Group Blog
 
All blogs
 

ก้าวหนึ่ง ก็ถึงได้



ผมเคยได้ยินชื่อของวัดถ้ำผาปล่องมานาน จากคำบอกเล่าของหลวงพ่อปราโมทย์
และกัลยาณมิตรอีกหลายท่าน ว่าเป็นวัดที่ควรแก่การไปสักการะบูชา และเจริญภาวนา

หลังจากวางแผนมาหลายครั้ง ผมก็พาตัวเองไปถึงอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่จนได้
ถัดจากทางขึ้นถ้ำเชียงดาวไปอีก 2 กม. ก็เป็นที่ตั้งของวัดถ้ำผาปล่อง

เรื่องน่าเขกกระโหลกตัวเองอย่างหนึ่งคือ
สมัยที่ยังอยู่เชียงใหม่ ผมบุญน้อย ไม่เคยรู้จักวัดนี้และหลวงปู่สิมเลย
ขนาดเคยมาถึงถ้ำเชียงดาวแล้ว ก็ไม่ใส่ใจว่าจะต้องเลยไปอีกแค่อึดใจเดียว จะมีของดีรออยู่

มันเป็นกรรมอย่างหนึ่งของชาวพุทธมั้งครับ
พวกเราอยู่ใกล้วัด ใกล้พระธรรม ใกล้พุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด
แต่น้อยคนจะเห็นและตระหนักถึงคุณค่าของมัน

ทางขึ้นของวัด ก็เหมือนวัดที่อยู่บนภูเขาทั่วๆไปครับ คือมีบันไดสูงชันหลายร้อยขั้น
ให้สาธุชนได้ทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจตนเอง

ช่วงแรกของการเดินขึ้น มีจำนวน 201 ขั้น กว่าจะถึงผมหืดแทบจับ
เพราะมั่นใจในสังขารตัวเองไปหน่อย เลยจ้ำไว เหมือนจะไปตามควาย
เดชะบุญมีศาลาให้พักหายใจหายคอ
ผมว่าคนสร้างทางขึ้น คงคำนวณแล้วล่ะ ว่ามาขนาดนี้สมควรจะพักก่อนหน่อยนึง

บนศาลามีป้ายบอกว่า “ท่านได้ผ่าน 201 ขั้นที่ยากเย็นมาแล้ว
จงเดินต่อไปอีก 301 ขั้นที่สบายกว่า เพื่อขึ้นไปนมัสการ...ฯลฯ”
อ่านแล้วตาเหลือกว่า ไอ้ที่เหลือนี่เยอะกว่าที่ผ่านมาอีกเหรอ ^^”

แต่ไหนๆก็มาจะครึ่งทางแล้ว แถมตั้งใจมานานว่าจะมาเจริญภาวนาที่นี่
เลยออกเดินต่อ ปรากฏว่า ส่วนหลังมันเดินง่ายกว่าจริงๆนะ
เพราะมันมีทางลาดลงสลับขึ้นส่วนหนึ่ง

แล้วผมเปลี่ยนการเดิน เป็นเดินเรื่อยๆในจังหวะที่ไม่ช้า ไม่เร็ว
แต่เดินด้วยสติ ความรู้สึกตัว ทีละก้าวๆๆๆ

ผมพบว่า ถ้าจะเดินขึ้นยอดเขา อย่ามองไกลหรือสูงเกินไป
ขอให้รู้แน่ว่า เดินขึ้นเขาถูกลูก เดินขึ้นบันไดถูกอัน
ไม่ใช่อยากไปดอยสุเทพ แต่ไปเดินขึ้นเขาพระวิหารงี้ อีกร้อยปีก็ไม่ถึง

ถ้ามั่นใจว่ารู้จุดหมาย เลือกทางเดินขึ้นถูกแล้ว
ก็มองไปข้างหน้าแค่ระยะสายตา แล้วเดินทีละขั้นๆ แล้วมันจะไม่ท้อ
จะไม่มัวมาทุกข์ร้อนว่า เหลืออีกตั้งไกลแน่ะ เมื่อไหร่จะถึงว้า

และอย่านับก้าว ว่าก้าวผ่านมาแล้วกี่ก้าว
ให้ถือว่าทุกก้าว คือก้าวที่หนึ่งเสมอ
เหมือนที่ครูบาอาจารย์สอนว่าให้นับหนึ่งทุกวัน

ชีวิตเราก็เหมือนกันนะ.. บางคนตั้งใจทำอะไรดีๆไว้
ผ่านไปได้ครึ่งทางมันเหนื่อยมาก.... ก็เริ่มท้อ

มีคนมาบ่นเรื่องท้อกับผมบ่อยๆ ผมก็บอกได้แค่ว่าท้อได้แต่อย่าถอย
อันนี้เฉพาะถ้าตั้งใจในเรื่องดีนะ ไอ้ประเภทอยากแย่งสามีคนอื่นนี่ไม่นับ
และไม่ควรลังเลที่จะเลิกเสีย เพราะเขาไม่เรียกตั้งใจดี เขาเรียกตั้งใจชั่ว

คนเราเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ลิงบนตลับยาหม่อง จะได้นั่งถือลูกท้ออยู่ชั่วนาตาปี
จนควักยาหม่องมาใช้หมดไปหลายสิบปี
ลิงนั่นก็ยังนั่งถือลูกท้อบนฝาตลับ ไม่ขยับไปไหนสักที
ถ้าเหนื่อยก็พักพอหายเหนื่อยแล้วก็เดินต่อ เดินทีละก้าวๆนี่แหละ

จุดหมายที่ตั้งใจไว้ ถ้าไม่หยุดเดิน.. ไม่ลื่นตกเขาลงมาคอหักตายก่อน
ยังไงมันก็ถึง... ว่ามั้ยล่ะ
เสียดายว่า พอขึ้นไปถึงยอดเขา ภาวนาดี ชิวๆ วิวสวยขนาดไหน
ถ้ายังมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน มีที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
มันก็ยังต้องเดินกลับลงมา เพราะวัดเขาก็มีเวลาปิดถ้ำ

การเดินทางในสังสารวัฏ ก็เหมือนกัน
ชีวิตทุกชีวิตมีช่วงเวลาสิ้นสุดของมัน
มันไม่สุดจริง ตราบใดที่ยังไม่ถึงพระนิพพาน

คุณคงอยากถามว่า แล้วตอนจบของการเดินทางไปวัดถ้ำผาปล่องของผมเป็นยังไง
คำตอบของผม อยู่ในรูปที่ประกอบบทความนี้แล้วครับ

สุขสันต์วันที่ยังต้องเดินขึ้นๆลงๆนะครับ




 

Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2554 11:25:46 น.
Counter : 1961 Pageviews.  

Inception ความคิด ความฝัน ความอันตราย



ผมเคยเขียนถึงหนังเรื่องนี้ ตอนที่เข้าโรงใหม่ๆไปรอบหนึ่ง
แต่รอบนั้นลงรายละเอียดเยอะไม่ได้ เดี๋ยวคนยังไม่ได้ดูเขาจะดูไม่สนุก
ถึงวันนี้ ดีวีดีก็ออกขายไปเดือนนึงแล้ว น่าจะพูดถึงได้ลึกขึ้นอีกหน่อย

ต้องเกริ่นนิดนึงว่าหลวงพ่อปราโมทย์ท่านเคยบอกว่า
“ความฝันคือความคิดยามหลับ ส่วนความคิดคือความฝันยามตื่น”

คนที่เคยฝึกเจริญสติมาระยะนึง บางคนอาจเคยมีประสบการณ์ว่า
ตัวเองหลับฝันไปถึงอะไรสักอย่าง แล้วรู้สึกตัวได้ว่านี่ฝันอยู่น่ะ

มีคืนหนึ่ง ผมหลับแล้วฝันว่ามีคนที่รักมากของผมเสียชีวิต
ในฝันผมมีสติรู้ว่าความเสียใจมันโถมเข้ามา จนสะอึกสะอื้นด้วยนะ
แต่พอรู้ทัน จิตได้สติ ทุกข์ก็เขยิบห่างออกไป หายใจหายคอได้สบายขึ้น

ฟังดูดีมากเลยใช่ไหมครับ แต่ช้าก่อน...คือตอนนั้นน่ะ
ผมรู้ว่าจิตเศร้า จิตเสียใจ จิตทุกข์ แต่...ดันไม่รู้ว่า...กำลังฝันอยู่นะ

หนังเรื่อง Inception นี่เขามีสโลแกนอันหนึ่งที่ใช้ตอนแรกๆ พูดว่า
Your mind is the scene of the crime “จิตคุณนั่นแหละคือที่ก่ออาชญากรรม”

ที่เขาพูดแบบนั้น จริงนะครับ เพราะความคิดเกิดที่จิต
และความคิดกำหนดความเป็นตัวตนของเรา

สิ่งที่น่ากลัวมากของมนุษย์ก็คือความคิด
ความคิดเป็นได้ทั้งจุดเริ่มของมหาบุรุษหรือมหาโจร

เคยถามตัวเองไหมว่า รู้สึกว่าตัวเราเป็นคนดีหรือไม่ดี เพราะอะไรครับ
เพราะสิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่คนอื่นบอกว่าเราเป็นและสิ่งที่เราเชื่อว่าเราเป็น ใช่ไหม
นอกจากที่ว่ามา ตัวตนของเราก็ไม่มีที่มาจากไหนอีกเลย

และนอกจากจิตแล้ว ตัวตนของเราก็ไม่มีที่ตั้ง
กระทั่งบัตรประชาชน ใบขับขี่ หรืออนุสาวรีย์ ถ้าบังเอิญมีอะนะ
ก็ยังเป็นสิ่งสมมติเอาว่าแทนตัวแทนตนของบุคคลคนหนึ่ง

จิตมันทำงานซับซ้อนและสร้างอัตตา สร้างตัวสร้างตนขึ้นมาซ้อนกันเป็นชั้นๆ
บางครั้งบางที เราคิด เรามั่นใจว่าเรารู้จักตัวเองดีแล้ว แต่มั่นใจเถอะครับ

ถ้ายังรู้สึกว่ามี “เรา” ก็ยังไม่นับว่ารู้จักตัวเองดีจริงๆหรอก

เหมือนกับที่ผมเคยรู้สึกตัวในฝัน รู้ทันความปรุงแต่งของจิต
แต่ไม่รู้ว่ากำลังฝันอยู่ นั่นแหละครือๆกัน

อัตตาของมนุษย์ มันฝังตัวอยู่ในจิต ซ้อนเป็นชั้นๆ
ตั้งแต่ชั้นหยาบๆ ไปจนถึงชั้นที่ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่สังเกตก็มองแทบไม่เห็น

ผมชอบวิธีที่ Inception แสดงภาพและเรียกการที่มนุษย์คนหนึ่ง
สามารถใช้จินตนาการสร้างอะไรขึ้นมาก็ได้ ในโลกความคิด
ว่าเป็น...สถาปนิกทางจิต เป็น Mind Architect

เราทุกคนไม่ได้เป็นแค่สถาปนิกแห่งชีวิตตัวเอง
แต่ยังเป็นผู้ลงมือสร้าง ตามแบบที่จิตมันออกแบบไว้
สร้างกรรมดีบ้าง สร้างกรรมชั่วบ้าง ตามที่ความคิดออกแบบ

การมีสติรู้เท่าทันความคิด จึงสำคัญ จำเป็นและมีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง
เพราะถ้าไม่รู้เท่าทันความคิด ก็เหมือนไม่รู้ทันว่าจิตกำลังฝันอยู่นั่นเอง
ที่ว่าอันตรายก็เพราะถ้าไม่รู้ทัน แล้วมันฝันร้าย
หรือคิดเรื่องร้ายๆขึ้นมา จิตก็จะพาชีวิตลงเหวไปได้ง่ายๆ

ฉะนั้น สุขสันต์วันที่จิตยังตื่นๆหลับๆก็แล้วกันนะครับ




 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2554    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2554 22:05:02 น.
Counter : 2166 Pageviews.  

มิตรหรือศัตรู



(ขอบคุณเพื่อนใจดีชื่อ SevenDaffodils ที่เอื้อเฟื้อภาพประกอบครับ)

ในชีวิตนี้ คุณมีมิตรหรือศัตรูมากกว่ากันครับ?
แล้วในบรรดามิตรที่มี เราแน่ใจได้ไหมว่า เขาจะไม่กลายเป็นศัตรูของเราเสียเอง

ในนิยายหรือหนังหลายๆเรื่อง คนที่ทำร้ายกันได้มากที่สุด
ไม่ใช่ศัตรูหรือตัวร้ายที่ไล่ยิงกันอยู่หรอก
หากแต่เป็นคนที่เราเคยนึกว่าเป็นคนใกล้ตัว เป็นเพื่อนที่เราไว้ใจได้

เคยมีสำนวนว่า ศัตรูนั้น ไม่น่ากลัวเท่ามิตรที่ไม่แท้
เพราะเรามักจะระวัง และใส่ใจกับคนที่เราจัดหมวดว่าเป็นศัตรู
แต่เรามักจะละเลย หรือประมาท กับคนที่เราไว้ใจว่าเป็นมิตร

ตำราพิชัยสงครามของซุนวู มีประโยคหนึ่ง บอกว่า
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เคยได้ยินบ่อยๆใช่ไหมครับ
แต่ซุนวูเองก็เคยรบแพ้ ก็น่าจะแปลว่า การรู้เขา รู้เรา มันไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ

โดยเฉพาะเมื่อ “เขา” ที่ว่า เป็นคนที่เราคิดว่ารู้จักคุ้นเคยดีที่สุด
อย่าง “ตัวเราเอง” เป็นต้น

เคยรู้สึกว่า ไม่เข้าใจตัวเองบ้างไหมครับ
เคยทำในสิ่งที่ตัวเองก็ไม่ได้ชอบหรืออยากทำบ้างหรือเปล่า
เคยรู้สึกว่า บางที เราก็เหมือนเป็นคนแปลกหน้าสำหรับตัวเองรึเปล่า

ถ้าคำตอบของคุณคือ “เคย” นั่นแหละ คุณเคยเฉียดใกล้ธรรมะมาแล้ว
เพราะธรรมะ คือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือความจริงของสิ่งทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความจริงนั้น สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา มันไม่มีหรอก
เพราะตัวตนไม่เคยมีในอดีต ไม่มีในปัจจุบัน และจะไม่มีในอนาคต
ไม่มีตัวตนในกายนี้ ในใจนี้ ไม่มีตัวตนนอกกายนี้ นอกใจนี้

พระอาจารย์ปราโมทย์เคยเล่าให้ฟัง เรื่องที่มีคนไปถามหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ว่า
“หนูเกิดมาทำไม ทำไมหนูต้องเกิด” หลวงปู่ตอบว่า “เพราะไม่รู้”

ถามว่าไม่รู้อะไร.. ตอบว่า.. ไม่รู้ความจริง ว่าตัวตนไม่มี ไม่มี”หนู”
มีแต่อุปาทาน ความหลงสำคัญมั่นหมายผิดๆ ว่ามี
เพราะไม่รู้ว่า กายนี้ ใจนี้ มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
มันเป็นแต่ธาตุขันธุ์มาประชุมรวมกัน
แล้วจิตเกิดสำคัญผิดว่า นี่แหละ “ตัวฉัน”

อ่านแล้วยังงงอยู่ ไม่เป็นไร ไว้วันหนึ่งเรียนวิปัสสนา หัดมีสติ
รู้กายรู้ใจไปเรื่อยๆ แล้วจะค่อยๆเข้าใจขึ้นตามลำดับเองนะครับ

ดังนั้น ศัตรูที่ใหญ่ยิ่งของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ก็คือความไม่รู้นี่แหละ
ความไม่รู้ แกมีชื่อภาษาแขกบาลีว่า อวิชชา

ตราบใดที่เรายังสงบเฮียอวิชชาขาใหญ่รายนี้ไม่ได้
ก็ยังจะต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏกันไปไม่สุดสิ้น

เพราะยังต้องเกิด ก็จะต้องเจอศัตรูตัวใหญ่ของคนทั่วไป
ซึ่งก็คือความแก่ ความเจ็บ และความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
การต้องเจอกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่ชอบ ความโศกเศร้าร่ำไรรำพัน
ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจทั้งหลาย

เคยมีผู้รู้ท่านว่า ถ้าหากเอาชนะศัตรูไม่ได้แล้วไซร้
ก็จงเป็นมิตรกับศัตรูนั้นแทน
ในเมื่อเราไม่สามารถเอาชนะความแก่ ความเจ็บ ความตาย ฯลฯ ได้
สู้มาเป็นมิตรกับมันเสียไม่ดีหรือ

คนเราจะเป็นมิตรกับใคร ก็ควรแน่ใจว่ารู้จักเขาดีพอ
ถ้าศัตรูของเรา คือสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์แล้วไซร้
ก็จำเป็นอยู่ที่จะต้องเรียนรู้ทุกข์ให้แจ้ง ด้วยประการฉะนี้

ส่วนวิธีการเรียนรู้จัก “ทุกข์” ภาษาพระท่านเรียก “วิปัสสนา”
การเจริญสติ วิปัสสนา มีรายละเอียด มีหลักอย่างไร ผมจะไม่ขอพูดถึง

แค่อยากบอกว่า การเป็นมิตรกับความทุกข์นั้น สำคัญนัก
ยิ่งรู้จักทุกข์มากเท่าไหร่ ก็ขยับใกล้ความพ้นทุกข์มากขึ้นเท่านั้น

ไม่แน่ว่า วันหนึ่ง เราอาจจะค้นพบว่า เพื่อนหรือมิตรที่ดีที่สุดของเรา
อาจไม่ใช่ความสุขแบบโลกๆที่เราเคยคิด
แต่คือสิ่งที่เราเคยนับเป็นศัตรู ได้แก่ความทุกข์นั่นเอง

สุขสันต์วันที่ยังมีทุกข์เป็นเพื่อนนะครับ




 

Create Date : 31 มกราคม 2554    
Last Update : 31 มกราคม 2554 16:31:01 น.
Counter : 2154 Pageviews.  

ร้อน หนาว ก็เท่านั้น



(ภาพประกอบจากฝีมือคุณ SevenDaffodils ครับ)

หน้าหนาวปีนี้มาไวไปไวแบบไม่มีใครนึก ว่าไหมครับ

ไม่กี่วันก่อน อากาศเย็นโรยตัวมาทักทายชาวกทม. เบาๆ
แบบยังไม่ทันได้แกล้งทำตัวหนาวฉึกๆ.. ก็เริ่มร้อนอีกแล้ว

นึกถึงประกาศกรมอุตุฯ ที่ว่า…
ปีนี้จะหนาวจริงหนาวนาน ให้ชาวบ้านเตรียมรับมือ แล้วก็อมยิ้ม

นึกถึงประกาศนั้น หลายท่านคงจะนึกถึงกาลามสูตรขึ้นมาตะหงิดๆ
อย่าเชื่อเพียงเพราะคนที่พูดดูน่าเชื่อถือ..
หลายคนคิดในใจว่า หนาวไม่กลัว กลัวไม่หนาวนะพี่อุตุฯ

อยากให้มันหนาวกว่านี้ นานกว่านี้ ต้องทำใจนะ ก็โลกมันร้อนอ่ะ
ส่วนประเทศที่หนาวจัดอย่างอังกฤษที่หิมะถล่มหนักตอนนี้
เขาคงอยากให้อากาศมันร้อนๆกว่านี้ ก็.. แล้วไงล่ะ

คอยเตือนตัวเองกันนะครับ โลกนี้ มันเป็นไปตามเหตุและปัจจัย
มันไม่ได้เป็นไปตามใจปรารถนาของเราหรอก

ถ้าคิดว่า เราปรารถนาอะไรแล้วจะต้อง “สมใจนึก”
เห็นทีจะต้องเชิญไปแถวบางลำพู เพราะร้านสมใจนึกเขาอยู่ที่นั่น

ต่อให้มันหนาวขึ้นมาอย่างที่อยาก
ก็ใช่ว่าจะร้อนหรือหนาวได้อย่างใจตลอดเวลา ถาวร

เพราะหน้าหนาว ก็ยังมีหนาวน้อยไป หนาวมากไป
หรือหนาวสั้นไป อย่างที่ผมบ่นไปตอนต้น

ความสุขอย่างหนึ่งของผมในหน้าหนาว
คือการได้อาบน้ำอุ่นๆ ท่ามกลางความเย็นเยือกนั่นแหละ
มองในมุมนี้ ความหนาวก็มีประโยชน์นะ

แต่ถ้าเราอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิเท่ากัน
โดยเปลี่ยนช่วงเวลาไปอาบตอนกลางเมษาหน้าร้อน
ความสุขจะหล่นหายกลายเป็นทุกข์ทันที ว่าไหมครับ

ในทางกลับกัน อากาศร้อนๆ ที่พวกเราแสนจะรังเกียจกัน
มันเป็นของหายากที่คนเมืองหนาวเขารักมาก

อย่าแปลกใจที่เห็นฝรั่งชอบแก้ผ้านอนอาบแดด
เพราะบางประเทศเขาหนาวจริง หนาวจัง
หนาวกันปีละเก้าเดือน สิบเดือนงี้
มาเมืองไทย เห็นแดดตลอด ก็เหมือนถูกล็อตเตอรี่ดีๆนี่เอง

แล้วเพราะความร้อนที่เราไม่ปรารถนากันนั่นแหละ
ที่ทำให้สงกรานต์ เป็นเทศกาลยอดนิยมของคนทั่วโลก
เพราะมันทำให้น้ำเย็นกลายเป็นของชื่นใจ

ในอากาศหนาวจัด น้ำเย็นเป็นของแสลง
น้ำอุ่นน้ำร้อน เป็นสุดยอดปรารถนา

ในอากาศร้อน น้ำร้อนเป็นของแสลง
น้ำเย็นเป็นสุดยอดปรารถนา

อันนี้ยกเว้นพี่ไทยที่ชอบกินน้ำแข็ง
จะร้อนจะหนาว ขอน้ำทีไรต้องใส่น้ำแข็งเท่านั้น

สรุปว่า ความสุขจากข้างนอก มันพึ่งไม่ได้จริงนะครับ
อะไรที่เราว่ามันคือความสุข
พอปัจจัยเปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน
มันกลายเป็นความทุกข์ไปเสียอย่างนั้น

สิ่งเดียวที่เราพึ่งได้ สบายจริง
ไม่ว่าจะในสภาพอากาศไหน ภาวะใด
เห็นจะไม่มีอื่นใด นอกจากธรรมะ

ที่ให้ความเย็น ในเวลาที่ชีวิตรุ่มร้อน
และให้ความอบอุ่น ในยามที่ชีวิตดูหนาวเหน็บ

ฤดูไหนจะสั้น วันไหนจะยาว ก็ไม่เท่าไหร่
ถ้าใจเราตั้งอยู่กับธรรมะ ใจยอมรับความจริงได้ว่า..

..โลกมันก็เป็นของมันอย่างนั้นแหละ

สุขสันต์วันที่อากาศเย็นบ้างร้อนบ้างครับ




 

Create Date : 26 ธันวาคม 2553    
Last Update : 26 ธันวาคม 2553 11:57:26 น.
Counter : 2816 Pageviews.  

ตอบปัญหา: อภัย ในเรื่องเก่า



สวัสดีค่ะคุณaston

คือน้องชายเพิ่งเสียไป เรารู้สึกจิตใจไม่สงบเลย แต่ก่อนเราทะเลาะกับน้องบ่อยค่ะ บางทีก็ทะเลาะกับแม่ ส่วนใหญ่ก็เรื่องหนี้สินเงินทอง เราตัดสินใจไปหางานทำที่อื่น อยากอยู่ห่างจากปัญหาเพราะคิดว่าเราจัดการปัญหาไม่ได้แล้ว

น้องป่วยมาได้สักพัก แต่เพิ่งมาหนักเมื่อไม่นานมานี้ เราก็ทำงานที่อื่นกลับมาดูได้บางครั้ง ก็มาเยี่ยมมาคุยบ้างเพราะมีลูกที่ต้องดูแลด้วย

ช่วงก่อน น้องเคยโทรมาขอเงินบางทีเราก็บ่นแล้วค่อยให้ บางทีก็พูดว่าไม่มีก่อน เพราะอยากให้เค้าคิดว่าเราก็ไม่ได้มีมาก แต่ก็หาทางเอาให้บ้าง แต่บางทีโดนแม่ว่า เราก็ทิฐิไม่ขอโทษ แต่ก็ยังช่วยบ้างตามโอกาส

ตอนนี้รู้สึกแย่มากว่าตัวเองผิดหรือเปล่า ทำอะไรพลาดไปบ้าง รู้สึกว่าเราไม่ได้ดูแลเค้า ตอนนี้พยายามคิดให้ได้ว่าเราต้องดูแลแม่ให้ดีที่สุด

ตอนนี้ทำงานที่อื่นแต่โทรหาแม่ตลอด กำลังคิดว่าจะหาทางไปทำงานใกล้บ้านดีไหม รู้สึกแย่มาก

คุณaston กรุณาแนะนำด้วยเถอะคะว่าควรทำอย่างไรดีให้เราอยู่กับปัจจุบันขณะให้ได้ เรารู้สึกว่าทุกข์มากคะนึกว่าช่วยคนไม่รู้เอาบุญเถอะค่ะ

โดย: คิดไม่ตก


ผมมีหลักข้อหนึ่งว่า ผู้อภัยย่อมมีใจเป็นสุข
คำว่าอภัยก็คือ การทำอภัยทาน ในทางพุทธนี่แหละ

เวลาพูดถึงอภัยทาน เราหมายรวมทั้งผู้อื่นและตัวเอง
ให้อภัยผู้ที่มาเบียดเบียนเรา นั้นเข้าใจง่าย เพราะพูดกันบ่อย
แต่ให้อภัยตัวเองนี่ เราไม่ค่อยได้นึกถึงกันครับ

ผมเคยสังเกตว่า คนเราเกิดมา
กว่าจะโตพ้นจากภาวะลูกแหง่ จนแก่ตายนี่ ..
โอกาสจะไม่เบียดเบียนกันเลย นี่ยากมากนะ

ไม่ทางกาย ก็วาจา ไม่วาจา ก็ทางใจ
ทั้งเจตนาบ้าง ไม่เจตนาบ้าง

ยกตัวอย่าง แค่คุณได้คลิปฉาวแอบถ่ายใครแล้วส่งต่อ
แค่นั้นก็เข้าข่ายเบียดเบียนเขาโดยไม่เจตนาแล้ว

เมื่อการเบียดเบียนกันเป็นเรื่องสามัญ
การรู้จักให้อภัยกัน จึงสำคัญด้วยประการฉะนี้

เมื่อก่อน ไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมคนจะบวชต้องมาเที่ยวขออโหสิกรรม
แต่มาค้นพบว่า จริงๆมันจำเป็นนะ เพราะการจะเข้าสู่เพศนักบวช

ถ้าจิตยังมัวหมอง ยังมีอะไรติดค้างกับใคร เท่าไหร่
โอกาสจะภาวนาให้ก้าวหน้า ได้มรรคผล ก็ลำบากขึ้นเท่านั้น

น้องชายคุณ เขาก็ไปดีแล้วล่ะครับ
เขาก็หมดกรรมในชาตินี้ของเขาแล้ว
เหลือแต่เราข้างหลัง ที่ยังอยู่

คิดอยากดูแลแม่ ก็ดีแล้วครับ ผมอนุโมทนาด้วย
แต่อย่าลืมให้อภัยตัวเองด้วย ในความขัดแย้งเก่าๆที่มี
ที่คุณใจไม่สงบ ก็เพราะยังติดอยู่ตรงจุดนี้

คุณก็ทำดีที่สุด เท่าที่คุณจะทำได้แล้ว ณ เวลานั้น
เสียใจไปก็เท่านั้นนะ มันย้อนเวลาแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

แต่เท่าที่อ่าน ผมว่า สิ่งที่คุณทำก็พอดีแล้วนะ ไม่มากไม่น้อย

จะอยู่กับปัจจุบันให้ดี ต้องมีสติ และก้าวข้ามอดีตไปให้ได้
สร้างเหตุใหม่ในวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอนะครับ

สุขสันต์วันที่เรายังมีสติอยู่ได้ทุกลมหายใจครับ




 

Create Date : 19 ธันวาคม 2553    
Last Update : 19 ธันวาคม 2553 14:56:54 น.
Counter : 1704 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.