Group Blog
 
All blogs
 
"อะไรๆก็กู"

bank-168

ไม่ได้จะมาบ่น หรือระบายความเซ็งอะไรให้ฟังหรอกนะครับ

ว่าแต่คุณผู้อ่านเคยเห็นสติกเกอร์ท้ายรถแท็กซี่ สิบล้อ สองแถว

ที่เขียนว่า “อะไรๆก็กู” บ้างไหม ?


วลีนี้ อ่านเผินๆบางคนรู้สึกขำ บางคนรู้สึกระคายเคือง

ตอนผมเห็นทีแรก ไม่ทันนึกอะไร เข้าใจว่าคนติดคงแค่ขำๆ


แต่พอเห็นบ่อยๆเข้า จิตก็นึกอะไรขึ้นได้อย่างหนึ่งว่า

ท่านอาจารย์พุทธทาสฯ เคยสอนเรื่อง ตัวกู ของกู

ตรงกับที่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์หลายท่านก็สอนว่า


เบื้องลึกเบื้องหลังของคนเรานั้น ไม่ว่าจะทำอะไร

ก็ล้วนมีมานะอัตตา มี “กู” อยู่เป็นแรงผลักข้างหลังเสมอ

จะสุข ก็รู้สึกว่ามันคือ “กูสุข” พูดเพราะๆหน่อยก็ว่าเราสุข

จะทุกข์ ก็รู้สึกว่าเป็นเราทุกข์ เฉยๆก็ยังเป็นเราเฉยๆเลย

จะชอบ จะชัง จะรัก จะเกลียด จะอะไรๆ ก็ล้วนแต่มีเราลงไปกำกับ


พูดแบบวิชาการหน่อย พระท่านใช้สำนวนว่า

จิตจะปรุงความมีตัวมีตน ว่าเป็นเรา เป็นเขา ขึ้นมา

ทั้งที่ความจริงแล้ว “เรา” น่ะไม่มีจริงหรอก

มันมีแต่ธาตุขันธ์ทำงานร่วมกัน กลายเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น

ว่ามีตัวเรา มีของเรา มีตัวเขา มีของเขาขึ้นมา


ถ้ามีนักเลงมาอ่านถึงตรงนี้ อาจจะชี้หน้าถามว่า

ถ้ามี “กู” แล้วไอ้คนเขียนน่ะ จะทำไม มีปัญหาอะไรรึ


ตอบว่า... ไม่มีปัญหาอะไร นอกจากเมื่อมี “กู”

ก็ย่อมมีทุกข์ “ของกู” กระทั่งสุขแล้ว ก็ยังมีทุกข์

เพราะอยากให้สุขของกู อยู่ไปนานๆชั่วกัลปาวสาน


หลวงพ่อปราโมทย์ฯ ท่านเคยแสดงธรรมว่า

สิ่งที่มนุษย์รักและหวงแหนที่สุดก็คือตัวเราเอง

อยากให้เราสุข อยากให้เราดี อยากเพราะมี “กู”


คนเราทุกวันนี้ที่ผิดศีล ที่เบียดเบียนกันมาก

ก็เพราะความยึดมั่นว่ามี “กู” เชื่อไหมครับ

โกรธคนอื่น ตีเขาได้ ทำร้ายเขาผิดศีลข้อ ๑ ได้

เพราะทนไม่ได้ที่เขามาเบียดเบียน มาว่า “กู”


คนที่อยากรวยอยากมีอยากได้ จนกล้าลักขโมย โกงเขาได้

ก็เพราะรักตัวเอง ทนไม่ได้ที่ “กู” จน กูลำบากหรือมีน้อยกว่าคนอื่น

หรือมีมากแล้วก็อยากให้ “กู” มีมากขึ้นไปอีก


อยากได้สามีภรรยาคนอื่นมาเป็นของตน ก็เพราะ “กู” อยากได้

โกหกคนอื่นได้ก็เพราะรักในหน้าตา ชื่อเสียงของ “กู”

กินเหล้าเมายาได้ ก็เพราะอยากให้ “กู” สนุก เป็นสุข

นี่แหละครับ ที่มาของชื่อตอนว่า “อะไรๆก็กู”


ถามว่า... รู้อย่างนี้แล้ว เราจะทำอะไรได้ล่ะ คุณแอสตัน

ตอบว่า... ขนาดถามยังมี “เรา” โผล่มาเลย เห็นไหมครับ ^^

ตอบอีกทีว่า... ไม่ต้องทำอะไรนอกจากทำสามอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกไว้


ทำทาน รักษาศีล แล้วภาวนา เจริญสติไปนั่นแหละนะ

ทาน เป็นการฝึกจิตให้มีความคุ้นชินจะสละออก

ทำบ่อยๆ ทำอย่างถูกวิธีมีสติ มีปัญญา “กู” จะค่อยๆตัวเล็กลงๆ

ยิ่งอภัยทานนี่ มันต่อต้านการมีกู ได้ชะงัดมากเลยนะ


คนที่มีมานะอัตตามาก ยิ่งตัว “กู” ใหญ่มาก

ก็ยิ่งทำอภัยทานยาก เพราะรักในตัวตนมากนั่นแหละ


ศีล เป็นการฝึกจิตให้มีสติ มีเมตตากับตนเองและผู้อื่น

อยู่ร่วมกันอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่กร่าง ไม่ก้าวร้าว

ไม่เบียดเบียนกัน ไม่เอา “กู” เป็นที่ตั้ง แถมลดลงได้ด้วย


สุดท้ายภาวนา คือการเจริญสติ เรียนรู้ความจริงว่าด้วยตัวเองไป

จนเห็นความจริงว่า “กู” จริงๆน่ะไม่มี มีแต่ความคิด ความเห็นผิด

ว่าไอ้รูปนามกายใจในขันธ์ ๕ นี่ มันคือตัวเรา


ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านถึงสอนว่า “ให้ตายเสียก่อนตาย”

แปลว่า ให้ภาวนาจนพ้นจากการมี “กู” ได้ตั้งแต่ยังมีชีวิตนะ

เพราะถ้าหมด “กู” ก็หมดเชื้อเกิด ไม่มีทุกข์อะไรที่เป็น “ของกู”

มีแต่ร่างกาย มีจิตใจที่เป็นทุกข์ แต่ไม่มี “กูทุกข์”


พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ปฏิเสธการมีกูด้วยการคิดเอานะ

แต่ท่านให้ภาวนา เพราะถ้าแค่คิดเอา ก็จะกลายเป็น “กูไม่มีกู”


ภาวนากันเถอะครับ สนุกมาก ขอบอก


สุขสันต์วันที่ยังมีโอกาสจะเห็นว่า “อะไรๆก็ไม่ใช่กู” นะครับ




Create Date : 20 มีนาคม 2556
Last Update : 29 มีนาคม 2556 15:40:57 น. 7 comments
Counter : 3123 Pageviews.

 
พูดง่าย คิดง่าย แต่มันทำยากนะครับ
ถ้าทำได้จะเป็นผู้ที่ได้มรรคผลนะครับ
ส่วนเรา ๆ ก็คงได้แค่ขัดเกลาให้มันน้อยลงเท่านั้นเอง

ขอขอบคุณธรรม ดี ๆ ที่มีมาในตอนเช้าครับ


โดย: เถาตำลึง วันที่: 20 มีนาคม 2556 เวลา:8:38:51 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้ยังมี "กู"อยู่ แต่จะพยายาม ภาวนาให้เห็นตามจริงให้ได้ค่ะ


โดย: newanatta วันที่: 20 มีนาคม 2556 เวลา:13:37:25 น.  

 
@เถาตำลึง ความจริงมันตรงข้ามกับที่คุณบอกเลยครับ

หลวงปู่ดูลย์ฯ เคยสอนหลวงพ่อปราโมทย์ฯ ว่า "การปฏิบัตินั้นไม่ยาก มันยากแต่เฉพาะผู้ไม่ปฏิบัติ"

คือถ้าแค่พูดกับคิด มันจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยครับ ต้องลงมือปฏิบัติ ถึงจะเป็นไปได้

ผมถึงเน้นตอนท้ายว่าให้ภาวนากันนะครับ ^^


โดย: aston27 วันที่: 29 มีนาคม 2556 เวลา:15:44:17 น.  

 
ขอบคุณที่ทำให้ฉุกคิดขึ้นบ้าง
ไม่ได้แวะมาเป็นปี
สบายดีนะคะ

บุญรักษา..เทวดาคุ้มครองคะ



โดย: kanyong1 วันที่: 11 เมษายน 2556 เวลา:18:49:28 น.  

 
ยังไงก็รู้สึกว่าการภาวนาไม่สนุก
แต่ก็รู้สึกว่าต้องทำเพื่ออนาคต
ยังอ่อนด้อยอยู่มั้งคะ เลยยังไม่รู้สึกไม่สนุก
และตัวกูก็ยังอยู่
แต่ก็พยายามเอาสติมาจับและพยายามสละออกเท่าที่สติอันเบาบางพอจะมีนะคะ

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ


โดย: หนูลีลี วันที่: 13 เมษายน 2556 เวลา:21:25:01 น.  

 
เพิ่งเคยเข้ามาอ่านบล็อคนี้ค่ะ
ลึกซึ้งมาก ให้ตายเสียก่อนตาย

ปล การภาวนาคืออะไรคะ สวดมนตร์ ตั้งจิต??


โดย: u027 IP: 58.8.121.110 วันที่: 15 กันยายน 2556 เวลา:22:30:15 น.  

 
อะไรๆก็กู มักฉุกคิดขึ้นมาตอนทำงานค่ะพี่แอสตัน


โดย: jajah IP: 111.84.4.68 วันที่: 12 ธันวาคม 2556 เวลา:22:13:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.