รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
26 กันยายน 2554
 
All Blogs
 

คำถามเรื่องสภาวะในการปฏิบัติ

มีคำถามเข้ามาที่ผม ผมเห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่น ลองดูความเห็นของผมข้างล่างนี้ ผิดถูกอย่างไร ฝากไว้พิจารณา

*****
ผมเรียนถามว่า เราต้องมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดูรูปนาม ในมโนทวารใช่ไม่ครับ ของผมคือ ทุกข์บางตัวที่เรียนรู้ ไม่ว่าความกลัว ความโกรธ มันจะหดสั้นเข้าๆ บางทีมันก็ไม่เกิดเลย จิตตั้งอยู่เป็นธรรมดาได้มากขึ้น จิตอยากจะรู้อะไรก็เรื่องเขา บางครั้งรู้กับหลงใกล้เคียงกัน แต่ก็รู้อยู่ แต่กรณีตัณหาแรงๆ มันก็ทุกข์ในมโนทวารทันที หากยุ่งก็ทุกข์หนัก หากดูเฉยๆมันจะจางหายไปอย่างเบาๆนุ่มนวล อยากเรียนถามว่า หากเรามีจิตตั้งมั่นได้นานๆ ภพชาติจนถึงทุกข์ก็ไม่มี คือการไม่เกิดของรูปของนามใช่หรือเปล่าครับ อันนี้คือทางเดินที่ถูกต้องน่ะครับ เพระว่าผมเรียนรู้กับทุกข์ได้อย่างดีทีเดียว แล้วมันจะเริ่มเขย็ดขยาดที่จะทำให้ตัวมันทุกข์ แส่อีกโดนอีก เราศึกษาอย่างนี้ไปเรื่อยๆใช่ไม่ครับ ขอบคุณครับ
อีกอย่าง ที่เห็นเป็นดวงๆ ใช่สิ่งที่ผมเห็นหรือเปล่า คือเมื่อก่อนเป็นมาก แต่เดี๋ยวนี้นานๆครั้ง มันจะลอยออกจากหน้า แล้วเหมือนสเก็ดไฟ ดับไปเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้สนใจมันมาก
อีกเรื่องหนึ่ง ผมก็ทำตามที่ท่านสอน/แนะนำ มาเสมอ วันหนึ่งระลึกกาย ระลึกถึงความปรกติในมโนทวาร(เห็นพร้อมๆกัน) จู่ๆก็วูบ ตัวจิตพุ่งขึ้นไป เห็นแต่ไม่ใช่โลกแน่ไวมาก พยามระลึกหากายแต่ไม่มีกายให้ระลึก ก็เลยระลึกเข้ามาตัวที่มันพุ่งเหาะนั้นแหล่ะ สัักแป๊ปหนึ่งก็กลับเข้าสู่กายปรกติ แปลกมาก แต่ก็พยายามให้มันผ่านไป รู้แล้วละเลย แต่ก็เขียนมาถามเผื่อไว้เป็นความรู้ครับ

******
สิ่งที่คุณเล่ามานั้น ถูกต้องถูกทางแล้วครับ มาดูคำถามที่คุณถามมา

1..เราต้องมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดูรูปนาม ในมโนทวารใช่ไม่ครับ

>>> ใช่ครับ แต่การดูตรงนี้ มันต้องมีเทคนิคนิดหน่อยครับ คือ อย่าไปจ้องมันแรง ๆ เพียงมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ถูกต้อง แล้วมันจะเกิดคล้ายๆ กับว่ามีอะไรอย่างหนึ่งไปเฝ้ารู้มันเองที่มโนทวาร ซึ่งอาการนี้มันจะเกิดเอง แต่บางทีเราก็รู้สึกถึงมันไม่ได้ก็มี บางครั้งก็รู้สึกถึงได้ก็มี แต่อย่าไปเครียดว่าต้องมีนะครับ

ถ้าไปจ้องมันแรง ๆ มันจะนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเป็นสมถะไป ไม่เกิดปัญญา

2..ทุกข์บางตัวที่เรียนรู้ ไม่ว่าความกลัว ความโกรธ มันจะหดสั้นเข้าๆ บางทีมันก็ไม่เกิดเลย จิตตั้งอยู่เป็นธรรมดาได้มากขึ้น จิตอยากจะรู้อะไรก็เรื่องเขา บางครั้งรู้กับหลงใกล้เคียงกัน แต่ก็รู้อยู่

>>> ถูกต้องแล้วครับ

3..แต่กรณีตัณหาแรงๆ มันก็ทุกข์ในมโนทวารทันที หากยุ่งก็ทุกข์หนัก หากดูเฉยๆมันจะจางหายไปอย่างเบาๆนุ่มนวล

>>> ถูกต้องแล้วครับ การหายไปเร็วหรือช้าของทุกข์ในมโนทวารนั้น อยู่ที่ 2 สาเหตุครับ คือ 3.1) ยังมีแหล่ง (source) ที่เข้ามาทำให้ทุกข์นั้นเกิดอยู่หรือไม่ 3.2) พลังของสัมมาสมาธิว่าแรงตั้งมั่นมากหรือไม่

ถ้าข้อ 3.1) ยังมี source อยู่ ทุกข์มันก็ยังอยู่ แต่ถ้าไม่ไปยึดติดกับทุกข์ เพราะ 3.2) ด้วยกำลังสัมมาสมาธิที่ยังตั้งมั่นอยู่ ก็ใช้ได้ครับ คือ ทุกข์มีแต่เราไม่ทุกข์กะมันด้วย เพราะจิตไม่ไปยึดมันนั่นเอง

นักภาวนาบางคนไม่เข้าใจ พยายามจะทำให้ทุกข์หายทันที โดยไม่ดูเหตุในข้อ 3.1) และ 3.2) เลย ผลก็คือ จะพยายามไปทำอะไรให้ทุกข์มันหายไปโดยเร็ว อย่างนี้ก็เป็นสมถะไป ถ้าได้ผล

แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้ผล ก็คิดว่า ตัวเองปฏิบัติผิดทางแล้ว แล้วก็พยายามไปทำอะไรพิเศษเพิ่มเติม อย่างนี้ก็หลงทางในการปฏิบัติไปอย่างน่าเสียดายเหลือเกิน

4..อยากเรียนถามว่า หากเรามีจิตตั้งมั่นได้นานๆ ภพชาติจนถึงทุกข์ก็ไม่มี คือการไม่เกิดของรูปของนามใช่หรือเปล่าครับ

>>> เรื่องนี้ ที่ถามมาในข้อ 4 นั้น ถ้าตอบเพียงว่า ใช่ ก็ได้ แต่คุณจะไม่เข้า ผมอธิบายกลไกของจิตให้คุณเข้าใจมากสักหน่อย เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ

ในการปฏิบัตินั้่น เราจะฝึก สัมมาสติ สัมมาสมาธิให้จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นมันจะเกิดสัมมาญาณขึ้น เจ้าสัมมาญาณนี้มันจะเห็นสภาวะ 2 อย่างครับ คือ สภาวะแห่งการว่างเปล่ามีแต่.รู้ของจิต. และ สภาวะ.พลังงานของจิต.

เมื่อนักภาวนาเกิดสัมมาญาณเห็นความว่างเปล่าของจิต จะทำให้เข้าใจความไม่มีตัวตนของจิตว่าที่แท้จริงคือไม่มีตัวตนเป็นอนัตตา แต่เนื่องจากคนยังไม่ตายไป คนยังมีการติดต่อกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกอยู่ มีเรื่องโน่นเรื่องนี้ต้องคิดต้องทำ นี่คือพลังงานภายนอกที่ส่งเข้ามา แล้วจิตไปจับพลังงานนี้เข้าได้ พลังงานภายนอกนี้คือสิ่งเร้าต่อจิต ทำให้จิตเกิดพลังงานขับเคลื่อนจะพุ่งเข้าไปยึดในพลังงานสิ่งเร้าที่เข้ามานั้น สำหรับคนธรรมดา หรือ คนทีสัมมาสติอ่อน (ซึ่งผลของสัมมาสติอ่อนก็คือ พลังตัณหาจะแรงกล้า) พลังงานจิตก็จะเข้าจับยึดทันทีกับพลังงานสิ่งเร้าเพราะอำนาจของตัณหาทีแรงกล้า สิ่งทีตามมาคือการยึดติดในทุกข์ แล้วก็หลงไปเป็นทุกข์เพราะการยึดติดนั้นทันที

แต่สำหรับนักภาวนาทีมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นมาก สัมมาญาณที่เห็นจิตว่างเปล่า จะเห็นมีพลังงานอ่อน ๆ ปรากฏขึ้น พลังงานนี้จะคล้ายๆ กับหมอกบางๆ ในยามเช้า ทีบางมากแทบมองไม่เห็น แต่ก็เห็นได้ พลังงานหมอกนี้จะทำให้นักภาวนารู้ได้ว่า จิตกำลังจะปรุงแล้วนะ แล้วนักภาวนาจะเห็นพลังงานของจิตก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นเท่านั้น ก็จะเกิดปรากฏการณ์.ตัด.หรือ.ทำลาย. พลังงานจิตที่จะก่อตัวขึ้นนั้น แล้วพลังงานจิตที่กำลังก่อตัวนี้จะสลายไปกลายเป็นความว่างเปล่าเช่นเดิน นี่คือการตัดกิเลสด้วยปัญญา อันเป็น ปัญญา ในพุทธศาสนา
( ตามความเข้าใจของผม เมื่อเทียบกับตำรา อาการนี้น่าจะเป็น.อาสวักขยญาณ. แต่ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้ในชื่อเรียกนี้ก็ได้นะครับ )

ถ้าพลังงานจิตที่ก่อตัวขึ้นไม่ถูกตัดหรือทำลายทิ้่งไป เช่นในคนทั่ว ๆ ไป พลังงานนี้จะปรากฏขึ้นในมโนทวารต่อไป เป็นรูปนามหรือจะเรียกว่าเป็นการสร้างภพสร้างชาติก็ได้เช่นกัน



5.. ที่เห็นเป็นดวงๆ ใช่สิ่งที่ผมเห็นหรือเปล่า คือเมื่อก่อนเป็นมาก แต่เดี๋ยวนี้นานๆครั้ง มันจะลอยออกจากหน้า แล้วเหมือนสเก็ดไฟ ดับไปเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้สนใจมันมาก

>> อาการนี้ผมก็เคยเห็นครับ แต่เป็นอะไร ผมไม่ทราบนะครับ แต่เห็นได้ก็ดีแล้ว อย่าไปตามมันไปนะครับ เพียงรู้แล้วปล่อยผ่านไปก็พอ มันจะมี หรือ ไม่มี ก็ไม่ต้องไปสนใจมันด้วยครับ

6..อีกเรื่องหนึ่ง ผมก็ทำตามที่ท่านสอน/แนะนำ มาเสมอ วันหนึ่งระลึกกาย ระลึกถึงความปรกติในมโนทวาร(เห็นพร้อมๆกัน) จู่ๆก็วูบ ตัวจิตพุ่งขึ้นไป เห็นแต่ไม่ใช่โลกแน่ไวมาก พยามระลึกหากายแต่ไม่มีกายให้ระลึก ก็เลยระลึกเข้ามาตัวที่มันพุ่งเหาะนั้นแหล่ะ สัักแป๊ปหนึ่งก็กลับเข้าสู่กายปรกติ แปลกมาก แต่ก็พยายามให้มันผ่านไป รู้แล้วละเลย แต่ก็เขียนมาถามเผื่อไว้เป็นความรู้ครับ

>>> อาการนี้ผมก็เคยเห็นเช่นกัน ก็เพียงรู้แล้วปล่อยผ่าน อย่าตามไปนะครับ ถ้าเกิดอาการนี้ขึ้น ถ้ามันหยุดได้เอง ก็ดีไป แต่ถ้ารู้สึกว่า จะตามไป หยุดไม่ไหว ให้หายใจเข้าแรง ๆ หลายๆ ครั้ง มันจะหยุดไปเอง ในการภาวนานั้น อาการทางจิตมีหลากหลายสารพัด แต่ในการปฏิบัติมีอย่างเดียวกันทั้งหมด คือ รู้แล้วอย่าตามไป ถ้ามันหยุดเองได้ ก็ดีครับ ถ้าหยุดไม่ได้ ให้หายใจเข้าแรง ๆ สักพัก ก็จะหยุดได้เอง





 

Create Date : 26 กันยายน 2554
5 comments
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:40:08 น.
Counter : 1281 Pageviews.

 

อาจารย์คะ พลังงานของจิตที่เกิดบางๆ แล้วเราัตัดทันนี่เราจะไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไรใช่หรือเปล่าคะ แล้วถ้าเราเห็นภาพ มีเสียงนี่คือเข้าไปในมโนทวารแล้วใช่ป่ะคะ

หัวข้อนี่ลึกซึ้งมากเลยคะอาจารย์ อนุโมนทนาสาธุคะ

 

โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.243.198 26 กันยายน 2554 13:55:59 น.  

 

พลังงานของจิตที่เกิดบางๆ แล้วเราัตัดทันนี่เราจะไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไรใช่หรือเปล่าคะ

>> ไม่ใช่ครับ ที่เกิดบาง ๆ นี่คือ จิตไปสร้างพื้นที่เตรียมไว้เพื่อให้จิตปรุงแต่งมันเกิดครับ ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจ ก็เช่นว่า สมมุติว่า เราจะสร้างบ้านสักหลัง เราต้องเตรียมเกลี่ยพื้นที่ให้ว่างก่อน จึงจะสร้างบ้านได้ เจ้าสิ่งบาง ๆ นี้คือ พื้นที่อย่างนั้น ทีนี้ พอเกิดจิตปรุงแต่ง มันจะเกิดในเจ้าสิ่งบาง ๆ นี้ เปรียบเหมือนกัน บ้านที่ไปสร้างบนพื้นที่ว่างที่ได้เตรียมไว้

ถ้าไม่เตรียมพื้นที่สร้างไว้ บ้านก็สร้างไม่ได้ จิตปรุงแต่งก็เกิดไม่ได้เช่นกัน

การที่จิตกำลังจะสร้างจิตปรุงแต่ง แต่มันถูก ทำลาย ทิ้งเสียก่อน นี่คือ การที่ยังไม่รู้ว่า จิตปรุงแต่งนี่คืออะไร ซึ่งเปรียบเหมือน การก่อสร้าง พอสร้างไปนิดหน่อย เราไปเห็นเขาลงมือสร้างบ้างแล้วไม่มาก เขาก็ทุึบสิ่งทีสร้างทิ้งไป เราเลยไม่รู้ว่า สิ่งที่จะสร้างนี้คือเขาจะสร้างบ้าน หรือ จะสร้างโกดังเก็บของ หรือ จะสร้างเจดีย์ หรือ สร้างอะไรกัน

**************

แล้วถ้าเราเห็นภาพ มีเสียงนี่คือเข้าไปในมโนทวารแล้วใช่ป่ะคะ

`>> `มโนทวารเป็นทางผ่านที่ทุกอายตนะต่าง ๆ ทำงานแล้วผ่านเข้ามา ตาเมื่อสัมผัสกับแสงภายนอก ก็จะผ่านเข้าทางมโนทวาร เสียงก็เช่นกัน แต่ในการปฏิบัตินั้น ถ้าจิตไปรู้อยู่ห่างๆ ในสิ่งที่อยู่ใน มโนทวาร (คือการไม่ยึดติดสิ่งต่าง ๆ ในมโนทวาร นี่คือจิตไม่ไหลออกจากฐานของจิต)

คนปรกติ พอเห็นภาพ จิตจะไหลออกจากฐานวิ่งไปจับยึดยังภาพทันที เช่น เมื่อเราดูทีวีอยู่ ตามองภาพบนจอทีวี จิตจะไหลออกไปยังหน้าจอทีวี อย่างนี้เป็นจิตไหลออก ไม่ใช่การรับรับรู้ในมโนทวาร

การรับรู้ในมโนทวารแบบไม่ยึดติดนั้น พอเรามองเห็นภาพ เราจะมองแบบ ลืมตาขึ้นเท่านั้น ไม่ได้จ้องมองภาพ แต่เมื่อเราลืมตา เราก็จะเห็นภาพ และภาพที่เห็น มักจะมัว ๆ นิดหน่อย และเห็นภาพเป็นมุมกว้าง ๆ
แต่ถ้าเราจ้องมองสิ่งใด จิตไหลออกไปทางจักขุทวาร ภาพที่เห็นจะคมชัดและเป็นมุมแคบ

คุณลองของจริงก็ได้ตอนนี้ พอคุณอ่านเรื่องนี้ ก็สังเกตภาพที่เห็นดูครับว่า มันจะแคบ มันจะคม นี่เป็นการจ้อง แต่ถ้าเราเพียงลืมตาขึ้น ไม่ได้จ้องมองสิ่งใด ภาพจะเป็นมุมกว้างและจะมัว ๆ ไม่ชัดเหมือนการจ้อง

ถ้าลองดู ก็จะเห็นได้และเข้าใจได้ ถ้าเพียงอ่านไม่ทดลอง ก็จะมองไม่ออก

เย็นนี้ เวลาแปรงฟันอยู่ ขอให้สังเกตดูก็ได้ครับ เพราะเวลาที่แปรงพันแล้วไม่คิดอะไรในสมอง ตอนนั้น จิตจะเป็นธรรมชาติมาก ขอให้สังเกตภาพที่ตาเห็นในตอนแปรงฟันนั้นดู ภาพจะมัว ๆ ไม่ชัดเจน นั่นแหละครับ สภาวะแบบนั้นแหละครับ ถ้าใครดำรงคํรักษาได้ตลอด ไม่ช้าก็เห็นธรรมรู้แจ้งในธรรมได้เลย

 

โดย: นมสิการ 26 กันยายน 2554 14:36:09 น.  

 

ผมได้รับความกระจ่างขึ้นแล้ว กราบขอบพระคุณครับ จางๆอะไรนั่นผมคิดว่าไม่เคยเห็น แต่ผมอาศัยความรู้สึกเอาเอง บางครั้งมันจะวนๆรอบศรีษะเรา เป็นอาทิตย์ ระลึกอย่างไรก็ไม่หาย รู้สึกไม่สดชื่นทั้งกายทั้งใจ ก็เรื่องของมันตามที่ท่านแนะ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีแล้ว เช้าๆตื่นนอนผมจะเล่นกับความง่วง ระลึกตรงๆมันแปลกดีครับ ที่ผมฝึกมันสนุกดี เหมือนฝ้าติดกระจกรถ แล้วเราใช้ที่ปัดน้ำฝนปัดออกๆ ก็สดชื่นได้ แต่กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้น่ะครับ ผมทำผิดมามากมาย ทั้งปวดหัว อึดอัดใจ แต่ผมมีเพียงอย่างเดียว ก้าวเข้ามาแล้วผมไม่ถอยครับ เหมือนว่ายน้ำออกแรงมากเหนื่อยครับ มาได้คุณนมสิการ ผมมีกำลังใจสดชื่น ว่ายแบบฟรีสไตล์ ไปเรื่อยๆ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แต่ผมรับรองครับ ไม่ตีกรรเชียงถอยหลังแน่ นับวันจะหาคนที่ปฎิบัติจริงแล้วมาอธิบายได้ลึกซึ้ง หรือตรงๆได้น้อยครับ เพื่อนๆคนอื่น ผมว่า ทาง ทาง ที่ต้องเดิน หรือลู่ว่ายน้ำ ที่ตรงๆ สุดท้ายต้องมาตรงนี้ ไม่ว่าอุบาย 108 พันเก้า ก็ช่าง กล้าหรือเปล่าที่จะทิ้งอุบาย มาเรียนรู้กันสดๆ ตรงนี้(ตามคำแนะนำของคุณนมสิการ) ขอให้เจริญในธรรมครับ ขอบพระคุณครับ

 

โดย: ทางเดียวกัน IP: 118.172.53.158 26 กันยายน 2554 20:32:39 น.  

 

อ้อ อย่างนี้เอง ขอบพระคุณคะอาจารย์ แต่ไม่บ่อยอ่ะคะที่ดิชั้นจะรู้สึกเจ้าตัวพื้นที่อันนี้ก่อน

 

โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.243.198 26 กันยายน 2554 22:04:50 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 27 มกราคม 2555 9:40:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.