คำถามเรื่องสภาวะในการปฏิบัติ
มีคำถามเข้ามาที่ผม ผมเห็นว่า น่าจะเป็นประโยชน์กับท่านอื่น ลองดูความเห็นของผมข้างล่างนี้ ผิดถูกอย่างไร ฝากไว้พิจารณา
***** ผมเรียนถามว่า เราต้องมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดูรูปนาม ในมโนทวารใช่ไม่ครับ ของผมคือ ทุกข์บางตัวที่เรียนรู้ ไม่ว่าความกลัว ความโกรธ มันจะหดสั้นเข้าๆ บางทีมันก็ไม่เกิดเลย จิตตั้งอยู่เป็นธรรมดาได้มากขึ้น จิตอยากจะรู้อะไรก็เรื่องเขา บางครั้งรู้กับหลงใกล้เคียงกัน แต่ก็รู้อยู่ แต่กรณีตัณหาแรงๆ มันก็ทุกข์ในมโนทวารทันที หากยุ่งก็ทุกข์หนัก หากดูเฉยๆมันจะจางหายไปอย่างเบาๆนุ่มนวล อยากเรียนถามว่า หากเรามีจิตตั้งมั่นได้นานๆ ภพชาติจนถึงทุกข์ก็ไม่มี คือการไม่เกิดของรูปของนามใช่หรือเปล่าครับ อันนี้คือทางเดินที่ถูกต้องน่ะครับ เพระว่าผมเรียนรู้กับทุกข์ได้อย่างดีทีเดียว แล้วมันจะเริ่มเขย็ดขยาดที่จะทำให้ตัวมันทุกข์ แส่อีกโดนอีก เราศึกษาอย่างนี้ไปเรื่อยๆใช่ไม่ครับ ขอบคุณครับ อีกอย่าง ที่เห็นเป็นดวงๆ ใช่สิ่งที่ผมเห็นหรือเปล่า คือเมื่อก่อนเป็นมาก แต่เดี๋ยวนี้นานๆครั้ง มันจะลอยออกจากหน้า แล้วเหมือนสเก็ดไฟ ดับไปเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้สนใจมันมาก อีกเรื่องหนึ่ง ผมก็ทำตามที่ท่านสอน/แนะนำ มาเสมอ วันหนึ่งระลึกกาย ระลึกถึงความปรกติในมโนทวาร(เห็นพร้อมๆกัน) จู่ๆก็วูบ ตัวจิตพุ่งขึ้นไป เห็นแต่ไม่ใช่โลกแน่ไวมาก พยามระลึกหากายแต่ไม่มีกายให้ระลึก ก็เลยระลึกเข้ามาตัวที่มันพุ่งเหาะนั้นแหล่ะ สัักแป๊ปหนึ่งก็กลับเข้าสู่กายปรกติ แปลกมาก แต่ก็พยายามให้มันผ่านไป รู้แล้วละเลย แต่ก็เขียนมาถามเผื่อไว้เป็นความรู้ครับ
****** สิ่งที่คุณเล่ามานั้น ถูกต้องถูกทางแล้วครับ มาดูคำถามที่คุณถามมา
1..เราต้องมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ดูรูปนาม ในมโนทวารใช่ไม่ครับ
>>> ใช่ครับ แต่การดูตรงนี้ มันต้องมีเทคนิคนิดหน่อยครับ คือ อย่าไปจ้องมันแรง ๆ เพียงมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ถูกต้อง แล้วมันจะเกิดคล้ายๆ กับว่ามีอะไรอย่างหนึ่งไปเฝ้ารู้มันเองที่มโนทวาร ซึ่งอาการนี้มันจะเกิดเอง แต่บางทีเราก็รู้สึกถึงมันไม่ได้ก็มี บางครั้งก็รู้สึกถึงได้ก็มี แต่อย่าไปเครียดว่าต้องมีนะครับ
ถ้าไปจ้องมันแรง ๆ มันจะนิ่ง ๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะเป็นสมถะไป ไม่เกิดปัญญา
2..ทุกข์บางตัวที่เรียนรู้ ไม่ว่าความกลัว ความโกรธ มันจะหดสั้นเข้าๆ บางทีมันก็ไม่เกิดเลย จิตตั้งอยู่เป็นธรรมดาได้มากขึ้น จิตอยากจะรู้อะไรก็เรื่องเขา บางครั้งรู้กับหลงใกล้เคียงกัน แต่ก็รู้อยู่
>>> ถูกต้องแล้วครับ
3..แต่กรณีตัณหาแรงๆ มันก็ทุกข์ในมโนทวารทันที หากยุ่งก็ทุกข์หนัก หากดูเฉยๆมันจะจางหายไปอย่างเบาๆนุ่มนวล
>>> ถูกต้องแล้วครับ การหายไปเร็วหรือช้าของทุกข์ในมโนทวารนั้น อยู่ที่ 2 สาเหตุครับ คือ 3.1) ยังมีแหล่ง (source) ที่เข้ามาทำให้ทุกข์นั้นเกิดอยู่หรือไม่ 3.2) พลังของสัมมาสมาธิว่าแรงตั้งมั่นมากหรือไม่
ถ้าข้อ 3.1) ยังมี source อยู่ ทุกข์มันก็ยังอยู่ แต่ถ้าไม่ไปยึดติดกับทุกข์ เพราะ 3.2) ด้วยกำลังสัมมาสมาธิที่ยังตั้งมั่นอยู่ ก็ใช้ได้ครับ คือ ทุกข์มีแต่เราไม่ทุกข์กะมันด้วย เพราะจิตไม่ไปยึดมันนั่นเอง
นักภาวนาบางคนไม่เข้าใจ พยายามจะทำให้ทุกข์หายทันที โดยไม่ดูเหตุในข้อ 3.1) และ 3.2) เลย ผลก็คือ จะพยายามไปทำอะไรให้ทุกข์มันหายไปโดยเร็ว อย่างนี้ก็เป็นสมถะไป ถ้าได้ผล
แต่ถ้าทำแล้วไม่ได้ผล ก็คิดว่า ตัวเองปฏิบัติผิดทางแล้ว แล้วก็พยายามไปทำอะไรพิเศษเพิ่มเติม อย่างนี้ก็หลงทางในการปฏิบัติไปอย่างน่าเสียดายเหลือเกิน
4..อยากเรียนถามว่า หากเรามีจิตตั้งมั่นได้นานๆ ภพชาติจนถึงทุกข์ก็ไม่มี คือการไม่เกิดของรูปของนามใช่หรือเปล่าครับ
>>> เรื่องนี้ ที่ถามมาในข้อ 4 นั้น ถ้าตอบเพียงว่า ใช่ ก็ได้ แต่คุณจะไม่เข้า ผมอธิบายกลไกของจิตให้คุณเข้าใจมากสักหน่อย เรื่องเป็นอย่างนี้ครับ
ในการปฏิบัตินั้่น เราจะฝึก สัมมาสติ สัมมาสมาธิให้จิตตั้งมั่น พอจิตตั้งมั่นมันจะเกิดสัมมาญาณขึ้น เจ้าสัมมาญาณนี้มันจะเห็นสภาวะ 2 อย่างครับ คือ สภาวะแห่งการว่างเปล่ามีแต่.รู้ของจิต. และ สภาวะ.พลังงานของจิต.
เมื่อนักภาวนาเกิดสัมมาญาณเห็นความว่างเปล่าของจิต จะทำให้เข้าใจความไม่มีตัวตนของจิตว่าที่แท้จริงคือไม่มีตัวตนเป็นอนัตตา แต่เนื่องจากคนยังไม่ตายไป คนยังมีการติดต่อกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกอยู่ มีเรื่องโน่นเรื่องนี้ต้องคิดต้องทำ นี่คือพลังงานภายนอกที่ส่งเข้ามา แล้วจิตไปจับพลังงานนี้เข้าได้ พลังงานภายนอกนี้คือสิ่งเร้าต่อจิต ทำให้จิตเกิดพลังงานขับเคลื่อนจะพุ่งเข้าไปยึดในพลังงานสิ่งเร้าที่เข้ามานั้น สำหรับคนธรรมดา หรือ คนทีสัมมาสติอ่อน (ซึ่งผลของสัมมาสติอ่อนก็คือ พลังตัณหาจะแรงกล้า) พลังงานจิตก็จะเข้าจับยึดทันทีกับพลังงานสิ่งเร้าเพราะอำนาจของตัณหาทีแรงกล้า สิ่งทีตามมาคือการยึดติดในทุกข์ แล้วก็หลงไปเป็นทุกข์เพราะการยึดติดนั้นทันที
แต่สำหรับนักภาวนาทีมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นมาก สัมมาญาณที่เห็นจิตว่างเปล่า จะเห็นมีพลังงานอ่อน ๆ ปรากฏขึ้น พลังงานนี้จะคล้ายๆ กับหมอกบางๆ ในยามเช้า ทีบางมากแทบมองไม่เห็น แต่ก็เห็นได้ พลังงานหมอกนี้จะทำให้นักภาวนารู้ได้ว่า จิตกำลังจะปรุงแล้วนะ แล้วนักภาวนาจะเห็นพลังงานของจิตก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว พอเห็นเท่านั้น ก็จะเกิดปรากฏการณ์.ตัด.หรือ.ทำลาย. พลังงานจิตที่จะก่อตัวขึ้นนั้น แล้วพลังงานจิตที่กำลังก่อตัวนี้จะสลายไปกลายเป็นความว่างเปล่าเช่นเดิน นี่คือการตัดกิเลสด้วยปัญญา อันเป็น ปัญญา ในพุทธศาสนา ( ตามความเข้าใจของผม เมื่อเทียบกับตำรา อาการนี้น่าจะเป็น.อาสวักขยญาณ. แต่ผมอาจเข้าใจผิดก็ได้ในชื่อเรียกนี้ก็ได้นะครับ )
ถ้าพลังงานจิตที่ก่อตัวขึ้นไม่ถูกตัดหรือทำลายทิ้่งไป เช่นในคนทั่ว ๆ ไป พลังงานนี้จะปรากฏขึ้นในมโนทวารต่อไป เป็นรูปนามหรือจะเรียกว่าเป็นการสร้างภพสร้างชาติก็ได้เช่นกัน
5.. ที่เห็นเป็นดวงๆ ใช่สิ่งที่ผมเห็นหรือเปล่า คือเมื่อก่อนเป็นมาก แต่เดี๋ยวนี้นานๆครั้ง มันจะลอยออกจากหน้า แล้วเหมือนสเก็ดไฟ ดับไปเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ไม่ได้สนใจมันมาก
>> อาการนี้ผมก็เคยเห็นครับ แต่เป็นอะไร ผมไม่ทราบนะครับ แต่เห็นได้ก็ดีแล้ว อย่าไปตามมันไปนะครับ เพียงรู้แล้วปล่อยผ่านไปก็พอ มันจะมี หรือ ไม่มี ก็ไม่ต้องไปสนใจมันด้วยครับ
6..อีกเรื่องหนึ่ง ผมก็ทำตามที่ท่านสอน/แนะนำ มาเสมอ วันหนึ่งระลึกกาย ระลึกถึงความปรกติในมโนทวาร(เห็นพร้อมๆกัน) จู่ๆก็วูบ ตัวจิตพุ่งขึ้นไป เห็นแต่ไม่ใช่โลกแน่ไวมาก พยามระลึกหากายแต่ไม่มีกายให้ระลึก ก็เลยระลึกเข้ามาตัวที่มันพุ่งเหาะนั้นแหล่ะ สัักแป๊ปหนึ่งก็กลับเข้าสู่กายปรกติ แปลกมาก แต่ก็พยายามให้มันผ่านไป รู้แล้วละเลย แต่ก็เขียนมาถามเผื่อไว้เป็นความรู้ครับ
>>> อาการนี้ผมก็เคยเห็นเช่นกัน ก็เพียงรู้แล้วปล่อยผ่าน อย่าตามไปนะครับ ถ้าเกิดอาการนี้ขึ้น ถ้ามันหยุดได้เอง ก็ดีไป แต่ถ้ารู้สึกว่า จะตามไป หยุดไม่ไหว ให้หายใจเข้าแรง ๆ หลายๆ ครั้ง มันจะหยุดไปเอง ในการภาวนานั้น อาการทางจิตมีหลากหลายสารพัด แต่ในการปฏิบัติมีอย่างเดียวกันทั้งหมด คือ รู้แล้วอย่าตามไป ถ้ามันหยุดเองได้ ก็ดีครับ ถ้าหยุดไม่ได้ ให้หายใจเข้าแรง ๆ สักพัก ก็จะหยุดได้เอง
Create Date : 26 กันยายน 2554 |
|
5 comments |
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:40:08 น. |
Counter : 1281 Pageviews. |
|
|
|
หัวข้อนี่ลึกซึ้งมากเลยคะอาจารย์ อนุโมนทนาสาธุคะ