กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน,
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
สมาธิ,ฌาน
ถ้าหลักธรรมพุทธดีจริง คงไม่สูญจากชมพูทวีปว่าซั่น
ภาวะแห่งนิพพาน
ศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคม
คุณค่าทางจริยธรรมของไตรลักษณ์
จงกรม ไม่ใช่ จงกลม
กรรมฐาน
สติปัฏฐาน
ศีลสำหรับประชาชน
วิธีการแห่งศรัทธา (ปรโตโฆสะที่ดี)
วิธีการแห่งปัญญา (โยนิโสมนสิการ)
ทางดำเนินชีวิตสายกลาง
คุณสมบัติบุคคลโสดาบัน
กาม
ความสุข
อริยสัจ ๔
ธรรมฉันทะ - ตัณหาฉันทะ
กรรม
เถรวาท VS ลัทธิอาจารย์
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
ภาวนา ๔ ภาวิต ๔
สมถะ,วิปัสสนา,เจโตวิมุตติ,ปัญญาวิมุตติ
อนัตตา
สมมุติ
ศีล-สีลัพพตปรามาส
นรก สวรรค์ ในพระไตรปิฎก
วันสำคัญของชาวพุทธไทย
วิธีฝึกหูทิพย์ ตาทิพย์
ลำดับญาณ,ทวนญาณ
ความสำคัญของพระพุทธศาสนาในฐานะ ศ.ประจำชาติ
พฤศจิกายน 2567
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
12 พฤศจิกายน 2567
สารธรรมวันมาฆบูชา
คำถวายดอกไม้ธูปเทียน วันอาสาฬหบูชา
คำถวายดอกไม้ธูปเทียน วันมาฆบูชา
คำถวายดอกไม้ธูปเทียน วันวิสาขบูชา
ทำการบูชาให้สมค่าของวันวิสาขบูชา
ค.ม.วันวิสาขบูชา ในแง่ปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ความหมายวันวิสาขบูชา ในแง่คติจากพระชนมชีพของพระบรมศาสดา
วันวิสาขบูชา,ความสำคัญของวันวิสาขบูชา
คติธรรมวันสงกรานต์
เรื่องของวันตรุษวันสงกรานต์
สารธรรมวันมาฆบูชา
เทศกาลท้ายฝน
วันเข้าพรรษา
ประเพณีวันอาสาฬหบูชา
ความสำคัญของอาสาฬหบูชา
ความหมายของอาสาฬหบูชา
ผลจากการแสดงปฐมเทศนา
ใจความปฐมเทศนา
ต้นกำเนิดวันอาสาฬบูชา
เรื่อง ตักบาตรเทโว
เรื่อง ปวารณา
เรื่อง กฐิน
อารัมภบท
สารธรรมวันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา
คำว่า
มาฆบูชา
เป็นชื่อของพิธีบูชาและการทำบุญในพระพุทธศาสนาอย่างหนึ่ง ซึ่งปรารภการประชุมใหญ่ของพระสาวก ที่เรียกว่า
จาตุรงคสันนิบาต
มาฆบูชา
ย่อมาจาก
มาฆปุณณมีบูชา
หรือ มาฆบูรณมีบูชา แปลว่า การบูชาในวันเพ็ญเดือน ๓
วันเพ็ญเดือน ๓
นี้เป็นวันสำคัญในพระพุทธศาสนา คือเป็นวันที่พระพุทธองค์ประทานโอวาทปาติโมกข์ในที่ประชุมพระสาวก ซึ่งประกอบด้วยองค์สี่ ที่เรียกว่า
จาตุรงคสันนิบาต
เพื่อให้พระสาวกเหล่านั้น มีหลักการร่วมกันในการประกาศพระศาสนาคือสั่งสอนธรรมแก่ประชาชนตามท้องถิ่น บ้านเมือง และประเทศต่างๆ ทั่วไป
คำว่า
จาตุรงคสันนิบาต
แปลว่า การประชุมพระสาวกซึ่งประกอบด้วยองค์สี่ หรือการประชุมพร้อมด้วยองค์สี่ กล่าวคือ
๑. พระสาวกทั้งหลายที่มาประชุมวันนั้น ล้วนเป็น
เอหิภิกขุ
คือได้รับอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า
๒. พระสาวกเหล่านั้น ล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ ทั้งสิ้น
๓. พระสาวกที่ประชุมวันนั้น ซึ่งมีจำนวนถึง ๑,๒๕๐ องค์ มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย
๔. วันนั้น เป็นวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ วันเพ็ญเดือนมาฆะ พระจันทร์เต็มดวงบริบูรณ์
การประชุมครั้งสำคัญที่สุดในสมัยพุทธกาล ที่เรียกว่า
จาตุรงคสันนิบาต
นี้ได้มีขึ้น ณ พระเวฬุวันมหาวิหารใกล้กรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นมคธ เริ่มแต่ตะวันบ่ายก่อนค่ำของวันเพ็ญเดือน ๓ ใน
ปีแรก
ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ
หลังจากวันตรัสรู้ไป ๙ เดือน
การประชุมเช่นนี้ มีครั้งเดียวในศาสนานี้ เป็นการประชุมครั้งสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
โอวาทปาติโมกข์
คำว่า
โอวาทปาติโมกข์
แปลว่า โอวาทที่เป็นประธานหรือคำสอนที่เป็นหลักใหญ่ หมายถึง ธรรมที่เป็นหลักสำคัญของพระพุทธศาสนา สาธุชนนิยมเรียก
โอวาทปาติโมกข์
นี้ ว่าเป็น “หัวใจของพระพุทธศาสนา”
ความใน
โอวาทปาติโมกข์
แบ่งออกเป็น ๓ ตอน พระพุทธองค์ตรัสเรียงลำดับต่อกันเป็น ๓ คาถาครึ่ง
คาถาแรกว่า
ความอดทน คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง
พระพุทธะทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่ายอดเยี่ยม
ผู้ทำร้ายผู้อื่น เป็นบรรพชิตไม่ได้ทีเดียว
ผู้เบียดเบียนผู้อื่น เป็นสมณะไม่ได้
คาถาที่สองว่า
การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑
การยังกุศลให้ถึงพร้อม ๑
การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑
นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธะทั้งหลาย
คาถาที่สามว่า
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทําร้าย ๑
ความสำรวมในพระปาติโมกข์ ๑
ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑
ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑
การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑
นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธะทั้งหลาย
ความใน
คาถาแรก
พระพุทธเจ้าตรัสเพื่อแสดง
หลักการ
และแนวทางที่เป็นลักษณะเฉพาะของพระพุทธศาสนา ซึ่งทำให้สามารถแยกจากลัทธิศาสนาที่พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับ
ตอนแรกที่ตรัสว่า ความอดทนคือทานไว้ ยืนหยัดอยู่ได้ เป็น
ตบะ
อย่างยิ่ง พระองค์ตรัสเพื่อแสดงให้เห็นว่า การบำเพ็ญตบะของนักบวชทั้งหลาย ที่นิยมทรมานตนเองด้วยวิธีการต่างๆ นั้น ไม่ใช่เป็นวิธีการเผาผลาญบาปชนิดที่พระพุทธศาสนายอมรับ
สาระสำคัญของตบะที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับ หรือตบะที่ถูกต้อง ก็คือ
ขันติธรรม
ความอดทนที่จะดำเนินตามมรรคาที่ถูกต้องไปจนถึงที่สุด มีความ
เข้มแข็งทนทาน
อยู่ในใจ ดำรงอยู่ในหลักปฏิบัติที่ถูกต้องนั้น ไม่ระย่อท้อถอย
สิ่งที่จะพึงอดทน ที่สำคัญ คือ
๑. ความเหนื่อยยากลำบากตรากตรำในการปฏิบัติกิจหน้าที่การงาน รวมทั้งความหนาวร้อน หิวกระหาย และสิ่งรบกวนก่อความไม่สบายต่างๆ
๒. ทุกขเวทนา เช่น ความเจ็บปวดเมื่อยล้า ความเสียดยอก ระบมบาดเจ็บ ที่เกิดแก่ร่างกายในยามป่วยไข้ เป็นต้น
๓. อาการกิริยาท่าทีวาจาของผู้อื่น ที่กระทบกระทั่งหรือไม่น่าพอใจ เช่น ถ้อยคำที่เขาพูดไม่ดี เป็นต้น
ความอดทน อดกลั้น หรืออดได้ทนได้ หมายถึง การยอมรับได้ต่อสิ่งกระทบกระทั่งหรือไม่สบายฝืนใจเหล่านั้น ไม่ขึ้งเคียดขัดเคือง ไม่แสดงอาการผิดปกติสามารถดำรงไมตรีคงอยู่ในเมตตา หรือรักษาอาการอันสงบมั่นคงในการทำกิจหรือบำเพ็ญกุศลธรรม ทำความดีงามสืบต่อไป
ในหลายถิ่น และหลายยุคสมัย มนุษย์ทั้งหลายอดไม่ได้ ทนไม่ได้ แม้ต่อการที่มนุษย์กลุ่มอื่นพวกอื่นมีความเชื่อถือ สั่งสอน และปฏิบัติกิจพิธีตามประเพณีนิยมและลัทธิศาสนารวมทั้งอุดมการณ์ที่แตกต่างจากตน มนุษย์เหล่านั้น ไม่สามารถสัมพันธ์กันด้วยวิธีการแห่งปัญญา เช่น พูดจากันด้วยเหตุผล จึงทำให้เกิดการขัดแย้งทะเลาะวิวาท ตลอดจน
สงคราม
มากมาย การขาดขันติธรรม ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ
หากมนุษย์ปฏิบัติตามหลักโอวาทปาติโมกข์ข้อแรกนี้ ก็จะช่วยให้โลกดำรงอยู่ในสันติ และมนุษย์แต่ละพวกนั้นก็จะมีโอกาสพัฒนาชีวิตและสังคมของตนไปสู่ความดีงามที่สูงขึ้นไป
ตอนที่สอง
ที่ตรัสว่า พระพุทธะทั้งหลายกล่าวพระนิพพานว่ายอดเยี่ยมนั้น ตรัสเพื่อชี้ชัดลงไปว่า จุดหมายของพระพุทธศาสนาคือ
นิพพาน
อันได้แก่ ความดับ
กิเลส
และ
กองทุกข์
ทั้งปวงได้ หรือความเป็นอิสระหลุดพ้นจากอำนาจครอบงำของกิเลส คือ โลภะ โทสะ และโมหะ ไม่ใช่สวรรค์ ไม่ใช่การเข้ารวมกับพระพรหมผู้เป็นเจ้า เป็นต้น
ตอนที่สาม
ที่ตรัสว่า ผู้ทำร้ายผู้อื่น เป็นบรรพชิตไม่ได้ทีเดียว ผู้เบียดเบียนผู้อื่นเป็นสมณะไม่ได้ นี้ตรัสเพื่อ
แสดงลักษณะของนักบวชในพระพุทธศาสนา
คือชี้ให้เห็นว่า ความเป็นสมณะหรือนักบวช มิใช่อยู่ที่การประกอบพิธีกรรมเป็นเจ้าพิธี หรืออยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ สามารถบันดาลผลให้แก่คนที่อ้อนวอนปรารถนา มิใช่อยู่ที่การบำเพ็ญตบะประพฤติเข้มงวด หรือการปลีกตัวออกไปอยู่ในป่าในเขาตัดขาดจากผู้คน มิใช่อยู่ที่การทำหน้าที่เป็นสื่อกลาง คอยบอกแจ้งข่าวสาร และความต้องการระหว่างสวรรค์ กับ หมู่มนุษย์แต่อยู่ที่ความเป็นผู้ไม่เบียดเบียน ไม่ก่อความทุกข์ยากเดือดร้อนแก่ใครๆ มีแต่เมตตากรุณา บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์สุขของคนทั้งปวง
พูดสั้นๆ ว่า นักบวช หรือพระภิกษุสงฆ์ในความหมายของพระพุทธศาสนา คือเครื่องหมายของความไม่มีภัย เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่มเย็นปลอดภัย และการชี้นำมรรคาแห่งสันติสุข
ความใน
คาถาที่สอง
พระพุทธองค์ตรัส
สรุปข้อปฏิบัติในพระพุทธศาสนา
ทั้งหมดลง เป็นหลักการสำคัญ ๓ ประการ คือ
๑. ไม่ทำบาปทุกอย่าง ได้แก่ ละเว้นความชั่วทุกชนิด ทุกระดับ ตั้งต้นแต่ประพฤติตามหลักศีล ๕ เช่น ไม่ทำลายชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น
๒. ยังกุศลให้ถึงพร้อม ได้แก่ บำเพ็ญความดีให้บริบูรณ์ เช่น มีศรัทธา มีเมตตากรุณา ฝึกจิตให้เข้มแข็ง มีสมาธิมีความเพียร มีสติรอบคอบ ชื่อสัตย์สุจริต มีความเสียสละ เป็นต้น
๓. ทำจิตของตนให้ผ่องใส ได้แก่ ชำระจิตให้บริสุทธิ์สะอาด ให้หลุดพ้นจากกิเลส เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฟุ้งซ่าน ความหดหู่ซึมเซา เป็นต้น ด้วยการฝึกอบรมเจริญปัญญาให้เกิดความรู้ความเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง จนกิเลสและความทุกข์ครอบงำจิตใจไม่ได้
จำง่ายๆ สั้นๆ ว่าเว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์
หลักปฏิบัติที่ตรัสในคาถาที่สองนี้ เป็นทั้งแนวทางและขอบเขตในการที่พระสาวกทั้งหลายจะไปอบรมสั่งสอนประชาชนให้ตรงตามหลักการของพระพุทธศาสนา และสอนได้เป็นแนวเดียวกัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการเผยแผ่
ความใน
คาถาที่สาม
พระพุทธองค์ตรัสเพื่อเป็น
หลัก
ความประพฤติและ
การปฏิบัติตน
หรือ
หลักปฏิบัติในการทำงานสำหรับผู้ที่จะไปประกาศพระศาสนา
หมายความว่า ทรงวางระเบียบในการไปสั่งสอนธรรมแก่ประชาชน ว่าผู้สอน ต้องเป็นผู้ไม่กล่าวร้าย ต้องเป็นผู้ไม่ทำร้ายคือ ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ไม่ว่าด้วยกายหรือวาจา มีวจีกรรมและกายกรรมบริสุทธิ์สะอาด พูดและทำด้วยเมตตากรุณา มีความสำรวมในพระปาติโมกข์ คือประพฤติเคร่งครัดในระเบียบแบบแผน รู้จักประมาณในภัตตาหาร ที่นอนที่นั่งก็ให้สงบสงัดเหมาะแก่สมณะ คือ ต้องไม่เห็นแก่กินแก่นอน และต้องมีใจแน่วแน่เข้มแข็ง ไม่ท้อถอย ฝึกอบรมจิตใจของตนอยู่เสมอ
รวมความว่า ไปทำงานก็ให้ไปทำงานจริงๆ ทำงานเพื่องาน มุ่งประโยชน์สุขของประชาชนเป็นสำคัญ ไม่ใช่ไปหาความสุขสนุกสบาย
เนื้อความ ๓ คาถาของโอวาทปาติโมกข์นี้ แสดงให้เห็นวิธีสั่งงานของพระพุทธเจ้า การที่พระองค์ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนานั้น ก็คือพระองค์
ส่งพระสาวกให้ไปทำงาน
ความจริง พระองค์เคยส่งพระสาวกออกไปแล้ว ๒ รุ่น
รุ่นแรก
เป็นพระอรหันต์ล้วน
มีจำนวน ๖๐ องค์
รุ่นที่สอง เป็นพระอริยบุคคลชั้นเสขภูมิ คือ ยังไม่เป็นพระอรหันต์
มีจำนวน ๓๐ องค์
ทั้งหมดนั้น พระองค์ทรงส่งไปอย่างธรรมดา คือ ตรัสสั่งเพียงว่า “
จงจาริกไปประกาศพระศาสนา เพื่อประโยชน์และความสุขของพหูชน
” และลงท้ายว่า “ด้วยเมตตาการุณย์แก่ชาวโลก” มิได้มีพิธีการพิเศษแต่อย่างใด
แต่ในการซักซ้อมงานคราวนี้ พระสาวกมีจำนวนมากถึง ๑๒๕๐ องค์ ซึ่งเป็นการชุมนุมครั้งใหญ่และครั้งสำคัญ พระองค์จึงทรงสั่งงานหรือนัดหมายงานอย่างชัดเจน และละเอียดถี่ถ้วนพระองค์ทรงสั่งงานอย่างนี้ ศาสนาของพระองค์จึงแพร่หลายไพศาลอย่างรวดเร็ว และยั่งยืนอยู่อย่างมั่นคงจนทุกวันนี้
โอวาทปาติโมกข์ที่พระพุทธเจ้าตรัสนี้ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของการสั่งงาน เพราะในการสั่งงานนั้น ถ้าผู้สั่ง สั่งให้ชัดลงไปว่าทำอะไร เพื่ออะไร ทำอย่างไร ดังนี้ แล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมปฏิบัติสะดวก และงานก็จะสำเร็จเป็นผลดีตามความมุ่งหมายเสมอ
โดยเหตุที่พระพุทธเจ้า ประทานโอวาทปาติโมกข์ในวันเพ็ญเดือน ๓ ฉะนั้น วันเพ็ญเดือน ๓ จึงเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เป็นวันที่พุทธศาสนิกชนจัดทำพิธีสักการบูชาเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า
มาฆบูชา
พิธีมาฆบูชานี้ แต่ก่อนก็มิได้ทำกัน เพิ่งมาทำในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งพระราชวงศ์จักรีนี่เอง
พิธีมาฆบูชานี้ มีทั้งพระราชพิธี และพิธีของพุทธศาสนิกชนทั่วๆ ไป
ในที่นี้ จะกล่าวเฉพาะพิธีของพุทธศาสนิกชนทั่วๆ ไป
เมื่อถึงวันมาฆบูชา ในตอนเช้า นอกจากจะมีการทำบุญตักบาตรตามปรกติแล้ว สาธุชนอาจรับอุโบสถศีล และฟังเทศน์ตามวัดที่ใกล้เคียงหรือคุ้นเคย
ในตอนค่ำ นำธูป เทียน ดอกไม้ ไปประชุมพร้อมกันที่โบสถ์หรือเจดียสถานแห่งใดแห่งหนึ่ง ที่ทางวัดจัดไว้
เมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมแล้ว ยืนหันหน้าเข้าหาสิ่งที่เคารพ คือพระประธาน หรือสถูปเจดีย์อย่างใดอย่างหนึ่ง คฤหัสถ์ทั้งหลาย ยืนถือธูป เทียน ดอกไม่ ประนมมืออยู่ถัดพระสงฆ์ออกไป เมื่อพระภิกษุที่เป็นประธานกล่าวนำคำบูชา ที่ประชุมทั้งหมดว่าตามพร้อมๆ กัน
เมื่อกล่าวคำบูชาเสร็จแล้ว พระสงฆ์เดินนำหน้า เวียนขวารอบพระอุโบสถ หรือพระสถูปเจดีย์ ๓ รอบ ซึ่งเรียกว่า เวียนเทียน คฤหัสถ์เดินตามอย่างสงบ
ขณะเวียนรอบแรก ให้ระลึกถึงพระพุทธคุณ รอบที่ ๒ ระลึกถึงพระธรรมคุณ รอบที่ ๓ ระลึกถึงพระสังฆคุณ ไม่เดินคุยกัน ไม่หยอกล้อกัน หรือแสดงอาการไม่สุภาพอื่นๆ ในขณะเวียนเทียน เพราะเป็นการขาดความเคารพพระรัตนตรัย
เมื่อเวียนเทียนครบ ๓ รอบแล้ว เข้าในพระอุโบสถ สวดมนต์ฟังเทศน์กัณฑ์แรกจะได้ฟังเรื่อง
จาตุรงคสันติบาต
กัณฑ์ต่อๆ ไปอาจเป็นเรื่องโพธิปักขิยธรรม หรือเรื่องอื่นๆ ที่ทางวัดเห็นสมควรบางวัดมีเทศน์จนตลอดรุ่ง
ข้อที่ควรทำเป็นพิเศษในวันนั้น ก็คือ ควรพิจารณาความหมายของการเว้นชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ให้เข้าใจชัดเจนลึกซึ้ง แล้วตั้งใจปฏิบัติให้ได้ตามนั้น
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 13 พฤศจิกายน 2567 7:14:24 น.
0 comments
Counter : 139 Pageviews.
(โหวต blog นี้)
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
BlogGang Popular Award#20
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com