Group Blog
 
All blogs
 

น้ำท่วม แมลงวัน กับทางออก


(ภาพประกอบโดยฝีมือและความใจดีของคุณ SevenDaffodils ครับ)

คำทักทายที่ติดปากคนไทยในเมืองหลวงวันนี้
เห็นจะไม่มีประโยคไหนทันสมัยไปกว่า “บ้านน้ำท่วมมั้ย”

เพื่อไม่ให้เป็นการตกยุคตกสมัย ในเมื่อบ้านอื่นเขาท่วมกัน บ้านผมก็ท่วมมั่ง
ผมนั่งลุ้นมาสามวันว่าน้ำที่มาสามัคคีชุมนุมกันเต็มโรงรถกับสนามหญ้าหน้าบ้าน
จะเข้ามาสันทนาการในบ้านผมโดยไม่ได้รับเชิญวันไหน และเท่าไหร่

ผมพบว่าส่วนที่แย่ของน้ำท่วม ไม่ได้อยู่ตรงที่มันท่วมหรอก
มันอยู่ตรงที่เราไม่รู้ว่ามันจะท่วมเมื่อไหร่ กี่วัน และจะท่วมสูงแค่ไหนมากกว่า
คือถ้ารู้แน่ เราก็นัดแฟนนัดญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาช่วยยกของแผลบเดียว
คำนวณได้ว่าจะวางกระสอบทรายสูงแค่ไหน จะวางแผนไปลี้ภัยกี่วัน
กลับมาก็รื้อกระสอบทรายออก ล้างบ้าน ทำความสะอาด แล้วจบกัน

แต่มาถึงตรงนี้ก็ได้แต่ฟังข่าวซึ่งก็สะเปะสะปะไม่รู้จะเชื่อใครดี
แล้วก็เดาครับว่าน้ำน่าจะสูงเท่านั้นเท่านี้ ยกของไว้ขนาดนี้ก็แล้วกัน

ระหว่างที่นั่งทำงานอยู่กับบ้าน เพื่อรอดูสถานการณ์น้ำท่วม
ก็มีแมลงวันตัวใหญ่พอเหมาะแต่เคราะห์ร้ายตัวหนึ่งบินหลงเข้ามา
คาดว่าแกจะบินเข้ามาจากประตูระเบียงที่ผมเปิดไว้รับลม
ผมนั่งดูแกบิดฉวัดเฉวียนเวียนวนเหมือนคนหาทางออกไม่เจอ
เดชะกรรม มันฟังภาษาคนไม่ออก ไม่งั้นจะบอกทางว่า น้าๆ...
น้าก็บินกลับไปทางเดิมที่น้าบินมาสิ จะไปวนหาทางอื่นทำแมลงอะไร

มีสำนวนที่ได้ยินบ่อยๆว่า ให้ดูหนังดูละครแล้วย้อนดูตัว
นั่งๆดูแมลงวัน แล้วเลยย้อนดูตัวมั่ง ว่าเป็นแบบแมลงวันตัวนี้ไหม

มีอะไรในชีวิตตอนนี้ไหมครับ ที่เราไปเวียนวนสนตะพาย
แล้วดูคล้ายๆ ละม้ายว่าจะไม่มีทางออก
โลกนี้มันไม่มีหรอกครับ ทุกข์ที่ไม่มีทางออก
เพราะถ้ามันมีทางเข้าได้แล้วไซร้
อย่างน้อยไอ้ทางเข้านั่นแหละก็ใช้เป็นทางออกได้

ทางเข้าสู่ทุกข์อย่างหนึ่งก็คือการไม่ยอมรับปัญหา
อย่างน้ำจะท่วม ส้วมจะเต็ม ปลาเค็มจะแพง แกงจะบูด
ถ้ายอมรับไม่ได้ ใจก็เข้าสู่โหมดทุกข์ในบัดเดี๋ยวนั้น

แต่ถ้าเข้าใจ ยอมรับได้ว่ามันก็เป็นไปตามธรรมชาติ ตามเหตุปัจจัย
ไม่ใช่อะไรที่เราจะบังคับได้ สั่งได้ ตามใจเรา แล้วจะเอาอะไรกับมัน
ทุกข์มันก็เบาคลายหายไปได้เองนะครับ

ถ้าใจที่ไม่ยอมรับ ไม่พอใจ เป็นประตูทางเข้าสู่ทุกข์
ทางออกจากทุกข์ ก็ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อนไปกว่าย้อนไปรู้ทันใจ
รู้ว่าใจไม่ยอมรับ ใจไม่พอใจ ใจไม่อยากให้น้ำท่วม
ใจอยากให้น้ำแห้ง ใจ ฯลฯ

รู้ด้วยใจซื่อๆ รู้สึกลงไปแบบไม่หวัง ไม่โลภจะให้มันหาย
คือถ้าเป็นแมลงวัน ก็บินย้อนไปซื่อๆ กลับทางเดิม
ไม่ต้องบินผาดโผน ไม่ต้องลีลามาก

วนอยู่ในทุกข์เพราะน้ำท่วม ส้วมเต็ม ปลาเค็มแพง นี่ยังเรื่องเล็กนะ
พวกเราน่ะวนอยู่ในกองทุกข์ที่ใหญ่กว่านั้นเยอะ คือวนอยู่ในภพต่างๆ
อาศัยกรรม อาศัยขันธ์ห้า ขันธ์สี่ ขันธ์เดียวบ้าง เวียนว่ายตายเกิด
ไม่จบไม่สิ้น จับต้นไม่ได้ หาปลายไม่เจอ และคงไม่มีใครเห็นทางออก
ถ้าไม่เพราะพระพุทธเจ้าท่านมาบอกทางให้ ว่าทางออกอยู่ที่ไหน

ถ้ายังสงสัยว่า แล้วทางออกอยู่ที่ไหนเหรอคุณแอสตัน
ให้รู้ทันว่าสงสัยนะ แล้วผมจะถามกลับว่าความสงสัยมันเกิดที่ไหน
ทุกข์มันก็เกิดที่เดียวกัน ทางออกมันก็อยู่ที่นั่นแหละ

สุขสันต์วันน้ำท่วมบ้าน แต่ไม่ท่วมสติ ปัญญาเราไปด้วยนะครับ




 

Create Date : 02 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 2 พฤศจิกายน 2554 12:00:48 น.
Counter : 1810 Pageviews.  

เข็มขัดสั้น


(ภาพประกอบสวยๆ โดยความเอื้อเฟื้อของคุณ SevenDaffodils ครับ)

ไม่ได้จะมาบ่นเรื่องอ้วนหรอกครับ ไม่ต้องขำล่วงหน้า ^^
แต่จะมาเล่าเรื่องอื่นให้ฟัง... ล้อมวงเข้ามา

วันก่อนเครื่องซักผ้าของผม มันเกิดอาการน้ำรั่ว โดยไม่ทราบสาเหตุ
นอกจากไม่ทราบสาเหตุแล้ว ยังไม่ทราบด้วยว่า มันรั่วตอนไหน
อะ...แหม...เราก็โยนผ้าใส่เครื่อง เติมน้ำยา กดปุ่ม ตามขั้นตอนมาตรฐานสากล
แล้วก็เฉดหัวตัวเองไปทำอย่างอื่นสิ ใครจะมานั่งเฝ้าเครื่องซักผ้าล่ะ ใช่มะ

กลับมาเห็นน้ำนองก็ต้องซับน้ำตามพิธี
ซับเสร็จก็นั่งเกาหัวอยู่สองแกรก ว่าควรทำยังไงต่อไป
ว่าจะเรียกช่างมาดู ก็เคยมีประสบการณ์เสียค่าฉลาดมาครั้งหนึ่ง
กับเครื่องซักผ้ายีห้อดีมีชาติตระกูลเครื่องนี้แหละ

คือมีครั้งหนึ่ง จู่ๆ พี่เขาก็ไม่ทำงานครับ ผมเช็คปลั้กไฟก็เสียบแน่นปกติ
หมุนปุ่ม กดปุ่มอะไรก็ไม่มีไฟขึ้น เลยโทรไปตามช่าง ต้องอ้อนวอนให้มาด้วยนะ
ช่างมาถึง ดมๆ ดูๆ อยู่สองแป๊บ แล้วแกก็ดึงปลั๊กออก เสียบใหม่ เท่านั้นแหละ

ผมต้องเสียเงินให้แกไปหกร้อยบาท จำไม่ได้ว่ามีภาษีด้วยไหม ในเวลาสองนาที
ตกนาทีละสามร้อย เพื่อจะเรียนรู้ว่า อ่อ...บางทีเครื่องไฟฟ้ายี่ห้อดีมีชาติตระกูล
เขามีซีลยางเป็นฉนวนตรงโคนขาปลั๊กนะจ๊ะ
ถ้าเสียบลึกไป ฉนวนมันอาจไปแตะขั้วปลั๊กข้างใน ไฟก็เลยไม่เดิน...เท่าเนี้ย - -“

ส่วนไอ้เหตุผลอันสวยหรูว่า…
แล้วเขาทำฉนวนไว้ตรงขาปลั๊กทำพระแสงดาบคาบค่ายอะไรนั้น
ช่างค่าตัวแพงของผมแกไม่ได้บอก เพราะผมมัวอึ้งกับความรู้ใหม่
เลยไม่ทันได้ถาม กว่าจะนึกได้ แกก็ขึ้นรถไปถึงไหนแล้ว

มาเที่ยวนี้ จะให้เสียเงินหกร้อยให้เขามาอีกสองนาที
เห็นทีจะไม่ได้แอ้มเงินเราง่ายๆหรอก...ชิ ^^Y” (มันคิดว่ามันฉลาดแล้วๆ)

ก็เลยสับสนอยู่อย่างนั้นครับ ว่าจะเอายังไงดี
จะเปิดคู่มืออ่าน พ่อปลาทองระดับประเทศ ก็ลืมไปแล้วว่าเอาไปเก็บไว้ที่ไหน
จะโทรไปถามร้านที่ซื้อมา เขาก็ไม่มีบริการนี้
ส่วนมากเขาจะบอกว่า เราดูแลเฉพาะเรื่องขายค่ะ
การบริการหลังการขายเดี๋ยวเราแจ้งให้เขาไปเซอร์วิสที่บ้านไหมคะ
ซึ่งแปลว่าเราจะต้องเสียเงินอีกนั่นแหละ

ไอ้ตอนซื้อก็ไม่คิดอะไร เพราะคิดแต่ว่ายี่ห้อนี้ดีมีชาติตระกูล
พนักงานก็มักจะพูดเป็นสูตรว่า ไม่ต้องกลัวค่ะ มีช่างไปเซอร์วิสให้ถึงที่
แต่ตอนนั้นดันไม่ได้บอกว่า ถ้ามาแล้วไม่เสีย เฮียก็ต้องจ่ายหกร้อยนะ

หลายอย่างในชีวิต มันเข้ามาหาเราด้วยอาการคล้ายๆ แบบนี้นะครับ
คือเราจะเห็นแต่คุณงามความดี เห็นแต่ประโยชน์ที่จะได้
จนเมื่อได้มาจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะรู้ว่า...มันมีอะไรตามมาอีกหลายอย่าง

ความสุขในโลก มันเป็นแบบนี้เองครับ
สุขใจที่ได้ซื้อ ก่อนจะต้องร้องงือๆ หลังจากได้มาสักระยะ
จะบ้าน รถ หมา ภรรยา สามี คนใช้ ไอแพด

วันก่อนเพิ่งเห็นคนใช้ไอแพด ต้องซื้อปลอกสวม (เค้าเรียกปลอกใช่มะ)
ต้องเอาไปติดฟิล์มกันรอย ต้องคอยเช็ด ต้องคอยอุ้มมันไปโน่นนี่

เห็นแล้วก็นึกถึงบทสวดที่ว่า ภาราหะเว ปัญจักขันธาทุกขา
ขันธ์ทั้งห้าเป็นของหนัก หลัง “หนัก” ต้องมี “เน้อ” ด้วยนะ ไม่งั้นไม่สุด
ภาราทานัง ทุกขัง โลเก การแบกของหนักในโลก เป็นทุกข์

จากเรื่องเครื่องซักผ้าเสีย เฮียแอสตันเขาพามาเรื่องธรรมะได้
รู้แล้วใช่ไหมว่า ทำไมถึงตั้งชื่อตอนนี้ว่า “เข็มขัดสั้น”
“คาดไม่ถึง” ล่ะซี้ อิอิอิ

สุขสันต์วันที่เข็มขัดยังยาวพอก็แล้วกันนะครับ





 

Create Date : 02 ตุลาคม 2554    
Last Update : 2 ตุลาคม 2554 15:14:27 น.
Counter : 3971 Pageviews.  

ต้นแบบ


(ขอบคุณภาพประกอบแสนสวยจากตากล้องใจดีชื่อ SevenDaffodils ครับ)

ว่ากันว่า ในทุกสาขาเรามักจะมีใครสักคนที่เป็น “ต้นแบบ” ของเราอยู่
ถ้าถามคนทำงานสายไอที มักมีชื่อของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก, สตีฟ จ๊อบส์ หรือบิล เกตส์
คนในวงการนักลงทุนในหุ้น ก็อาจมีชื่อของวอร์เรน บัฟเฟต์ในใจ
วงการโทรทัศน์ก็อาจมีชื่อของโอปราห์ วินฟรีย์ หรือแลร์รี่ คิง เป็นต้นแบบของหลายคน

ในฐานะคนเขียนหนังสือ มีชื่อของนักเขียนสองท่านที่ผมเคารพ
ในฐานะต้นแบบผู้มีอิทธิพลต่องานเขียนของผม นั่นคือ ป. อินทรปาลิต และวาณิช จรุงกิจอนันต์
ท่านแรกคือผู้เขียนนิยายขบขันชุดที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่าน นั่นคือ พล นิกร กิมหงวน
ต้องขอพูดไว้ตรงนี้เลยว่า ถ้าไม่มีหนังสือชุดนี้ ผมคงไม่ได้เป็นผมในวันนี้

ส่วนท่านที่สองเป็นเจ้าของหนังสือรวมเรื่องสั้นรางวัลซีไรท์ ชื่อ “ซอยเดียวกัน”
ผมเริ่มรู้จักคุณวาณิช เพราะครูสอนภาษาไทยสมัยเรียน ม.๔
ชื่อคุณครูธเนศ เวศร์ภาดา เป็นผู้แนะนำให้ผมอ่าน

จะว่าไป ครูธเนศนี่แหละ ที่เป็นต้นแบบของคนที่รู้จักเลือกอ่านหนังสือของผม
เพราะท่านเอา“จดหมายถึงเพื่อน” มาให้ผมลองอ่านจนติดงอมแงม
อ่านแบบไม่หลับไม่นอน อ่านไปแล้วก็ขำไป
แล้วตัวเองก็ซึมซับบางอย่างจากตัวหนังสือคุณวาณิชมาโดยไม่รู้ตัว
มารู้ตัวอีกทีตอนที่อ่านงานเขียนตัวเอง แล้วกลับไปอ่านงานเขียนของคุณวาณิชนี่แหละ

ในฐานะชาวพุทธผู้ศึกษาตนเอง ผมมีต้นแบบคือหลวงพ่อปราโมทย์ กับคุณดังตฤณ
จริงๆ อยากพูดว่ามีพระพุทธเจ้าเป็นต้นแบบ แต่เกรงใจเพราะผมเกิดไม่ทันสมัยพระองค์ท่าน
หรืออาจจะทันแต่สงสัยจะเป็นพวกเดียรถีย์ที่ไม่ยอมเรียนคำสอนท่าน
ไม่งั้นคงเรียนจบตั้งแต่ยุคนั้น ไม่ต้องเกิดมาจนถึงยุคนี้

ถามว่าต้นแบบมีความสำคัญไหม ตอบตรงๆ ว่าสำหรับท่านอื่นผมไม่ทราบ
แต่สำหรับผม สำคัญตรงที่ “ต้นแบบ” จะเป็นตัวสะท้อนวิธีคิด วิธีใช้ชีวิตของเรา

อย่างหลวงพ่อฯ หรือคุณดังตฤณ ก็เป็นต้นแบบของการภาวนาตั้งแต่สมัยยังเป็นฆราวาส
ทำให้ผมเห็นว่าเราสามารถเป็นคนธรรมดาที่อยู่กับโลกด้วยธรรมะแท้ๆ ได้

ทั้งเป็นต้นแบบในเรื่องการถ่ายทอดธรรมะด้วยภาษาที่ง่าย
ใช้สำนวนภาษาที่คนรุ่นเราพอเข้าใจได้
อีกทั้งหลวงพ่อฯ ก็เป็นต้นแบบของการรับมือกับผู้มุ่งร้ายด้วยขันติ ทมะ ความสงบ และเมตตา

เมื่อวานเจอรุ่นน้องท่านหนึ่ง ที่อ่อนกว่าด้วยวัย แต่อาวุโสกว่าผมในเรื่องภูมิธรรม
เขาพูดให้ฟังเรื่อง “รูปแบบการใช้ชีวิต” ที่มีผลต่อการภาวนา
เขาบอกว่า สำหรับผู้ปฏิบัติจริงๆ มันแยกกันไม่ออกหรอก ระหว่างการใช้ชีวิตกับการภาวนา
เพราะเราใช้ชีวิตแบบไหน ก็มักจะภาวนาแบบนั้น

ผมขยายความให้ว่า เช่น ถ้าปกติเป็นคนใจร้อน เวลาภาวนา เราก็จะใจร้อน
ถ้าปกติเป็นคนขี้เกียจทำงาน เวลาจะภาวนาก็มักขี้เกียจ
ถ้าปกติเป็นคนคิดมาก เวลาภาวนาก็จะฟุ้งซ่านไปในความคิด
ถ้าเป็นคนมีรูปแบบมาก เคร่งเครียด ไม่ยืดหยุ่น
เวลาภาวนาก็มักจะเคร่งเครียด มีรูปแบบเยอะ ด้วยเช่นกัน

ดังนั้นการมีต้นแบบที่มี “รูปแบบชีวิต” ที่ไปในทางเจริญ สว่าง สงบ
ก็น่าจะเหนี่ยวนำใจเราให้โน้มน้อมไปในทางนั้นด้วย

ลองสำรวจดูนะครับ ว่าต้นแบบในชีวิตเราเป็นใคร
ไม่ต้องเดินตามรอยเท้าท่านไปทุกก้าวก็ได้ เอาแค่เดินบนทางเดียวกัน
ไม่ได้บอกว่าต้องทำทุกอย่างเหมือนต้นแบบ แค่อาศัยแนวทาง
แล้วหาวิธีของตัวเอง ที่เหมาะกับจริตของตัวเอง

พระพุทธเจ้า อาจารย์ใหญ่ของพวกเรา ท่านยังบอกว่า
ความเข้าใจธรรมะ มันเป็น “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูฮีติ”
เป็นสิ่งที่ผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน ไม่จำต้องมีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร

ครูบาอาจารย์เคยเปรียบว่าผู้ปฏิบัติเหมือนเดินบนทางเดียวกัน
ไปสู่บ่อน้ำเดียวกัน แต่รอยเท้าไม่ซ้ำกัน

สุขสันต์วันที่ยังมีทางดีๆให้เราค้น
มีต้นแบบดีๆให้เราดูก็แล้วกันนะครับ




 

Create Date : 06 กันยายน 2554    
Last Update : 6 กันยายน 2554 23:01:08 น.
Counter : 1523 Pageviews.  

บทเรียนจากชั่วโมงรถติด




คุณผู้อ่านมีปัญหาเรื่องรถติดมารบกวนใจบ้างไหมครับ
ถ้าคุณเป็นประชากรคนหนึ่งในเมืองหลวง ก็เป็นปกติที่จะต้องเจอปัญหานี้

ผมมีกิจต้องไปทำแถวหลักสี่เมื่อตอนเย็นวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
พอเสร็จธุระตอนเย็นที่ว่า ดันเป็นเวลาดีที่คนเขาแห่กันกลับบ้านเสียด้วย
นึกออกใช่ไหมครับว่าถนนแจ้งวัฒนะช่วงหน้าศูนย์ราชการ ตอนห้าโมงหน่อยๆ
สภาพที่มีรถแห่กันออกจากศูนย์สักหมื่นคัน มันโกลาหลขนาดไหน

ผมเคยนึกภาพว่า มันคงเป็นช่วงเวลาแห่งความอบอุ่นยิ่งกว่าในโฆษณาสุกี้
แต่พอเจอกับตัวเอง ถึงได้รู้ว่ามันเกินกว่าที่นึกไว้เสียอีก

จากแยกหลักสี่ถึงเซ็นทรัล ผมใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง
และเต็มไปด้วยการเบียด ปาด แย่งเลน ตามปกติของคนกทม.
ที่เลิกงานแล้วต่างก็อยากรีบกลับบ้าน จนบางทีก็ลืมว่าคนอื่นก็รีบเหมือนกัน
โชคดีที่ผมทำใจแล้วว่า "มันต้องเป็นแบบนี้แหละ"
แล้วก็นั่งฟังซีดีหลวงพ่อปราโมทย์ไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวไปด้วย
นั่งเล่นเกม "รู้ทันจิต" ไปมั่ง สักพักก็สลับมารู้ลมหายใจเข้าออกมั่ง

ตอนนั้นผมคิดว่าดีเหมือนกัน ได้นั่งเล่น มีเวลาส่วนตัวในการภาวนาบนรถ
ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น เพราะมันทำอะไรไม่ได้นี่ครับ ต้องเข้าใจว่านี่มันเมืองใหญ่ :)

ปัญหาที่ทำให้รถติดมีหลายเหตุครับ รถเยอะ ถนนน้อย อุบัติเหคุ รถเสีย คนเห็นแก่ตัว
แต่ก็นั่นแหละนะ เราคงไปเรียกร้องให้คนอื่นเลิกซื้อรถ เลิกเอารถมาขับ
หรือเปลี่ยนความคิดคนอื่นให้เขาเลิกขับนิสัยแย่ๆ ไม่ได้ ใช่ไหมครับ

ผมเคยสังเกตว่าถ้าวันไหนรถติดแล้วเรามีนัด ยิ่งถ้าออกจากบ้านช้าด้วยนะ
เราจะกระวนกระวายมากกว่าวันที่เราไม่มีนัดอะไร

แล้วเคยนั่งรถไปกับคนที่เรารักเราชอบใหม่ๆไหมครับ
ในเวลานั้นจะรู้สึกราวกับว่าถ้ารถจะติดถึงเช้าเราก็ยินดี
ฉะนั้นแปลได้ว่า ที่คนเราหงุดหงิดไม่ใช่เพราะรถติด
แต่เพราะอยากไปไวๆ เท่านั้นเอง

ผมเคยรำคาญรถคันที่ขับอยู่ข้างหน้าช้าๆ ในเวลาที่รีบจะไปให้ทันนัด
ก่อนจะได้สติว่าการที่เราออกจากบ้านช้า ไม่ใช่ความผิดของคันหน้านะ

บางทีเราเผลอไปเอาภาระของเราไปโยนให้คันหน้าเรา
ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไม่มีส่วนได้เสียด้วยกับภารกิจของเรา

อีกอย่างคือเขาไม่ได้ขับช้าหรอก
เขาแค่ไม่ได้ขับเร็วเท่าที่ใจเราอยาก เราพอใจเท่านั้นเอง

ผมบอกตัวเองเสมอว่า ถ้าไม่อยากเจอรถติด ให้ไปอยู่สบก๋อย ดอยปุย
อย่าไปเรียกร้องว่าจะอยู่เมืองใหญ่แล้วจะต้องเจอการจราจรในฝัน :)

ทุกอย่างในชีวิตมีราคาของมันนะครับ
ถ้าเลือกจะอยู่เมืองหลวง ก็ต้องรับสภาพเงื่อนไขของชีวิตเมืองหลวง
อย่าคร่ำครวญ จะได้ไม่เพิ่มทุกข์ให้ตัวเอง :)

รถติดก็สอนธรรมะให้เราได้ในทางหนึ่ง
เหมือนกับทุกข์อีกหลายอย่างที่เราเคยเจอ เจออยู่และจะต้องเจอ

เราเลือกไม่ได้หรอกครับ ว่าวันไหนจะให้รถติดหรือรถว่าง
แต่เราเลือกวางใจของเราให้อยู่บนพื้นฐานของสติ เมตตาและปัญญาได้

ถ้าครั้งต่อไปที่เจอรถติด ลองมองรถคันที่อยู่รอบๆ เรา
เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย ทุกคนมีกรรมเป็นของตัวเอง
ลองคิดว่าไปช้าก็ยังดีกว่าไปไม่ถึงที่หมาย อะไรทำนองนี้


ไม่ว่าจะยังไง รถติดก็เรื่องของรถ แต่ใจเราอย่าไปติดในความหงุดหงิดก็แล้วกันนะ
สุขสันต์วันที่รถยังติดเป็นธรรมดานะครับ





 

Create Date : 22 สิงหาคม 2554    
Last Update : 22 สิงหาคม 2554 1:31:53 น.
Counter : 1953 Pageviews.  

เมดูซ่า กากี เพราะคนสวยมีกรรม


(ภาพประกอบแสนสวยด้วยฝีมือและความเมตตาของคุณ SevenDaffodils ครับ)

คุณผู้อ่านที่เป็นสุภาพสตรี คิดว่าตัวเองสวยไหมครับ
ร้อยละร้อยของผู้หญิงที่ผมเจอมาจะตอบว่า "แน่นอน"
ประมาณว่า ความมั่นใจเป็นสิ่งที่ผู้หญิงควรมีติดตัวไว้ทุกคน
ไม่ว่ามันจะมาจากการคิดไปเอง ให้กำลังใจตัวเอง หรือถ่อมตัวแล้วก็ตาม

เคยได้ยินชื่อของเมดูซ่า กับกากี ใช่ไหมครับ
ส่วนมากจะเคยได้ยิน รู้คร่าวๆว่า เมดูซ่าเป็นแม่มด
ครึ่งตัวบนเป็นคน ครึ่งตัวล่างกับเส้นผมเป็นงู ใครสบตานางจะกลายเป็นหิน
แต่อาจไม่ทราบว่าประวัติของนางเป็นยังไง

ส่วนกากี อันนี้น่าจะคุ้นหูมากในฐานะคำสรรเสริญสตรีที่มีชู้
กับอีกทีก็สีของชุดเครื่องแบบตำรวจ ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกัน

เมดูซ่าเป็นเรื่องตำนานนิทานเทพของกรีกเขา
แต่กากีนี่เป็นเรื่องนิทานวรรณคดีของไทยเรา
นี่ก็ฟังดูไม่น่าจะเกี่ยวกันใช่ไหมครับ งั้นผมจะเล่าให้ฟัง

เมดูซ่าเป็นลูกของเทพแห่งท้องทะเลชื่อฟอซิสและนางซีโต
เป็นสาวสวยระดับนางงามจักรวาลยังเรียกเจ๊
สวยขนาดไหนผมก็ไม่เคยเห็น เพราะเกิดไม่ทันเจ๊เขา
แต่เอาเป็นว่าสวยจนเทพเจ้าโพไซดอนอยากได้นางก็แล้วกัน

อาศัยความเป็นเทพเจ้า จะเอาใครเป็นเมียก็นิสัยเสียสักหน่อย
คือไม่ถามเขาหรอกว่าอยากเป็นเมียเราไหม ท่านก็ปล้ำเอาเลย
ตรงนี้มีสองตำนาน บ้างก็ว่าเมดูซ่าหนีเข้าไปในวิหารของอะธีนาหวังให้อะธีนาช่วย
ปรากฏเจ๊ไม่ช่วย ปล่อยให้นางโดนข่มขืนบนพื้นในวิหารนั่นแหละ
แถมพอโพไซดอนไปแล้ว ก็สาปเมดูซ่าให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดอย่างที่บอก
เพื่อจะได้ไม่มีผู้ชายกล้ามายุ่งกับนางอีก

หวังดีแต่ประสงค์ร้ายนะเนี่ย

อีกตำนานเขาว่า อะธีน่าหึงโพไซดอนที่มายุ่งกับเมดูซ่า เลยสาปเข้าให้
ผมว่าอันหลังนี้มีน้ำหนักมากกว่า พิจารณาจากความขี้หึงของมนุษย์ผู้หญิงทั่วไป

ส่วนกากี เป็นมเหสีของพระเจ้าพรหมฑัตแห่งกรุงพาราณสี
เป็นคนหน้าสวย ผิวเนียนผ่องพรรณ หุ่นดีไร้ที่ติ แถมมีกลิ่นตัวหอมซะอีก
ไม่รู้คนหรือชะมดเหมือนกัน ตัวหอมเนี่ย

เอาเป็นว่าพระเจ้าพรหมฑัตก็หวงมาก ไม่ให้มนุษย์ผู้ชายที่ไหนเห็น
เก็บนางไว้ในห้องบรรทมและพระราชวังฝ่ายในเท่านั้น ยังกะนักโทษนิ
ยกเว้นผู้ชายสองคนคือคนธรรพ์ ที่เป็นเหมือนคนสนิทของพระองค์
ทรงโปรดเพราะคนธรรพ์เก่งเรื่องกวี ดนตรี สรรพความรู้

อีกคนคือหนุ่มลึกลับชื่อเวนไตย ซึ่งเป็นพระยาครุฑปลอมตัวมา
ที่มาสนิทด้วย เพราะพระเจ้าพรหมฑัตมีฝีมือในการเล่นสกามาก
สกานี่เป็นเกมกระดานแบบนึง ต้องทอยลูกเต๋าด้วย
ไม่ใช่ดนตรีตระกูลเรกเก้ที่เร็วๆ แล้วต้องกระโดดๆๆๆนะ

แล้วพ่อเวนไตยนี่ก็ดันมีฝีมือเล่นสกาสูสีกับพระองค์
เลยต้องมาดวลกันสัปดาห์ละครั้ง
กำลังสงสัยว่าเวนไตย นี่อาจเป็นที่มาของศัพท์ว่า "เวรตะไล"
เพราะวันหนึ่งแกเกิดไปสบตากากีเข้าแล้วตกหลุมรักกัน
เลยวางแผนสร้างความโกลาหลในเมืองแล้วแอบมาอุ้มนางไป

กากีก็มีใจให้เวนไตย ก็เลยมีอะไรด้วยและอยู่ที่วิมานฉิมพลี
ตามท้องเรื่องบอกว่าวิมานนี้อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ เหนือดงงิ้วขึ้นไปหน่อย
เป็นที่มาว่าทำไมเวลามีชู้ มันถึงไปเกี่ยวกะต้นงิ้ว
และโรงแรมม่านรูดสมัยก่อน ถึงชอบตั้งชื่อว่า "ฉิมพลี"

ฝ่ายคนธรรพ์สงสัยว่าการหายไปของกากีน่าจะเกี่ยวกับเวนไตย
เลยแปลงร่างเป็นตัวไรเกาะปีกพระยาครุฑกลับมาฉิมพลีก็รู้ความจริง
แต่แทนที่จะช่วยกากี กลับเป็นชู้กับกากีอีกคน

เรื่องจบลงที่กากีโดนพระยาครุฑจับได้ว่าเป็นชู้กับคนธรรพ์
แล้วส่งตัวกลับมาให้พระเจ้าพรหมฑัต ซึ่งก็พอรู้เรื่องก็รับไม่ได้
จับนางลอยแพไป บางตำราจบตรงนี้ บางตำราก็มีต่อ
ว่านางไปเจอโจร กลายเป็นเมียโจร แล้วก็หนีไปเจอพระราชาอีกเมือง
ได้เป็นมเหสีแล้วตอนหลังก็มีการรบพุ่งแย่งชิงตัวกัน

สองเรื่องนี้มีอะไรเหมือนกันอย่างหนึ่ง คือทั้งคู่เป็นคนสวย
แล้วก็มีภัยมาถึงตัว ชีวิตต้องรับทุกขเวทนาก็เพราะความสวย

อันนี้อาจจะทำลายความเชื่อของหลายคน
ที่ตั้งใจรักษาศีลเพื่อชาติหน้าจะได้เกิดมาสวย

อยากบอกว่า รักษาไปเถอะ คุณจะสวยจากภายในได้ตั้งแต่ในชาตินี้
ผมมีกัลยาณมิตรหญิงหลายคนที่รักษาศีล เจริญเมตตา
ผมพบว่าคนเหล่านี้อยู่ใกล้แล้วสบายใจ
ต่างจากผู้หญิงสวยจัดๆหลายคนที่อยู่ใกล้แล้วรู้สึกมอมแมม

ถ้าจะสวย สวยด้วยศีล ด้วยศรัทธา จาคะ ปัญญา
ดีกว่าสวยด้วยเลเซอร์ มีดหมอ โบท็อกซ์ สวยนอก เน่าในนะครับ

บางท่านอาจจะสงสัยว่าอย่างเทพโพไซดอนข่มขืนสาวต้องรับกรรมไหม
ตอบว่านี่ไง เลยต้องมาเฝ้าอาบอบนวดอยู่แถวรัชดา เนี่ยเพราะไม่มีศีล

ส่วนกากีเพราะไม่สำรวม แอบส่งสายตาให้นายเวนไตย ชีวิตก็เลยพลิกผัน
นายเวนตะไล เพราะแอบชิงตัวกากีที่สุดก็โดนสวมเขาอีกทอด กรรมสนอง
แล้วถามว่าพระเจ้าพรหมฑัตทำกรรมอะไร ในเรื่องไม่ได้บอก
แต่มั่นใจว่า เพราะเคยไปแย่งของรักของคนอื่นมาก่อน อย่างไม่ต้องสงสัย

ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนว่า รักษาศีลนะ แล้วศีลจะรักษาเรา

สุขสันต์วันที่ยังมีศีลไว้ให้รักษาครับ




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 20 กรกฎาคม 2554 10:41:56 น.
Counter : 3840 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.