สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม - บทที่ 54
"โอย..ปวด ปวดเหลือเกิน หลวงพ่อเจ้าขา ช่วยลูกช้างด้วย"
หญิงสาววัยยี่สิบเศษนอนร้องครวญครางอยู่ตรงประตูทางเข้า หล่อนสวมผ้าซิ่นสีน้ำตาลเข้ม ทว่าท่อนบนเปลือยเปล่า ปทุมถันข้างหนึ่งใหญ่กว่าอีกข้างประมาณสามเท่า มีเสื้ออยู่ในมือข้างหนึ่งของหล่อน
อาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ เมื่อได้ยินเสียงร้องก็ลืมตาขึ้นดู ภาพที่เห็นไม่ได้ทำให้เขาเกิดราคะ หญิงสาวผู้นั้นคงอายุใกล้เคียงกับลูกสาวของเขา เขารู้สึกเวทนา รู้ว่าหล่อนคงเป็นมะเร็งที่เต้านมและคงเจ็บปวดไม่แพ้เขา ที่เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
"หนู ทำไม่ใส่เื้อผ้าให้เรียบร้อย มาหาพระควรแต่งกายให้มิดชิดนะ" "มันใส่ไม่ไหวจ้ะลุง มันปวด ปวดเหลือเกิน ถ้าลุงมาเป็นฉันก็คงจะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน" หล่อนว่าพร้อมกับสะอื้นฮักๆ "ลุงรู้ ทำไมจะไม่รู้ นี่ลุงก็เป็นมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองมาห้าปีแล้ว ปวดเหมือนหนูแหละ เห็นไหม..น้ำเหลืองไหลเยิ้มเลย เหม็นเน่าด้วย หนูได้กลิ่นไหมล่ะ" เขาชี้แผลที่คอบริเวณใต้กกหูขวา
ขณะที่อาจารย์ชิตสนทนาอยู่กับผู้หญิงคนนั้น นายขุนทองก็ตะลีตะลานขึ้นไปรายงานท่านพระครู เห็นท่าทางลนลานของอีกฝ่าย นายสมชายจึงออกมาดู เขารู้สึกสงสารหล่อน แต่ในความสงสารนั้นมีความกำหนัดยินดีตามประสาคนหนุ่มปนอยู่ด้วย ที่ได้เห็นทรวงอกที่เปลือยเปล่า
"หลวงลุง เร็วๆเข้า นางมณโฑ...นางมณโฑ" นายสมชายละล่ำละลัก ท่านพระครูถามว่า "อะไรของเอ็งอีกล่ะ นางมณโฑไหน ใช่คนที่เป็นเมียทศกัณฐ์หรือเปล่า" ท่านย้อนถามอย่างอารมณ์ดี "จะใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้สิฮะ หลวงลุงลงไปดูเองดีกว่า เขาร้องหาหลวงลุงอยู่แน่ะ"
ท่านพระครูจึงเดินลงมา ทันเห็นสายตาของนายสมชายซึ่งจ้องเขม็งอยู่ที่อกหญิงสาว จึงออกอุบายว่า "สมชายไปดูยาที่ตากไว้ซิว่าแห้งหรือยัง ถ้ายังก็เฝ้าดูไว้จนกว่ามันจะแห้ง แห้งแล้วก็เอาไปคั่ว แล้วต้มน้ำมากานึง ต้มให้เดือดนะ"
นายสมชายจึงต้องลุกออกไปอย่างแสนเสียดาย เดินพลางก็นึกในใจไปด้วยว่า 'แม่เจ้าโว้ย ทำไมมันถึงดูใหญ่ซะขนาดนั้น นี่ของแฟนเราจะได้สักครึ่งนึงหรือเปล่าหนอ'
เห็นท่านพระครูลงมา หญิงสาวก็คลานเข้ามาใกล้อาสนะแล้วก้มลงกราบ
"หลวงพ่อช่วยลูกด้วย ปวดจะตายอยู่แล้ว" หล่อนร้องไห้สะอึกสะอื้น
ท่านพระครูจึงแผ่เมตตาจิตไปให้ กระแสของความเมตตาทำให้หล่อนรู้สึกว่าความเจ็บปวดนั้นบรรเทาเบาบางลง
"ใสเสื้อก่อนหนู นุ่งห่มให้เรียบร้อย ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวหลวงพ่อจะช่วย" ท่านพูดอย่างปรานี
นายขุนทองนั่งคุมเชิงอยู่ใกล้ๆ ด้วยเกรงว่าหล่อนจะเข้ามาประชิดติดตัวหลวงลุง ก็หล่อนดูเจ็บปวดจนขาดสติออกขนาดนั้น
หญิงสาวหยุดสะอื้น เอาเสื้อในมือขึ้นมาใส่แล้วจึงบอกท่านว่า
"ปวดเหลือเกินจ้ะหลวงพ่อ มันทรมานเหลือเกิน ไอ้โรคบ้านี่" หล่อนพูดอย่างโกรธแค้นเจ้าโรคร้าย "หนูมาจากไหนล่ะ บ้านอยู่ที่ไหน" "โธ่หลวงพ่อ จำฉันไม่ได้หรือ ส้มป่อยไงล่ะ บ้านอยู่ตรงข้ามกับวัดโน่นไง" หล่อนชี้มือไปที่บ้านที่ตั้งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา "อ้าว เอ็งหรอกหรือ ส้มป่อย แล้วมายังไงนี่"
ท่านเห็นนางสาวส้มป่อยมาตั้งแต่หล่อนยังเป็นเด็กเล็กๆ เพราะหล่อนมักตามมารดามาที่วัดนี้ทุกวันพระ เพิ่งจะหายหน้าหายตาไปเมื่อสักห้าหกปีนี่เอง
"มาเรือจ้างจ้ะ หลวงพ่อช่วยฉันด้วยเถิด ฉันไม่มีเงินไปหาหมอ ทุกวันนี้ฉันก็ตัวคนเดียว พ่อแม่พี่น้องหายสาบสูญไปหมด"
"แน่สะสิ ข้าก็ได้ข่าวอยู่เหมือนกัน เอ็งเห็นหรือยังล่ะว่าเวรกรรมมีจริง ไม่ต้องรอไปถึงชาติหน้าหรอก จำได้หรือเปล่าว่าเอ็งทำกรรมอะไรไว้"
"จำไม่ได้จ้ะ หลลงพ่อช่วยบอกฉันด้วยเถิด"
"อ้าว ก็เอ็งเป็นคนทำ จะให้ข้าบอกได้ยังไง ลองนึกดูให้ดีซิ"
"ฉันจำไม่ได้หรอก ขี้เกียจนึก หลวงพ่อช่วยนึกเผื่อฉันด้วย แล้วช่วยบอกฉันทีว่าจะแก้กรรมได้อย่างไร" หล่อนพูดง่ายๆ แล้วกลับนึกโกรธขึ้นมาอีกตามวิสัยของคนที่เจ็บป่วยด้วยโรคร้าย
ท่านพระครูไม่ถือสา เพราะมนุษย์ทุกรูปทุกนามย่อมเหมือนกันหมดนั่นคือ เมื่อกายสุขใจก็แช่มชื่น ครั้นเมื่อกายทุกข์ใจก็เศร้าหมองและมองโลกในแง่ร้าย เหมือนกับนาวสาวส้มป่อยผู้นี้
"เอาละ เมื่อเอ็งนึกไม่ออก ข้าก็จะช่วยนึกให้ จำได้หรือเปล่า เมื่อห้าหกปีที่แล้ว เอ็งเอาลูกหมาใส่เรือมาปล่อยที่วัดนี้ พอข้าเตือนเอ็งๆก็ไม่เชื่อ ลูกหมามันยังเล็ก ยังไม่ทันลืมตาด้วยซ้ำ เอ็งก็เอามันมาปล่อยเสียแล้ว ข้าบอกให้มันโตอีกสักหน่อย พอช่วยตัวเองได้เสียก่อน แล้วค่อยเอามาปล่อยที่วัด ข้าก็ไม่ว่า แต่เอ็งก็เถึยงเฉิบๆว่าแม่สั่งให้เอามาปล่อย รู้ไหมว่าลูกหมาพวกนั้นมันนอนตายอยู่ริมหาดหมดทุกตัว ข้าเตือนทั้งเอ็งและแม่ของเอ็งว่าอย่าสร้างเวรสร้างกรรม แต่แม่เอ็งก็ไม่เชื่อ กลับมาโกรธข้าจะเป็นจะตาย ขนาดไม่ยอมมาทำบุญที่วัดนี้อีกเลย แล้วทีนี้เป็นยังไงล่ะ ถูกกฏแห่งกรรมเล่นงานทั้งครอบครัวเลย ช้ารู้ตลอดเพราะมีคนมาเล่าให้ข้าฟัง จะให้เล่าไหมล่ะว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง"
อาจารย์ชิตกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ใกล้ๆ เขาได้ยินเรื่องที่ท่านพระครูพูดแล้วก็ฟังเพลิน จนถึงกับทิ้ง 'พอง-ยุบ' มาสนใจเรื่องกำลังสนทนากัน
เห็นแล้วท่านพระครูก็บอกเขาว่า "โยม อยากฟังก็ลืมตาได้ นั่งหลับตาฟังแบบนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร เอาเถอะ อาตมาอนุญาต"
อาจารย์ชิตจึงลืมตาขึ้นอย่างขัดเขินที่ท่านพระครูรู้เท่าทัน
"ว่าไง จะให้ข้าเล่าหรือเปล่า แต่ถึงไม่ให้ข้าก็จะเล่า เพราะเอ็งมาขอให้ข้าช่วย ขอบอกไว้ ณ ที่นี่เสียเลยว่านอกจากข้าแล้วไม่มีใครจะช่วยเอ็งได้ ถึงเอ็งจะไปหาหมอ เขาก็ช่วยเอ็งไม่ได้"
"เอาเหอะ เอาเหอะ หลวงพ่ออยากเล่าก็เล่าไป ก็ฉันไม่มีทางเลือกแล้วนี่ ไอ้หมอไอ้หมาที่ไหนฉันก็ไม่ไปหามันหรอก ไม่มีเงินให้มัน" สาววัยยี่สิบเศษตอบอย่างพาลๆ
"หนู พูดกับพระกับเจ้าควรจะให้สุภาพหน้อย ลุงรู้ว่าหนูหงุดหงิดเพราะความเจ็บปวด ลุงเองก็เคยเป็นแบบหนุมาก่อนเหมือนกัน แต่ลุงก็พยายามระงับสติอารมณ์ ที่หลวงพ่อท่านพูดมาก็จริงของท่านนะ นี่ขนาดลุงเป็นมาห้าปี ผ่าตัดมาสองครั้งก็ยังไม่หาย ลุงก็หวังจะมาตายใกล้ๆหลวงพ่อ เพิ่งมาได้วันเดียวยังรู้สึกว่าอาการดีขึ้นเลย หนูจะต้องหายแน่ เชื่อลุงเถอะ แล้วก็พูดกับท่านให้สุภาพหน่อย ชีวิตของหนูอยู่ในมือของท่านก็ว่าได้" อาจารย์ชิตเตือนด้วยความหวังดี เพราะคิดว่าหล่อนก็เหมือนลูกหลานคนหนึ่งของเขา
"ลุงก็อยู่ส่วนลุงซี มายุ่งอะไรกะฉัน ฉันจะพูดยังไงก็ไม่เห็นจะหนักกบาลใคร" หล่อนถือโอกาสเล่นงานอาจารย์ เพราะกำลังโกรธท่านพระครู
"อีส้มป่อย นี่กูชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ เดี๋ยวก็ตบล้างน้ำซะนี่ จะตายอยู่รอมร่อแล้วยังมาทำกำแหง เดี๋ยวกูตบจนสลบแล้วลากไปทิ้งที่หาดทรายให้ตายอย่างลูกหมาพวกนั้นหรอก" นายขุนทองพูดอย่างเหลืออด พลางเงื้อมือขึ้นมา
นางสาวส้มป่อยตกตะลึง อ้าปากค้าง เห็นท่าทางเอาจริงของอีกฝ่าย ก็ชักกลัว
"ขุนทอง เอ็งไปดูที่ครัวซิ สมชายคั่วยาเสร็จหรือยัง ไปเดี๋ยวนี้เลย"
ท่านพระครูออกคำสั่ง คาดไม่ถึงว่าหลานชายจะร้ายกาจถึงปานนี้
นายขุนทองขยับจะอ้าปาก แต่ท่านรีบห้ามว่า "ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น รีบไปทำตามที่ข้าสั่ง" หนุ่มวัยนยีสิบเอ็ดจึงเดินตุปัดตุป่องออกไป
"ข้าต้องขอโทษด้วยนะส้มป่อย ที่คนของข้าแสดงกิริยาไม่ดีกับเอ็ง อย่าถือสามันเลย มันเป็นเด็กมีปัญหา" ท่านขอโทษแทนหลานชวย
"เด็กอะไรกัน โตยังกะวัวกะควาย หลวงพ่ออบรมมันยังไง ถึงได้เป็นยังงี้" หล่อนถือโอกาสตำหนิทั้งหลวงพ่อและลูกศิษย์ โดยลืมตำหนิตัวเอง
"ข้าก็อบรมมันอย่างดีนั่นแหละ แต่เพราะมันไม่เชื่อฟัง เลยเป็นแบบนี้ เอ็งก็เหมือนกัน ถ้าเชื่อข้าเอ็งก็จะไม่เป็นแบบนี้หรอก"
คราวนี้เมื่อหล่อนไม่โต้แย้ง ท่านจพระครูจึงอบรมต่อไปว่า "ที่ข้าพูดมาแล้วและที่กำลังจะพูดต่อไปนั้น ข้าไม่มีเจตนาจะประจานเอ็ง แต่ที่ต้องพูดเพราะมันเกี่ยวกับการรักษาโรคของเอ็ง พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่า ทุกข์จะดับลงได้ก็ต้องรู้สาเหตุของทุกข์ เอ็งจึงจำเป็นต้องรู้สาเหตุทุกข์ของเอ็งก่อน จะได้ไม่ไปโทษโชคชะตาว่าเล่นตลกกับเอ็ง คนสมัยนี้ชอบโยนความผิดไให้โชคชะตา หารู้ไม่ว่าตัวเองนั่นแหละที่ลิขิตทุกข์ขึ้นมาเอง เอาละ ทีนี้ข้าจะเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวของเอ็ง ตามที่คนเขามาเล่าให้ข้าฟัง เอ็งฟัง่ก่อน ถ้าไม่จริงค่อยแย้งทีหลัง เข้าใจหรือเปล่า ระหว่างที่ข้าพูด ขอให้ฟังอย่างเดียว" ท่านยื่นเงื่อนไข
"เข้าใจจ้ะ นิมนต์หลวงพ่อพูดเถิดจ้ะ" นางสาวส้มป่อยอารมณ์ดีขึ้น เมื่อรู้ว่าเกี่ยวกับประโยชน์ของตัวเอง
"พ่อเอ็งหายไปก่อนใช่ไหม บอกว่าจะไปหางานทำที่ลำปาง แล้วก็หายเงียบไปเลย ไม่เคยส่งข่าวทางบ้าน อีกปีต่อมา แม่กับพี่ชายเอ็งบอกว่าจะไปตามหาพ่อเอ็ง แล้วก็เงียบหายไปอีก และเมื่อสองปีที่แล้วพี่สาวกับน้องชายเอ็งก็ทิ้งเอ็งไว้คนเดียว พากันไปตามหาพ่อกับแม่เอ็ง พอเอ็งอยู่คนเดียวก็คิดมาก เมื่อคิดมากก็เครียดมาก เครียดหนักๆเข้ามะเร็งก็เลยเล่นงานเอ็ง นี่แหละ ผลกรรมที่เอ็งก่อไว้กับลูกหมา ไปพรากลูกพรากแม่มัน ทำให้มันต้องตายอย่างทรมาน กี่ครั้งต่อกึีครั้งที่เอ็งเอาลูกหมามาปล่อย จำได้ไหม" ท่านถามจำเลยที่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น
"จำไม่ได้จ้ะหลวงพ่อ รู้แต่ว่าอีด่าง อีเขียวออกลูกทีไร แม่ก็ให้ฉันเป็นคนเอาไปทิ้งทุกที ฉันก็นึกไม่ถึงว่าเวรกรรมมันจะเล่นงานฉันถึงปานนี้ นี่ถ้าเชื่อหลวงพ่อเสียตั้งแต่ตอนนั้น ฉันคงไม่เป็นอย่างนี้ใช่ไหมจ๊ะ" หล่อนเพิ่งจะรู้สึกนึกผิด
"เอาเถอะ ไหนๆเรื่องมันก็ผ่านไปแล่ว เมื่อเอ็งก่อกรรมก็ต้องรับผลของมัน ไม่มีใครมารับแทนเอ็งได้ รู้อย่างนี้แล้วก็ต้องอดทน คิดเสียว่าใช้เวรที่ทำ ใช้กรรมที่ก่อ ใช้หมดเมื่อไหร่เอ็งก็จะหาย นี่โยมเขาก็มาใช้เวรใช้กรรมแบบเดียวกับเอ็งนั่นแหละ" ท่านหมายถึงอาจารย์ชิต
"ลุงทำกรรมอะไรไว้หรือจ๊ะ" หล่อนหันไปพูดดีกับบุรุษสูงวัย เป็นการขอลุแก่โทษ "ลุงยังนึกไม่ออกเลยหนู หลวงพ่อท่านก็ไม่ยอมบอกลุงเหมือนที่บอกหนู" เขาเองก็อยากรู้ว่าทำกรรมอะไรเอาไว้
"ในกรณีของโยม อาตมาจะยังไม่บอก ต้องให้รู้เองถึงจะซึ้งใจ เอาเถอะ ภายในเจ็ดวันนี้ ถ้าโยมปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ก็คงจะนึกได้" ท่านพูดให้กำลังใจ
"เอาเถอะ เอ็งไปพักที่สำนักชีก่อน เย็นๆให้เขาพามาขึ้นกรรมฐาน ต้องมารักษาอยู่ที่วัดนี้นะ ไม่ต้องอยู่บ้าน ให้ชีเขาช่วยดูแล ถ้าไปอยู่บ้านคนเดียวเดี๋ยวจะฟุังซ่านอีก ดีไม่ดีจะกลายเป็นคนวิกลจริตไป"
"มาเช้าเย็นกลับไม่ได้หรือจ๊ะหลวงพ่อ ฉันห่วงบ้าน" หล่อนต่อรอง
"ไม่ต้องไปห่วงของนอกกาย ห่วงตัวเองก่อน ทิ้งไว้นั่นแหละ ใครเขาอยากได้อะไรก็ให้เขาไป นึกว่าใช้หนี้ แต่ขอให้เชื่ออย่างนึง ถ้าเอ็งไม่เคยไปลักขโมยของใครเขามา รับรองว่าไม่มีใครจะมาลักขโมยของๆเอ็ง"
"งั้นฉันขอกลับไปเอาเสื้อผ้าแล้วเก็บเข้าของเข้าในเรือนก่อนได้ไหมจ๊ะ" "ตามใจเอ็งก็แล้วกัน จะไปก็ไป"
หล่อนก้มลงกราบท่านพระครู จากนั้นจึงเดินมุ่งหน้าไปยังท่าน้ำ ครั้นห่างกุฏิออกมาความปวดกลับทวีความรุนแรงขึ้น จึงเดินย้อนกลับมาที่กุฏิ
"โอย หลวงพ่อจ๊ะ ปวดเหลือเกิน เมื่อกี้รู้สึกว่าค่อยยังชั่ว พอลุกออกไปกลับปวดเหมือนเดิมอีก หลวงพ่อช่วยฉันด้วย" หล่อนอ้อนวอน
"นั่นแหละเอ็งกำลังใช้กรรมละ เวลาปฏิบัติกรรมฐานจะยิ่งปวดมากกว่านี้อีก หน้าที่ของเอ็งคือต้องทนให้ได้" "โอย แค่นี้ก็จะแย่อยู่แล้ว ถ้าปวดมากกว่านี้ฉันขอตายดีกว่า" "ตามใจ จะเอายังงั้นก็ตามใจ แต่ข้าบอกเสียก่อนว่า ถึงเอ็งจะตายก็ใช่ว่าเอ็งจะพ้นทุกข์ แต่จะกลับทุกข์หนักกว่าตอนเป็นๆด้วยซ้ำ" "จะทุกข์ยังไงล่ะหลวงพ่อ ตายแล้วก็หมดเวรหมดกรรมกันไป" หล่อนพูดด้วยมิจฉาทิฐิ
"ถ้าเป็นอย่างที่เอ็งว่าก็ดีน่ะสิ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะคนเราไม่ได้เกิดหนเดียวตายหนเดียว อย่างที่พวกวัตถุนิยมเขาเชื่อกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ยายสะอิ้งเขาคงไม่มาสร้างกุฏิกรรมฐานให้วัดนี้ เอ็งเห็นรือเปล่า กุฏิกรรมฐานที่อยู่หน้าโบสถ์นั่นน่ะ ยายสะอิ้งเขามาสร้างเป็นหลังแรกด้วยเงินหนึ่งชั่ง ยมบาลเขาบอกแกว่าถ้าไม่อยากมาเกิดในนรกอีก ก็ให้กลับมาสร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดหนึ่งหลัง ให้สร้างด้วยเงินหนึ่งชั่ง มากน้อยกว่านั้นไม่ได้ แล้วแกก็มาสร้าง หมดเงินไปแปดสิบบาทพอดี"
อาจารย์ชิตกำลังนั่งสมาธิอยู่ พอได้ยินก็รีบลืมตาขึ้นมาด้วยความอยากรู้เรื่อง
"สร้างนานหรือยังครับ" เขาถาม
"ก็เจ็ดสิบปีเข้านี่แล้ว แกมาเมื่อปี 2500 โยมเชื่อไหม แกบอกว่ายมทูตเขาสั่งมาว่าให้สร้างกุฏิกรรมฐานหนึ่งหลังด้วยเงินหนึ่งชัง และให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งวัน อาตมาก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร พอดีตอนที่แกมาเล่า ช่างไม้เขาก็ยังอยู่ เพราะกำลังสร้างโบสถ์หลังเก่า แล้วก็มีเรือนไม้หลังนึงที่ชาวบ้านเขารื้อมาถวายวัด พอชาวบ้านรู้เรื่องที่ยายสะอิ้งเล่า ก็เลยพากันมาช่วยสร้างคนละมือละไม้ ก็เลยเสร็จก่อนพระอาทิตย์ตก แล้วก็หมดเงินไปหนึ่งชั่งพอดิบพอดี เป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก อาตมาเคยเล่าให้ญาติโยมเขาฟังหลายครั้งแล้ว"
"กรุณาเล่าอีกสักครั้งได้ไหมครับ ผมอยากทราบว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร หากมีโอกาสจะได้นำไปเล่าให้ลูกหลานญาติมิตรฟัง เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจไมให้ทำความชั่ว"
"โยมอ้างเหตุผลมาน่าฟัง อาตมาเห็นจะต้องเล่าอีกครั้งแล้ว เอ็งล่ะอยากฟังหรือเปล่า" ท่านถามนางสาวส้มป่อย "อยากจ้ะ นิมนต์หลวงพ่อเล่าเถิดจ้ะ"
หล่อนรู้สึกว่าความเจ็บปวดทุเลาลงเมื่อได้นั่งอยู่ใกล้ท่านพระครู
"เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 2500 เล่าย่อๆนะ เรื่องมันยาว ถ้าเล่าละเอียด วันนี้ทั้งวันคงไม่จบ" ตกลงกัยผู้ฟังแล้วท่านก็เริ่มเล่าเรื่อง "วันนั้นเป็นวันพระ ญาติโยมก็มาทำบุญที่ศาลาการเปรียญ อาตมาก็มองไปเห็นลุงแก่ๆคนนึง มากับผู้หญิงสองคน คนนึงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับแก อีกคนเป็นสาวรุ่นๆ อาตมาก็คิดว่าตายายพาหลานสาวมาทำบุญ ลุงแก่ๆคนนั้นแนะนำตัวว่าเขาชื่อนายปุ่น ผู้หญิงสองคนที่มาด้วยเป็นเมียแก คนอายุ 72 ปีเป็นเมียคนที่สอง ส่วนเมียคนแรกอายุ 15 ปี ตัวแกอายุ 75"
พวกญาติโยมได้ยินก็พากันหัวเราะ นึกว่าแกเป็นโรคประสาท หรือไม่ก็แก่จนหลง อาตมาเองก็คิดอย่างนั้น แต่แกก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง ผู้หญิงคนที่เป็นเมียคนแรกตายไปแล้ว และกลับมาเกิดเป็นเด็กผู้หญิงอายุสิบห้าคนนี้ แล้วแกก็ให้เด็กคนนั้นเป็นคนเล่า แม่หนูนั่นก็เล่าว่าเมื่อชาติที่แล้วแกเป็นเมียตาปุ่น แล้วก็คลอดลูกตายที่โรงนา ไปตกนรกมาหลายปี ช่วงที่อยู่ในนรกนั้นตาปุ่นสามีของแได้บวชและเจริญกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศลไปให้ ยมบาลก็เลยให้กลับมารับใช้ตาปุ่น แล้วก็ให้สร้างกุฏิกรรมฐานถวายวัดหนึ่งหลังด้วยเงินหนึ่งชั่ง และใช้เวลาสร้างเพียงหนึ่งวัน แล้วให้ถือศีลแปดตลอดชีวิตด้วย"
"แกเล่าหรือเปล่าครับว่าทำไมไปตกนรก" อาจารย์ชิตถาม
"เล่าซิ แกเล่าว่าตอนมีชีวิตอยู่แกทำบาปไว้มาก ไปอยู่โรงนาก็ใช้ให้ลูกจ้างไปขโมยข้าวในลานของคนอื่น ขโมยทองของญาติตาปุ่นแล้วโยนความผิดไปให้หลานชาย ทำให้หลานชายถูกตีจนหัวแตก แกเป็นคนโหดร้ายใจอำมหิต ไม่เคยทำบุญทำทานเลย ไม่เคยสวดมนต์เลย โยโส ภะคะวา ก็ว่าไม่เป็น พอแกตายไปก็ไปตกนรกอยู่หลายปี เมื่อได้รับส่วนกุศลที่ตาปุ่นส่งให้ ก็เลยได้รับอนุญาตให้กลับมาแก้ตัว
แกเล่าว่าในเมืองนรกนั้นมีการสอนกรรมฐานทุกวันพระ สอนให้สวดมนต์ด้วย ตอนเป็นนางสะอิ้งแกสวดมนต์ไม่เป็นเลย แต่พอมาเกิดใหม่สวดได้หมด เพราะเคยสวดตอนอยู่เมืองนรก อาตมาลองให้สวด โอ้โฮ แกสวดได้แจ๋วไปเลย พวกญาติโยมก็พากันประหลาดใจ แกเล่าว่าในนรกมีการลงโทษต่างๆ นานา แต่จะหยุดลงโทษในวันโกนวันพระ เพื่อให้พวกสัตว์นรกได้ได้สวดมนต์และเจริญกรรมฐาน และที่สำคัญคือพระก็ไปตกนรกด้วย
อาตมาถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นพระ แม่หนูคนนี้ก็ตอบว่าคนที่เป็นพระจะมีผ้าเหลืองผูกอยู่ที่ข้อมือ โยมเห็นหรือยังว่าพระก็ไปตกนรกได้ นี่ไม่ได้ว่าพระนะ" ท่านออกตัว
"ผมว่าคนพวกนี้ไม่ได้เป็นพระหรอกครับ เป็นแค่พวกอาศัยผ้าเหลืองหากินมากกว่า" อาจารย์ชิตวิจารย์
"ถูกของโยม อาตมาเห็นด้วย เพราะคนที่เป็นพระจริงๆนั้นเขาจะไม่ไปตกนรก และที่อาตมาเชื่อเรื่องนี้ก็เพราะเคยรู้มาก่อนแล้วจากตาเหล็งฮ้วย รายนี้หนีจากนรกมาเข้ายายเภา เพื่อจะขอส่วนบุญจากหลานสาว"
"งั้นหลวงพ่อเล่าเรื่องตาเหล็งฮ้วยด้วยนะจ๊ะ" นางสาวส้มป่อยพูดขึ้น รู้สึกเพลิดเพลินเมื่อฟังท่านเล่า "เอาไว้วันหลัง ขืนเล่าหมดวันนี้เดียววันหลังไม่มีอะไรจะเล่า" "หลวงพ่อยังเล่าเรื่องยายสะอิ้งไม่จบเลยครับ" อาจารย์ชิตทวง
"อ้าว ยังไม่จบอีกหรือ งั้นก็จะเล่าต่อ คือที่อาตมาเชื่อว่ายายสะอิ้งแกพูดความจริง เพราะตรงกับที่นายเหล็งฮ้วยเล่าทุกอย่าง แล้วอาตมาก็ลองทดสอบด้วยการถามว่า นรกของศาสนาพุทธเหมือนกับนรของศาสนาอื่นหรือเปล่า เป็นคนละนรกหรือนรกเดียวกัน ยายสะอิ้งก็ตอบตรงกับนายเหล็งฮ้วยอีกว่าเป็นนรกเดียวกัน ไม่มีการแบ่งศาสนา ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร ถ้าทำชั่วก็จะไปตกนรกเดียวกันหมด อันนี้เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลมากทีเดียว หรือโยมเห็นว่ายังไง" ท่านถามอาจารย์ชิต
"ครับ ผมเห็นด้วยครับ" "นั่น ต้องยังงั้น ขืนไม่เห็นด้วยอาตมาจะได้เลิกเล่า" "ฉันก็เห็นด้วยจ้ะ" นางสาวส้มป่อยรีบบอก เพราะกลัวว่าท่านจะไม่เล่า
"อ้อ เอ็งก็เห็นด้วยหรือ" ท่านพูดยิ้มๆแล้วเล่าต่อไปว่า "แม่หนูที่กลับชาติมาเกิดก็เล่าให้อาตมาฟัง พวกญาติโยมก็พลอยได้ฟังไปด้วย อาตมาก็บอกญาติโยมว่าเรื่องที่แม่หนูเล่าต้องเป็นเรื่องจริง เพราะเหมือนกับที่นายเหล็งฮ้วยเคยเล่าให้อาตมาฟัง แล้วตาปุ่นสามีแกก็เล่าว่าตอนแรกแกก็ไม่เชื่อเรื่องมาเกิดใหม่ แต่นางสะอิ้งก็เล่าให้แกฟังทุกอย่างตั้งแต่แต่งงานกันมา ว่าสินสอดทองหมั้นกี่บาท มีลูกกี่คน มีลูกจ้างกี่คน ชื่ออะไรบ้าง ตาปุ่นก็ยังไม่ยอมเชื่อ คิดว่าแม่หนูนี่จะมาหลอกเอาสมบัติ เพราะแกรวยมาก
นางสะอิ้งหรือแม่หนูวัยสิบห้าก็เลยเล่าว่าก่อนตาย แกได้ฝังสาวสร้อยหนักเส้นละสิบบาทไว้ที่โรงนาสองเส้น จะพาไปขุด ตาปุ่นก็เลยพาลูกชายสองคนที่เกิดกับนางสะอิ้งไปขุด ขุดไปขุดมาปรากฏว่าพบทองจริงๆ ตาปุ่นก็เลยเชื่อ ลูกชายสองคนที่อายุเกือบห้าสิบแล้วก็เลยเชื่อ ว่าผู้หญิงอายุสิบห้านี่คือแม่ของตนที่กลับชาติมาเกิดจริง
นางสะอิ้งยังเล่าอีกว่ายมบาลให้มารับใช้ตาปุ่นห้าปี พออายุครบยี่สิบปีแล้วก็จะไป แต่ไม่ได้ไปตกนรกอีก จะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พวกชาวบ้านที่นั่งฟังอยู่ก็รับอาสาว่าจะร่วมช่วยสร้างกุฏิ วันนั้นอาตมาก็ให้ตาปุ่นและเมียทั้งสองคนนอนที่ศาลาการเปรียญ พอรุ่งเช้าชาวบ้านก็มาช่วยกันสร้างกุฏิกรรมฐาน ตกเย็นก็สร้างเสร็จพอดี หมดเงินไปแปดสิบบาทตามที่ยมบาลสั่งมา มันก็น่าแปลก
ทีนี้อาตมาก็เป็นคนชอบพิสูจน์ พอครบห้าปีอาตมาก็เดินทางไปที่บ้านตาปุ่น เดินทางลำบากาก เพราะสมัยนั้นการคมนาคมยังไม่สะดวกเหมือนตอนนี้ อาตมาต้องเดินเท้าหนี่งวันเต็มๆ จากตัวจังหวัดไปบ้านแก พอไปถึงแม่หนูก็เอาน้ำมาถวายแล้วก็ก้มลงกราบอาตมา ก้มแล้วก็ซุกอยู่ตรงนั้น ปรากฏว่าไปแล้ว ไปวันที่อาตมาไปพิสูจน์พอดี เมียใหม่ของตาปุ่นตอนนั้นก็อายุ 77 ปีแล้ว เล่าให้อาตมาฟังว่าพอสร้างกุฏิเสร็จแล้ว แม่หนูนั่นก็ตามมาอยู่กับตาปุ่น ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็ป่วยเป็นอัมพาต ลุกไปไหนมาไหนไม่ได้ แม่หนูก็คอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เข็ดอุจจาระปัสสาวะโดยไม่รังเกียจ ก็ปฎิบัติอยู่เช่นนี้ห้าปีเต็มดังที่รับปากยมบาลมา ตาปุ่นแกก็นอนพะงาบๆ พูดก็ไม่ได้ อาตมาถามว่าจำอาตมาได้ไหม แกก็พยักหน้า อาตมาก็ปลอบใจว่าไม่ต้องเสียใจนะ แม่สะอิ้งเขาไปดี แกก็เข้าใจและทำใจได้ เพราะเคยบวชและผ่านการปฏิบัติกรรมฐานมาแล้ว ตกลงยายสะอิ้งก็ตายก่อนตาปุ่นทั้งสองชาติ
"เอาละ..จบเรื่องนางสะอิ่งแล้ว ได้เวลาเพลพอดี โยมรับประทานข้าวเสียก่อน อาหารในสำรับนั่นแหละ ส่วนเอ็ง..สมป่อย เดินไปกินที่โรงครัวก็แล้วกัน"
"ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันกลับไปกินที่บ้านได้" หล่อนว่า "งั้นก็ตามใจเอ็ง"
นางสาวส้มป่อยจึงก้มลงกราบท่านพระครู ก่อนจะเดินออกไปก็โอดครวญว่า "ปวดอีกแล้ว พอรู้ว่าจะไป มันก็เริ่มปวดเลยเชียว ทำไมมันถึงต้องปวดด้วยเล่าจ๊ะหลวงพ่อ"
"ก็จะไม่ให้ปวดได้ยังไงล่ะ ที่ข้าเห็นน่ะนะ ข้าเห็นหนอนตัวใหญ่เท่านิ้วก้อย กำลังดูดกินเลือดกินหนองเอ็งอย่างเอร็ดอร่อยอยู่นั่น" ท่านเห็นด้วย 'เห็นหนอ'
"มันเข้าไปได้ยังไงล่ะจ๊ะ"
"ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เห็นตอนที่มันเข้า นี่แหละที่เขาเรียกว่าโรคเวรโรคกรรม บางคนก็ถูกหนอนกินตั้งแตั้งแต่ยังไม่ทันตาย บางคนพอตายปุ๊บหนอนก็กินปั๊บ ใครเป็นอย่างนี้ละก็ รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนบาป อันนี้ข้าวิจัยมาแล้ว ไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้า เอาเถอะ..เวลาปวดเอ็งก็ท่องไว้ในใจว่า 'ปวดหนอๆ' ก็แล้วกัน
"ท่องแล้วจะหายปวดหรือจ๊ะ"
"ไ่ม่หายหรอก แต่ถ้าท่องมากๆจนเพลิน ก็จะทำให้ลืมความปวดได้ชั่วครั้งชั่วคราว ก็ยังดีใช่ไหม นี่แหละเอ็งกำลังใช้กรรมละ ต้องอดทนมากๆ เข้าใจหรือยัง"
"เช้าใจแล้วจ้ะ งั้นฉันไปก่อนละ เดี๋ยวจะมาใหม่"
นางสาวส้มป่อยเดินท่อง 'ปวดหนอ ปวดหนอ' ไปตลอดทาง
ผู้ประพันธ์ : ดร.สุทัสสา อ่อนค้อม (หมวดหนังสือ)
Create Date : 23 มกราคม 2560 |
|
57 comments |
Last Update : 23 มกราคม 2560 12:19:22 น. |
Counter : 3771 Pageviews. |
|
|