Group Blog
 
All blogs
 

คำถามจากนักเรียนหลายสำนัก



ถาม: “ไปฝึกมาหลายที่แต่ละที่ให้ทิศทางต่างๆกันไป เราจะรู้ได้ยังไงว่าทิศทางไหนที่ถูกที่สุดคะ”

ตอบ: การที่แต่ละที่สอนต่างกันเป็นเรื่องธรรมดาครับ
ก็เหมือนติวเตอร์สอนวิชาเดียวกัน แต่เทคนิคต่างกันเป็นธรรมดา
วิธีทำโจทย์เริ่มต้นอาจต่างกันได้ ไม่สำคัญ ขอให้คำตอบถูกก็พอ

สมัยพุทธกาล อาจารย์ใหญ่คือพระพุทธเจ้า ท่านก็สอนคนมากมาย
แต่ละคนแต่ละพวกมีจริตต่างกัน ท่านก็สอนด้วยวิธีต่างกัน

บางคนท่านให้พิจารณากายเป็นอสุภะ ดูความเสื่อมของสังขาร
บางคนท่านให้พิจารณาเวทนา ดูความทุกข์ในกายใจ
บางคนท่านให้เจริญมรณสติ บางคนท่านให้นั่งภาวนาด้วยการลูบผ้า

แต่ไม่ว่าจะให้กรรมฐานอะไร ล้วนอยู่บนพื้นฐานและจุดหมายเดียวกัน
เราถึงควรต้องรู้หลักน่ะครับ ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
มันไม่มีวิธีที่ถูกที่สุดหรอกครับ มีแต่ที่เหมาะสุดสำหรับจริตเรา
จริตบางคนแต่ละช่วงเวลา บางทียังไม่เหมือนกันเลยก็มี

สำหรับฆราวาส คนทั่วๆไป พระพุทธเจ้า ท่านสอน เรื่อง ทาน ศีล ภาวนา
เพื่อนำไปสู่จุดหมายแรกก่อนเลย คือ การรู้ความจริงว่า "ตัวเรา" ไม่มี
สามารถทำลายความยึดมั่น ถือมั่น สำคัญผิด ว่ามีตัวมีตนในกายในจิตนี้

ดังนั้น จะทำลายตัวนี้ได้ ก็ต้องเจริญสติด้วยวิธีอะไรสักอย่าง
ขอแค่ให้เป็นกรรมฐานที่ยังเกี่ยงข้องกับกายหรือจิต
เพื่อจะให้เกิดสติ สมาธิ ความตั้งมั่น เห็นกายใจทำงานแยกส่วนกัน
ถ้าเห็นตัวหลังนี่ได้ ก็เรียกว่าจิตเดินปัญญาแล้ว

ไม่ว่าจะเรียนสำนักไหน กรรมฐานอะไร
จะตั้งต้นด้วยการดูกาย ดูเวทนา หรือดูจิต
ถ้าจะทำลายความยึดมั่นสำคัญผิดได้ ก็ต้องอาศัยปัญญา

อยู่ๆ จิตจะทำลายอวิชชาเองไม่ได้ ต้องอาศัยปัญญามาทำลาย
อยู่ๆ จิตจะมีปัญญาขึ้นเองไม่ได้ ต้องมีจิตที่ตั้งมั่น
เพราะเมื่อมีจิตที่ตั้งมั่น ถึงจะเห็นไตรลักษณ์ได้ ถึงจะมีปัญญา
อยู่ๆ จิตจะตั้งมั่นเองก็ไม่ได้นะ ต้องฝึกให้มีทั้งสติและสมาธิ
อยู่ๆ จิตมีสมาธิ มีสติได้เองมั้ย ไม่ได้นะ ก็ต้องเจริญสติก่อน
มันมาเป็นลำดับๆอย่างนี้

ฉะนั้น ถ้าสำนักไหนสอนแล้ว นำไปสู่จุดนี้ ใช้ได้หมดครับ
แต่ถ้าสอนแล้วเพื่อจะไปสวรรค์ไปเที่ยวโน่นนี่ ก็ไม่ใช่ละ
ถ้าเขาไม่ได้สอนแบบนี้ แปลว่า ไม่น่าไว้ใจ เนี่ย ถ้ารู้หลัก มันจะง่ายนะ รู้เลยว่า ใช่ไม่ใช่

ถาม:“เค้าสอนค่ะ แต่มีอีกส่วนนึงที่เข้ามาคือการดูเรื่องกรรมของแต่ละคนค่ะ เพื่อที่จะรู้ว่ากรรมไหนเป็นตัวที่ทำให้ติดในการปฏิบัติต่อค่ะ”

ตอบ: พี่ไม่พูดว่าใครถูกผิดยังไงนะ แต่โดยความเห็นส่วนตัว
ความเข้าใจเรื่องกรรม มันมีประโยชน์แค่สองอย่าง

คือหนึ่ง ให้รู้เรื่องบาปบุญคุณโทษ จะได้ไม่ทำชั่วและกลัวผลของบาป
และสอง ให้เชื่อว่าทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนั้นจึงมี ไม่ใช่เกิดมาลอยๆ
ไม่ได้สอนเรื่องกรรม เพื่อให้ไปวุ่นวายกับมัน

ฉะนั้น บางทีเราก็ต้องอาศัยโยนิโสมนสิการพิจารณาด้วยความแยบคายอยู่บ้างเหมือนกัน

ครูบาอาจารย์ดีๆเก่งๆ ท่านจะไม่พูดว่า ต้องเชื่อเราเท่านั้น
เราถูกที่สุด วิธีของเราดีที่สุด คนอื่นสอนผิด แต่ท่านจะบอกว่า
ให้เชื่อพระพุทธเจ้ามากกว่าเชื่ออาจารย์

มีพระสูตรเล่าว่า สมัยพุทธกาล มือระดับพระสารีบุตร
ก็ยังเคยให้กรรมฐานลูกศิษย์ไม่ตรงจริตเลยนะ
แก้กันอยู่สี่เดือนก็ไม่ได้ แต่ท่านไม่ได้ห่วงศักดิ์ศรี ไม่ได้กลัวเสียฟอร์ม
เมื่อดูแล้วว่าสอนไม่ได้ ก็เมตตาพามาให้พระพุทธเจ้าสอนแทน

ถ้าพระสารีบุตร อัครสาวกระดับซุปเปอร์จีเนียส ยังพลาดได้
ก็อย่าคิดว่า กรรมฐานของครูบาอาจารย์เรายุคนี้ จะดีที่สุดคนเดียวนะ

ตอบเท่านี้แล้วกันนะครับ




 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 12 กรกฎาคม 2554 9:40:05 น.
Counter : 1656 Pageviews.  

ปิโลติกะเถระ ผู้ก้าวข้ามผ้าผืนเก่า



(ภาพประกอบเอื้อเฟื้อโดยคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

กาลครั้งหนึ่ง ในสมัยพุทธกาล พระอานนท์เห็นเด็กขอทานคนหนึ่งนามว่า ปิโลติกะ นุ่งผ้าเก่าๆขาดๆเดินถือชามกระเบื้องขอทานอยู่ ท่านเมตตาจึงชวนให้บวช

เด็กขอทานไม่ค่อยแน่ใจว่า ขอทานแบบตนจะมีใครสนใจให้โอกาสบวช, พระอานนท์จึงบอกว่า ถ้าจะเต็มใจอยากบวช ท่านจะบวชให้เอง ขอทานน้อยก็ตกลง พระอานนท์ก็พาไปวัด อาบน้ำอาบท่าขัดสีฉวีวรรณแล้วทำการบวชเณรให้ ส่วนผ้าที่ติดตัวเด็กทั้งเก่าทั้งขาดใช้งานไม่ได้ ท่านก็เอาพาดกิ่งไม้ไว้ ส่วนชามกระเบื้องเครื่องมือขอทาน ท่านก็ทิ้งไว้ใต้ต้นไม้นั้น

เณรได้บวชแล้ว ได้นุ่งห่มจีวรอย่างดี อาศัยอาหารที่ญาติโยมนำมาถวาย ผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้นอ้วนท้วนขึ้น แต่อยู่มาวันหนึ่ง เณรเกิดรู้สึกอยากสึก เลยเดินไปยังต้นไม้ที่พระอานนท์เอาผ้าผืนเก่าพาดไว้ พอเห็นผ้านั้นก็สลดใจว่า

"เรานี่หน้าไม่อาย ญาติโยมถวายผ้าอย่างดีให้ด้วยศรัทธา เรากลับปรารถนาจะไปห่มผ้าเน่าๆขาดๆ จะทิ้งชีวิตที่อิ่มไปอดๆอยากๆแบบขอทานอีกหรือ"

พอเตือนตัวเองสติก็กลับมา จิตก็ผ่องใสขึ้น ก็เดินกลับไป พออีกสองสามวันก็กลับเป็นอย่างเดิมอยากสึกอีก ก็ไปทำแบบเดิมอีกจนจิตสงบก็กลับมาเป็นแบบนี้หลายรอบ

พระรูปอื่นเห็นเณรเดินกลับไปกลับมาแถวนั้นบ่อยๆ จึงถามว่า "ท่านเณรไปทำอะไรทางนั้นบ่อยๆรึ?" เณรก็ตอบเลี่ยงว่า "ผมไปสำนักของอาจารย์" (ไม่ได้โกหกนะ ก็ต้นไม้นั้นอยู่ในสำนักพระอานนท์จริงๆ)

เณรยังเกิดกิเลสกำเริบเดินกลับไปกลับมาหลายครั้ง แต่ก็เตือนตนให้ได้สติทุกครั้ง จนที่สุด วันหนึ่ง เณรเกิดบรรลุพระอรหันต์ ก็ไม่กลับไปที่ต้นไม้นั้นอีก พระที่เคยเห็นท่านเดินไปแถวนั้นบ่อยๆ ก็ผิดสังเกต

พอเจอท่านก็ถามว่า "ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่เห็นเณรไปแถวนั้นอีก" แต่รอบนี้เณรบอกว่า "เมื่อก่อนยังมีความเกี่ยวข้องกับอาจารย์ ผมก็ไป เดี๋ยวนี้ความเกี่ยวข้องไม่มีแล้ว ผมจึงไม่ไป" พระฟังแล้วคิดว่าเณรนี้อวดอุตริโม้ว่าตนสำเร็จอรหันต์ สมควรต้องไปทูลพระพุทธเจ้า

จึงพากันไปฟ้องพระพุทธเจ้า แต่ท่านกลับบอกว่า ภิกษุทั้งหลาย เณรปิโลติกะนี่เป็นพระอรหันต์แล้วจริงๆ และท่านเทศน์ต่อด้วยว่า ผู้ที่สามารถห้ามตัวเองจากความคิดอกุศลได้มีน้อยคนนะ จบนิทานแต่เพียงนี้ แบบไม่มีไคลแมกซ์ แต่มีข้อคิดที่ดีมาก

เด็กขอทานนุ่งผ้าเก่า เน่า ขาดวิ่น เดินขอทาน เหมือนคนที่มีความทุกข์ มีชีวิตไปวันๆ เหมือนขาดอะไรตลอดเวลา ต้องเร่ไปขอ วิ่งหาความสุขจากข้างนอก จากคนอื่น, ผ้าขาดๆ เหมือนศีลที่ไม่สมบูรณ์ด่างพร้อย กระพร่องกระแพร่ง

พอได้มาเป็นเณร ก็เหมือนได้มารู้จักธรรมะ มีศีล รู้จักการเจริญสติภาวนา จนชีวิตดีขึ้นอิ่มเอมใจ ไม่ทุกข์ยากเข็ญใจเหมือนแต่ก่อน แต่พอมารู้จักธรรมะได้ปฏิบัติภาวนาระยะหนึ่ง ก็มักจะโดนโลกมันดูดกลับไปหาผ้าผืนเดิม จะชวนให้เรากลับไปเป็นคนเดิม มีชีวิตแบบเดิม ซึ่งหลายคนก็เป็นจริงๆนะ

กิเลส ความเคยชินเก่าๆ มันจะกล่อมเกลาให้เราค่อยๆรู้สึกถวิลหาผ้าที่ขาดๆ ด่างพร้อย สกปรก ถ้าเราไม่มีสติเหมือนที่เณรมี เราก็คงไม่ทันนึกอะไรไหลกลับไปอยู่ในที่ๆเราเคยอยู่มา

ผมเห็นคนมีทุกข์หนักกับชีวิตหลายคน เข้ามาทางธรรม พอทุกอย่างดีขึ้น ก็ทิ้งธรรมะ กลับไปหลงโลกแบบเดิม แต่อีกหลายคนก็ไม่กลับไปอีก มีทั้งสองแบบ แล้วก็มีพวกกลับไปกลับมา นี่ก็อีกแบบ คือรู้ว่าทางนี้มันดีนะ แต่ยังเสียดายผ้าผืนเก่าและชามกระเบื้องแตกๆใบนั้น :)

ครูบาอาจารย์หลายองค์ท่านพ้นทุกข์พ้นร้อนไปแล้ว ท่านมองพวกเราแล้วท่านสงสาร บางองค์สอนจนเป็นมะเร็งในคอ ท่านก็ยังสอนนะ เพราะอะไร

ท่านบอกว่า เห็นตาแป๋วๆ ท่านก็สงสาร ท่านไม่เสียดายธาตุขันธุ์ ท่านเลยยอมป่วย เหมือนพระอานนท์น่ะ เห็นเด็กเดินขอทาน เหมือนเราหาความสุขไปวันๆ เหมือนสัมภเวสีเร่ร่อนในสังสารวัฏ

อุตส่าห์พามาบวช สอนธรรมะให้ สอนให้ภาวนานะ เจริญสตินะ จะได้เอาตัวรอดในกระแสโลกได้ แต่มันก็ไม่ได้ทุกคนหรอก :)

ผมเคยอ่านนิทานเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่ได้เข้าใจเหมือนในครั้งนี้ คงเหมือนกับที่หลวงพ่อปราโมทย์เคยบอกว่า ถ้ายังภาวนาไปเรื่อยๆ ธรรมะจะทำให้เราเข้าใจอะไรได้ลึกซึ้งขึ้นไปตามลำดับ อะไรที่เคยอ่านเคยฟังแล้วไม่เข้าใจ ก็จะได้เข้าใจ อะไรที่เคยสงสัย ก็จะสิ้นสงสัย

แล้วพวกเรายังเสียดายผ้าผืนเก่าอยู่บ้างไหมครับ ลองสังเกตดูนะ

สุขสันต์วันที่เรายังต้องนุ่งผ้าอยู่นะครับ




 

Create Date : 08 มิถุนายน 2554    
Last Update : 18 มิถุนายน 2554 17:21:13 น.
Counter : 3265 Pageviews.  

เรื่องได้-เสีย


(ขอบคุณภาพประกอบโดยความเอื้อเฟื้อจากผู้อ่านใจดีท่านหนึ่งครับ)

จั่วหัวข้อไว้แบบนี้ หลายคนอาจจะตาโต
ไม่ได้จะมาพูดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์หรอกนะครับ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตื่นเต้นไป

มีนิทานเซ็นเรื่องหนึ่งเล่าว่า…
มีเศรษฐีผู้หนึ่งนิมนต์พระเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งไปฉันเพลที่บ้าน
จริงๆ ต้องเรียกว่าคฤหาสน์นะ ถึงจะเหมาะกับขนาดและฐานะของเศรษฐี
เศรษฐีท่านนี้ขึ้นชื่อในเรื่องขี้เหนียวและเป็นคนคิดเรื่องผลตอบแทนในการทำทุกอย่าง
ไม่เว้นกระทั่งการทำบุญ

พระเถระท่านก็ทราบเรื่องนี้ดี จึงอยากให้บทเรียนกับเศรษฐีบ้าง
หลังจากประเคนอาหารเสร็จแล้ว ฉันเสร็จก็แล้ว พระท่านก็นิ่ง
เศรษฐีก็กระวนกระวาย ว่าทำไมหลวงพ่อไม่ยถาสัพพีให้เสียที

จนกระทั่งได้เวลาท่านจะกลับ เศรษฐีก็ทักท้วงขึ้นว่า
“อ้าว... ท่านยังไม่ได้ยถาสัพพีให้กระผมเลย”
พระเถระก็ถามกลับว่า “เอ้า แล้วทำไมเราจะต้องยถาสัพพีให้ล่ะ”
เศรษฐีก็อึกอักพักนึง แล้วก็โพล่งว่า
“ก็กระผมเลี้ยงอาหารท่าน ท่านก็น่าจะให้ศีลให้พรกระผมเป็นการตอบแทนไงครับ”

พระเถระจึงถามว่า “นี่แน่ะโยม อาตมาถามหน่อย...
...ที่อาตมาฉันอาหารของโยมนี่ ใครได้บุญ โยมหรืออาตมา?”
เศรษฐีทำหน้างงๆ แล้วอ้อมแอ้มว่า “ก็กระผมได้บุญขอรับ”
“ถ้างั้น ใครควรจะขอบใจใครล่ะโยม?” พระเถระทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากมา

เล่านิทานให้ฟังเพราะระหว่างทางกลับบ้าน ผมนึกอะไรได้อย่างหนึ่ง
คือเวลาบอกให้ใครรู้จักทำทานเพื่อการสละออก ไม่ใช่เพื่อจะเอาเข้ามา
ทำไมบางคนทำง่าย ทำไมบางคนทำยาก

ได้คำตอบว่า เพราะเวลาพูดถึงการสละ เราชอบใช้คำว่า “เสียสละ”
คนเราพอรู้สึกว่าต้องเป็นฝ่าย “เสีย” ก็ไม่มีใครชอบ
แต่ลืมไปว่าจริงๆทุกครั้งที่สละ เรานั่นแหละเป็นคน “ได้”
ได้บุญกุศล ได้ลดความตระหนี่ ได้ลดความยึดติดถือมั่น

บางทีเวลาเราโตมาในสังคมที่มองทุกอย่างเป็นธุรกิจ
เราก็มัวแต่สนใจเรื่องว่าใครได้ ใครเสีย ลงทุนอะไรแล้วจะได้อะไร
จนลืมไปว่าบางอย่างมันก็ให้ความสุข ให้ความสว่างในใจแล้ว ตั้งแต่ลงมือทำ

เหมือนอย่างรูปประกอบวันนี้ บางคนอาจจะหมกมุ่นสนใจเรื่องว่า
พระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือกำลังตก จนลืมไปว่าอันไหนก็ไม่สำคัญ
ถ้ามันสวยขนาดนี้ จะสนใจทำไมว่ามันกำลังขึ้นหรือกำลังตก
จะเรียกว่า “ได้สละ” หรือ “เสียสละ” ก็ไม่เป็นไร
ขอให้ใจเบิกบานที่ได้สละ ก็พอแล้วดีไหมครับ

สุขสันต์วันที่ยังมีโอกาสได้สละออกทุกท่านครับ




 

Create Date : 07 มิถุนายน 2554    
Last Update : 7 มิถุนายน 2554 18:00:21 น.
Counter : 1663 Pageviews.  

เรื่องหนึ่งที่พึงทำ


(ภาพประกอบสวยๆ โดยความเอื้ออารีของคุณ SevenDaffodils ครับ)

ตั้งแต่ผมใช้ทวิตเตอร์ และ Facebook เป็นช่องทางสื่อสาร
ผมก็ได้พบปัญหาที่มาในรูปของคำถามที่หลากหลายขึ้นกว่าเดิม
แต่แทบทุกคำถาม ไม่ว่าจะเริ่มต้นยังไง ดำเนินไปด้วยเนื้อหาอะไร
ล้วนต้องการคำตอบเดียวกันว่า “ควรจะทำยังไงดี”

เรื่องหนึ่งที่สังเกตได้คือ จำนวนคนที่ถามปัญหาส่วนตัว มักเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย
อันนี้ไม่ทราบเกี่ยวกับเหตุผลทางจิตวิทยาหรือเปล่า ที่เขาบอกว่า
ผู้หญิงมีปัญหาแล้วจะอยากพูด ผู้ชายมีปัญหาแล้วจะอยากเก็บ

ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมคนชอบมาปรึกษาผม (มีคนบอกว่าเพราะฟรีไง)
ทั้งๆที่ในความจริง ผมมักจะไม่ตอบอะไรแบบฟันธง เพราะผมไม่ได้ชื่อลักษณ์
แล้วที่บ้านก็ยังไม่มีธงสักอัน เลยไม่รู้จะฟันตรงไหน
ครั้นจะให้ตอบแบบหมอ Confirm ผมก็ออกจะเป็นแนวชอบ Cancel เสียมากกว่า

ส่วนมากใครมาปรึกษาอะไรผมก็จะขอให้เขาเขียนมาเล่ารายละเอียดก่อน
เพราะผมพบว่าการเขียนนั้นบังคับให้คนเราต้องเรียบเรียงความคิด
ก็คือร้อยเรียงเรื่องราวประสบการณ์ที่เขาเจอมาให้เป็นระบบ

บางคนพอลงนั่งเขียนๆไป ก็จะเห็นเองว่าปัญหาคือตัวเองกำลังพายเรือในอ่าง
บางคนเริ่มได้สติ เมื่อได้ทบทวนเรื่องของตัวเอง ผมแทบจะไม่ต้องตอบอะไรก็มี

คนเราถ้าตั้งสติได้ นั่งเรียงลำดับเรื่องราวเหตุการณ์เสียหน่อย
แล้วไม่ใช้อคติเข้าข้างตัวเอง หรือเข้าข้างคนอื่นมากไป
มันจะเริ่มเห็นคำตอบบางอย่างค่อยๆโผล่ขึ้นมา มากบ้างน้อยบ้าง

ที่เดิมทีมันไม่เห็น เพราะจิตเรามีธรรมชาติชอบคลุกวงในครับ
ที่ชอบคลุกเพราะรักในตัวตน อยากให้มันดี มันสุข เวลามีทุกข์ถึงทนไม่ได้
ขาดสติต้องลงไปคลุก เพื่อผลักใสให้มันพ้นๆไป จนไม่ได้มองปัญหาด้วยสติ

หลักการเดียวกับเรื่องความตั้งมั่นของจิต เวลาภาวนานั่นแหละครับ
ถ้าจิตไม่ตั้งมั่น ก็ยังไม่เป็นกลาง เมื่อยังไม่เป็นกลาง ก็ไม่เห็นความจริง
เมื่อไม่เห็นความจริง ก็ไม่เกิดปัญญา ไม่มีปัญญาก็ยังไม่เจอทางออก
ธรรมะของพระพุทธเจ้า เป็นเหตุเป็นผลกันอย่างนี้นะ

ครูบาอาจารย์ถึงสอนให้มีสตินะๆ มีสตินะๆ เจอทีไรก็มีสตินะ ก็เพราะเหตุนี้
เป็นชาวพุทธถ้าขาดสติตัวเดียว ก็เหมือนคนอีสานขาดปลาร้ากับข้าวเหนียวในสำรับ
จะมีอะไรเป็นกับก็ขยับปากไม่คล่องไม่อร่อยไปเสียหมด

เคยมีรายนึงถามว่าเวลาทุกข์มากๆ สติไม่มีจะให้ทำไง ผมก็จำครูบาอาจารย์มานะ
ท่านบอกว่าเจริญสติดูจิตไม่ได้ ก็ให้ดูกาย
ถ้าดูกายไม่ได้อีก ก็ให้ทำความสงบ

ถามว่าถ้ารู้อะไรก็ไม่ได้ล่ะ..
ตอบว่า... ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ขอเรื่องเดียวนะ
คือ...ขอให้หายใจไว้ก็แล้วกัน อย่าหยุดหายใจ แล้วอดทนไปนะ

ทุกข์มันเกิดก็เกิดชั่วคราวเหมือนกับสุขนั่นแหละ
เมื่อมันผ่านมาได้ มันก็ผ่านไปได้ อย่าไปรั้งมันไว้ก็แล้วกัน

ปัญหาอย่างหนึ่งของคนเราคือ ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ
เช่นปัญหาบางเรื่องมันถึงเวลาต้องเป็นอดีต มันจะต้องผ่านเลยไปแล้ว
เราก็ดันไปรั้งมันไว้เสียอย่างนั้น นั่นแหละที่ทำให้ปัญหาเป็นปัญหา

ถ้าคุณอ่านมาถึงตรงนี้แล้วนึกอยากแกล้งผมด้วยการถามว่า
“แล้วต้องทำยังไง” ผมก็จะตอบว่า..

ก็หายใจไว้ก็แล้วกันนะ อย่าหยุดนะครับ

สุขสันต์วันที่เรายังต้องหายใจเข้าหลังจากหายใจออกครับ




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2554    
Last Update : 18 มิถุนายน 2554 17:20:38 น.
Counter : 1692 Pageviews.  

Source Code: แปดนาทีของชีวิต


(ขอบคุณภาพประกอบฝีมือคุณแป๋ว SevenDaffodils ครับ)

ผมดูหนังเรื่องแรกในโรง ตั้งแต่อายุได้ไม่กี่ขวบ

ในหนังประเภทฮีโร่สู้กับผู้ร้ายหลายๆเรื่องที่ดูมา
มักจะมีตัวละครฝ่ายดีที่อยู่ใกล้ๆ ตัวพระเอก
ที่พลาดท่าโดนล่อลวงโดยตัวร้ายให้ทำร้ายพระเอก
แล้วมาสำนึกเสียใจได้ในนาทีสุดท้ายของชีวิต

จุดอ่อนของมนุษย์อย่างหนึ่ง ก็คือตรงนี้แหละ
ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้หรอกว่าอะไรดีไม่ดี อะไรมีสาระไม่มีสาระ
แต่เรามักจะประมาทว่า ชีวิตยังอีกยาว อีกไกล
เลยใช้เวลากับเรื่องไม่เป็นสาระ ทำร้ายตัวเองเสียมาก

เร็วๆ นี้มีหนังที่พล็อตดีมากเรื่องหนึ่งเข้ามาฉาย ในชื่อ Source Code
เป็นเรื่องของทหารหนุ่มที่ถูกส่ง "จิต" ย้อนเวลา
ไปอยู่ในแปดนาทีสุดท้ายของชีวิตชายผู้หนึ่ง
เพื่อค้นหาคนร้ายที่ก่อวินาศกรรมระเบิดรถไฟขบวนที่เขาโดยสาร
ทำให้มีคนตายไปร้อยกว่าศพ และกำลังจะลงมืออีกในเวลาปัจจุบัน

หนังเดินเรื่องน่าสนใจครับ และมีหักมุมด้วย แบบที่ผมเล่าไม่ได้
เดี๋ยวบางท่านจะสรรเสริญบุพการีผม ที่ไปสปอยล์หนังเขา

จุดน่าสนใจอยู่ตรงที่ เขาไม่ได้เดินทางไปอยู่ในแปดนาทีที่ว่าแค่ครั้งเดียว
แต่ต้องไปแล้วล้มเหลวกลับมา...หลายครั้ง
กว่าที่จะค้นพบคำตอบว่า สิ่งที่เขาควรทำในแปดนาทีนั้น คืออะไร



อีกทั้งการที่เขารู้แก่ใจว่า เขามีเวลาจำกัดแค่แปดนาที
มันกระตุ้นให้เขาต้องทำในสิ่งที่สมควรทำได้มากกว่าคนปกติ

อาจมีบางท่านแย้งว่า แหม...ในชีวิตจริงของเรา
ไม่ได้มีโอกาสแค่แปดนาทีหรอกนา..
ก็จริงนะ...ว่ากันตามหลัก เรามีโอกาสเพียงแค่ทีละขณะจิตเดียว
โดยไม่มีใครรู้ว่า วินาทีถัดไปจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา

ผมชอบที่พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล เคยสอนว่า
"พรุ่งนี้กับชาติหน้า ยังไม่แน่ว่าอะไรจะมาถึงก่อน"
บางท่านคิดว่า...เราก็มีโอกาสกันหลายชาติไม่ใช่เหรอ
ก็ไหนบอกว่าต้องเวียนว่ายตายเกิดไง คุณแอสตัน
อันนั้นถูกแค่ครึ่งเดียวครับ...
เราเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด นับภพนับชาติไม่ถ้วนนั้นจริง
แต่อย่าคิดว่าเกิดเป็นคนแล้วจะได้เป็นคนตลอดไปนะ ไม่แน่หรอก

ต่อให้ทำบุญทำกุศลมาดี ได้เป็นคนไปในทุกชาติ (ซึ่งยากนะ)
ก็ใช่ว่าจะได้เกิดใหม่แบบเริ่มต้นจากจุดเดิม
พร้อมความจำครบถ้วนในครั้งที่สอง สาม สี่ ไปเรื่อยๆ แบบพระเอกในเรื่อง Source Code นะ
ขนาดเขาจำได้ว่า แต่ละรอบเจออะไรมาบ้าง
ก็ยังมะงุมมะงาหราอยู่หลายรอบเลย

หลวงพ่อปราโมทย์เคยเทศน์ว่า สังสารวัฏมันน่ากลัวตรงที่มันปกปิดตัวมันไว้
ไม่ให้ใครจำได้ว่าเกิดมาแล้วกี่ชาติ มีบทเรียนอะไรมาจากชาติก่อนๆ บ้าง

ว่ากันโดยทฤษฎี เราเคยตกนรกกันมาทั้งนั้น แต่จำไม่ได้หรอก
ถ้าจำได้ รับรองไม่มีใครกล้าทำบาปแม้แต่เพียงน้อยนิด
แต่เพราะลืมไปแล้ว พ้นนรกมาแล้ว มาเสวยบุญเป็นมนุษย์อยู่
ก็เลยประมาท ขาดสติกันอีก สังสารวัฏมันถึงยาวไกลไม่สิ้นสุดเพราะเหตุนี้

ผมชอบบทสนทนาตอนหนึ่งที่พระเอกถามนางเอกว่า
"ถ้ารู้ว่ามีเวลาเหลือแค่ไม่ถึงนาที คุณจะทำยังไง"
นางเอกตอบว่า "I'll make every second counts"
"ฉันก็จะใช้ทุกวินาทีให้มีค่าไง"

สุขสันต์วันที่เข็มยาวยังเดินไวกว่าเข็มสั้นครับ

(ปล. ท่านที่มีคำถาม ไปถามในทวิตเตอร์ หรือ Facebook จะเร็วกว่าถามในนี้ครับ follow Twitter ผมได้ที่ @aston_ed หรือ facebook "ธนาคารความสุข" ครับ)




 

Create Date : 12 พฤษภาคม 2554    
Last Update : 12 พฤษภาคม 2554 8:56:31 น.
Counter : 1783 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  

aston27
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 215 คน [?]




คนรู้ไม่คิด คนคิดไม่รู้
New Comments
Friends' blogs
[Add aston27's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.