรามีแต่ความสุข
ไม่ต้องพบกับความทุกข์เลยจนวินาทีสุดท้าย

อันนั้น การเรียนรู้จักตัวเอง คอยดูกายดูใจ ก็ไม่จำเป็นอีกเช่นกัน

หวังว่าคงพอได้คำตอบนะครับ

สุขสันต์วันที่ยังหายใจเข้าก่อนหายใจออกครับ


Create Date : 20 มกราคม 2553
Last Update : 20 มกราคม 2553 2:02:19 น. 4 comments
Counter : 1543 Pageviews.

 
เย้คนแรก แล้วก็รู้ว่าดีใจที่ได้เขียนเป็นคนแรก


โดย: gyroscope27 IP: 94.193.68.94 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:6:18:24 น.  

 
P' Ed,

Points well made ka - Good answers to the very good second question.

What a late night you have!
Hope you don't have an early day ahead na ka.

:)


โดย: Tui - jinajinajina IP: 89.194.64.170 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:6:42:03 น.  

 
"ขี้เกียจก็ให้รู้ทัน แล้วเมื่อถึงเวลาก็ภาวนาตามที่ตั้งใจไว้
เวลาสงสัย ก็ให้รู้ทันจิตที่สงสัยอยู่"

โดนกิเลสสองตัวนี้หลอกอยู่เรื่อยเหมือนกัน
รู้ไม่ค่อยทัน มานึกรู้ตอนหลังจากเลิกภาวนาทุกที

จะพยายามต่อไปค่ะ


โดย: noi IP: 10.1.20.32, 61.91.248.100 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:9:55:51 น.  

 
สาธุค่ะพี่ ^/\\^

"เรายังมีความเห็นผิด ยังเห็นกายนี้ใจนี้เป็นตัวตนถาวรของเรา
เมื่อยังมีความเห็นผิด กิเลสยังย้อมใจเราติด ความทุกข์ก็ยังเกิดมีอยู่"
...
และจะพลาดพลั้งให้กิเลสแบบไหนบ้าง ก็ยังไม่อาจรู้ได้
อ่านแล้วก็..
พึงไปภาวนาต่อเถิด ต้นอ้อเอ๋ย

สุขสันต์วันที่โลกมีมืดมีสว่างค่ะ -/\\-


โดย: ต้นอ้อ -^_^- IP: 61.90.23.211 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:0:09:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.