กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
 
พฤศจิกายน 2567
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
space
space
14 พฤศจิกายน 2567
space
space
space

วันวิสาขบูชา,ความสำคัญของวันวิสาขบูชา


 
235 วันวิสาขบูชา
 

     คำว่า วิสาขบูชา เป็นชื่อของพิธีบูชา และการทำบุญในพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ซึ่งปรารภวันประสูติ  วันตรัสรู้ และวันปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้าเป็นเหตุ
 
     คำว่า  วิสาขบูชา  เป็นคำเรียกสั้น ที่ตัดมาจากคำภาษาบาลีว่า วิสาขปุณณมีปูชา บางทีก็เขียนเป็น วิศาขบูชา ซึ่งเป็นรูปที่ตัดมาจากคำภาษาสันสกฤตว่า  วิศาขปูรณมีปูชา  แปลว่า  การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๖
 
     วันเพ็ญเดือน ๖ นี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาวันหนึ่งในรอบปี เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน เหตุการณ์ทั้งสามร่วมกันในวันนี้  เป็นมหัศจรรย์
 
- ความสำคัญของวันวิสาขบูชา
 
     บรรดาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา  ประเภทรำลึกถึงเหตุการณ์ และบุคคลสำคัญในอดีต วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสำคัญที่สุด ทั้งในแง่ที่เป็นวันเก่าแก่  มีมาแต่โบราณ และในแง่ที่เป็นสากล คือเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง มีการจัดงานฉลองกันทั่วไปในประเทศทั้งหลายที่นับถือพระพุทธศาสนา
 
     ว่าถึงเฉพาะในประเทศไทย  การจัดงานฉลองวันวิสาขบูชาคงจะได้มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยอาจจะสืบมาจากการติดต่อกับลังกาทวีป ที่มีงานวิสาขบูชามานานแล้ว และหนังสือเรื่องนางนพมาศ ก็เล่าเรื่องพิธีวันวิสาขบูชาในกรุงสุโขทัยไว้ด้วย
 
     ในสมัยอยุธยา   ก็เข้าใจว่ามีการฉลองใหญ่   ทั้งงานหลวงงานราษฎร์ตลอด ๓ วัน ๓ คืน ครั้นกรุงแตกแล้ว ประเพณีจึงเสื่อมทรามไป จนมีการฟื้นฟูขึ้นใหม่ในรัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์โดยมีพระราชโองการ เมื่อ จ.ศ. ๑๑๗๙ (พ.ศ. ๒๓๖๐) กำหนดให้มีงานสมโภชประจำปีเป็นการใหญ่ยิ่งกว่างานใดๆอื่น
 
     ความในพระราชกำหนดพิธีวิสาขบูชา จ.ศ. ๑๑๗๙ ว่าทรงมีพระทัยปรารถนาจะบำเพ็ญพระราชกุศลให้มีผลวิเศษยิ่งกว่าที่ได้ทรงกระทำมา จึงมีพระราชปุจฉาถามคณะสงฆ์มีสมเด็จพระสังฆราช (มี) เป็นประธาน ซึ่งได้ถวายพระพรถึงโบราณราชประเพณีงานวิสาขบูชาดังสมัยพระเจ้าภาติกราช แห่งลังกาทวีปเป็นเหตุให้ทรงมีพระราชโองการกำหนดวันพิธีวิสาขบูชานักขัตฤกษ์ใหญ่ ครั้งละ ๓ วัน สืบมา
 
     อย่างไรก็ตาม ครั้นกาลล่วงนานมา  สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไป  งานวันวิสาขบูชาก็ค่อยซบเซาลงอีกโดยลำดับ
 
     ในรัชกาลที่ ๔ คือประมาณ ๑๐๐ ปีเศษล่วงแล้ว เมื่อประชาชนยังยึดมั่นในประเพณีดีอยู่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชดำริถึงความสำคัญของการประชุมใหญ่แห่งพระมหาสาวกของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต จึงได้ทรงจัดงานวันมาฆบูชา ขึ้นเป็นครั้งแรก ทำให้มีวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นอีกวันหนึ่ง
 
     เวลาล่วงมาอีกนาน จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๐ มีการจัดงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ เป็นงานสมโภชครั้งยิ่งใหญ่  
 
     หลังเสร็จงานแล้ว คณะสงฆ์ไทยครั้งนั้น ได้ประชุมกันมีมติว่า วันเพ็ญเดือน ๘ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนาโปรดพระเบญจวัคคีย์เป็นวันที่สำคัญมาก เพราะเป็นการประดิษฐานพระพุทธศาสนา สมควรจัดขึ้นเป็นวันสำคัญที่มีการเฉลิมฉลองเป็นพุทธบูชาอีกวันหนึ่ง วันอาสาฬหบูชา จึงได้เกิดมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๑ เป็นต้นมา
 
     นอกจากนี้ยังมีวันสำคัญประเภทบูชาอีกวันหนึ่ง คือ วันอัฏฐมีบูชา ตรงกับแรม ๘ ค่ำ  เดือน ๖ เป็นวันที่ระลึกงานถวายพระเพลิงพระบรมสรีระของพระพุทธเจ้า
 
     วันอัฏฐมีบูชานี้แม้ว่าคงจะได้มีมาแต่โบราณใกล้เคียงกับวันวิสาขบูชา แต่ไม่มีประวัติเด่นชัด ทั้งไม่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง และในปัจจุบันก็ไม่จัดเข้าเป็นวันสำคัญในทางราชการ   จึงไม่จำต้องนำมาเปรียบเทียบด้วย
 
     ส่วนในวงการพระพุทธศาสนาระหว่างประเทศ วันสำคัญที่รู้จักกันทั่วไปมีเพียงวันเดียว คือ วันวิสาขบูชา
 
     แม้ว่าการคำนวณวันเวลาจะแตกต่างกัน และเรียกชื่อวันแตกต่างกันไปบ้าง เช่น ประเทศพุทธศาสนาในอาเซียตะวันออกเฉียงใต้   จัดงานตามปฏิทินจันทรคติในวันเพ็ญเดือน ๖  แต่ชาวพุทธญี่ปุ่นจัดงานฉลองวันประสูติพระพุทธเจ้าตามปฏิทินสุริยคติ   ในวันที่ ๘ เมษายน  คนไทยเรียก  วิสาขบูชา  คนลังกาเรียกเพี้ยนไปว่า วีสัค หรือ วีซัค (Vesak หรือ Wesak) ดังนี้ เป็นต้น  แต่สาระสำคัญของงานก็คงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
 
     ปัจจุบัน ในวงการพระพุทธศาสนาระหว่างประเทศ ได้มีการพยายามชักชวนให้ชาวพุทธทุกประเทศจัดงานวันวิสาขบูชาพร้อมตรงในวันเดียวกัน คือ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ และเรียกชื่อวันนั้นว่า “The Buddha Day
 
     วันวิสาขบูชา เป็นวันที่ระลึกการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับพระบรมศาสดาผู้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาโดยตรง   เมื่อมีวันวิสาขบูชาแล้ว  จึงมีวันอาสาฬหบูชา และมาฆบูชา เป็นต้น ได้
 
     เจ้าชายสิทธัตถะประสูติแล้ว   มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วเหตุการณ์อื่นๆ  เช่น  การแสดงธรรม และการประชุมพระสาวกจึงติดตามมา แม้พิจารณาในแง่นี้ ก็ต้องนับว่า วันวิสาขบูชา สำคัญที่สุด
 
     การประสูติ ตรัสรู้ และปรินพพานของพระพุทธเจ้าปรากฏขึ้นตรงในวันเดียวกัน คือวันเพ็ญเดือน ๖ เป็นความประจวบพอดีที่หาได้ยากยิ่งนัก หรืออาจจะหาไม่ได้อีกเลย นับว่าเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ทำให้วันวิสาขบูชา เป็นวันที่ระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่สุดทั้ง ๓ อย่าง ที่เกี่ยวข้องกับองค์พระพุทธเจ้าทั้งวันที่พระองค์อุบัติเป็นมนุษย์ ทั้งวันที่อุบัติเป็นพระพุทธเจ้าและวันที่สิ้นสุดพระชนมชีพ
 
      วันวิสาขบูชาจึงมิใช่แต่เพียงเป็นวันที่สำคัญอย่างเดียวเท่านั้น   แต่ยังเป็นวันที่น่าอัศจรรย์อีกด้วย และความมหัศจรรย์ข้อนี้จัดได้ว่าเป็นส่วนประกอบอย่างหนึ่งแห่งความเป็นอัจฉริยบุรุษของพระพุทธองค์
 
     อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ในวันวิสาขบูชานี้ แม้ว่าจะสำคัญและน่าอัศจรรย์เพียงใด ก็เป็นคุณวิเศษจำเพาะของพระพุทธเจ้าแต่พระองค์เดียว  คุณค่าที่พุทธศาสนิกชนจะรับมาเป็นประโยชน์แก่ตนได้ ก็เพียงแต่ให้บังเกิดความภาคภูมิใจในองค์พระบรมศาสดา และเป็นเครื่องเพิ่มพูนความเลื่อมใสศรัทธาให้แน่นแฟ้น แต่ก็คงสุดวิสัยที่จะนำมาเป็นแบบอย่างสำหรับปฏิบัติตาม

     ความสำคัญ และความน่าอัศจรรย์ของพระพุทธศาสนานั้น อยู่ที่เป็นสิ่งซึ่งนำมาปฏิบัติได้ ให้ผลสมจริง
 
     เหตุการณ์ทั้ง ๓ ในวันวิสาขบูชา ก็มีความสำคัญและความน่าอัศจรรย์ในทางปฏิบัติเช่นนี้ด้วย จึงนับได้ว่า เป็นความสำคัญและความน่าอัศจรรย์ที่แท้จริง ยิ่งใหญ่กว่าความสำคัญและความน่าอัศจรรย์อย่างที่กล่าวมาในตอนแรกเสียอีก
 
     ความสำคัญและความน่าอัศจรรย์เช่นว่านี้ ก็คือความสำคัญและความน่าอัศจรรย์แห่งความหมาย ซึ่งเราทั้งหลายสามารถถือเป็นแบบอย่าง นำไปประพฤติปฏิบัติตามได้
 
     ความประจวบพอดีกันของเหตุการณ์ทั้ง ๓ ในวันวิสาขบูชามีความสำคัญ และความน่าอัศจรรย์โดยทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ และความเลื่อมใสศรัทธา แล้วกระทำอามิสบูชาต่อพระรัตนตรัย
 
     แต่ความหมายอันลึกซึ้งที่ประสานกันของเหตุการณ์ทั้งสามนั้น  มีความสำคัญ และความน่าอัศจรรย์โดยเป็นอนุสติเตือนใจให้เราระลึกถึงหลักธรรมแล้วกระทำปฏิบัติบูชา
 
     พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า  อามิสบูชา คือ การบูชาด้วยสิ่งของ เช่น ดอกไม้ธูปเทียน และอาหาร แม้จะสำคัญ ก็ยังเป็นรองปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการปฏิบัติธรรมจึงจะสูงสุด และสำคัญอย่างแท้จริง  เป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่  ทั้งแก่ตัวผู้ปฏิบัติเอง  ทั้งแก่สันติสุขของพหูชน และเป็นเครื่องสืบต่ออายุพระศาสนาที่มั่นคงแน่นอน
 
     เมื่อปฏิบัติบูชามีอยู่  อามิสบูชาก็เป็นกำลังสนับสนุนและพลอยมีความสำคัญ   แต่ถ้าไร้ปฏิบัติบูชา  อามิสบูชาก็หมดความหมาย


(มีต่อ)

 


Create Date : 14 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2567 9:53:36 น. 0 comments
Counter : 127 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space