อย่างไรคือ เก็บกด อย่างไรคือ ปล่อยวาง
ท่านนักภาวนาที่สงสัยว่า สิ่งที่ตนกำลังภาวนาอยู่นั้น ได้ผลแล้วคือเกิดการปล่อยวางแล้ว ขอให้ลองอ่านบทความนี้ แล้วไตร่ตรองดูก่อนครับว่า ท่านกำลังเข้าใจได้ตรงดีแล้วหรือไม่
การทีใจสงบสุขจากสิ่งที่เข้ากระทบ อันเป็นผลจากการภาวนาน้้นจะมี 2 ลักษณะคือ 1..สงบสุขเพราะการเก็บกดเอาไว้ 2..สงบสุขเพราะการปล่อยวางของจิต
***********************
ผมจะขยายความให้ท่านพิจารณา
1..สงบสุขเพราะการเก็บกดเอาไว้ ลักษณะการเก็บกด ก็คือ พยายามกดมันไว้ ดันมันไว้ ไม่ให้มันโผล่หัวขึ้นมา เช่น ท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ สุนัขข้างบ้านเกิดเห่าหนวกหูท่าน ท่านก็รู้สึกไม่พอใจในเสียงนั้น แล้วท่านก็พยายามบริกรรมเร็ว ๆ เพื่อจะได้ไม่ให้ความรู้สึกไม่พอใจมันโผล่ขึ้นมา หรือ เพื่อจะไม่ให้ไปฟังเสียงสุนัขเห่า ขอให้ท่านดูลักษณะการเก็บกดไว้
..การเก็บกดมีการพยายามจะหนีมัน มีการพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อหนีมัน เพื่อไม่ให้มันปรากฏขึ้นมา จิตร้อนรุ่มกระสับกระส่าย
2..สงบสุขเพราะการปล่อยวาง อาการปล่อยวางของจิตนั้น จะมีลักษณะที่ว่า อาการที่มาจากการกระทบนั้นเกิดได้ ไม่มีความอยากให้อาการนั้นเกิดอยู่หรือไม่เกิด แต่อาการนั้นถ้ากำลังเกิดอยู่แล้ว ก็รู้ได้ว่า อาการมีอยู่ แต่ใจไม่ดิ้นรนกระสับกระส่ายไปกับอาการที่กำลังเกิดอยู่นั้นเลย เช่น ตัวอย่างข้างบน ท่านกำลังนั่งสมาธิแล้วสุนัขข้างบ้านเห่าเสียงดัง หนวกหู ท่านก็ได้ยินเสียงได้อยู่ แต่ใจไม่มีอะไร คงเฉยๆ อยู่ หูก็ได้ยินเสียงนั้นอยู่ ไม่มีความคิดใด ๆ เลยที่จะป้องกันเพื่อจะหยุดการได้ยินเสียงนั้น เสียงเกิดก็ช่างนั้น ท่านก็๋ได้ยินไป ทำกิจของท่านไปก็เท่านั้น
ลักษณะการปล่อยวางของจิต
..ไม่มีการกระทำใด ๆ เพื่อหลีกหนีจากมัน คงสัมผัสได้จากสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดอยู่ แต่จิตไม่ดิ้นรนกระสับกระส่ายไปตามมันเลย
ท่านเห็นความแตกต่างไหมครับ ระหว่างการเก็บกดและการปล่อยวางของจิต
ถ้าท่านมีคำถามว่า แล้วในการฝึกฝน ถ้าเกิดเหตุดังกล่าว ควรปล่อยวางหรือเก็บกด
ในความเห็นของผม ในการภาวนานั้น ท่านควรเริ่มจากการฝึกหัดปล่อยวางก่อน แต่ถ้าเมื่อได้หัดปล่อยวางแล้ว รู้สึกว่าสู้ไม่ไหวแน่ ถึงตอนนั้น ก็ขอให้เลิกภาวนาไว้ก่อนครับ โดยส่วนตัว ผมไม่เห็นด้วยกับการเก็บกด เพราะการเก็บกดไม่เกิดผลดีแต่จิตเลย ถ้าลองปล่อยวางแล้วไม่ไหว ผมเห็นว่า ก็เลิกฝึกไปก่อนดีกว่า พอใจสงบลงไปบ้าง ค่อยมาเริ่มใหม่ก็ได้ครับ
การปล่อยวางของจิตน้ัน ไม่ใช่จะได้กันง่าย ๆ ซึ่งการปล่อยวางในการภาวนาน้้นจะมี 2 ลักษณะ คือ ปล่อยวางด้วยสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น และ การปล่อยวางที่เป็นปัญญาญาณ
การฝึกฝนแบบหัดปล่อยวางไว้ก่อน นี่จะเป็นการเสริมการฝึกฝนเพื่อให้สัมมาสมาธิตั้งมั่น เมื่อนักภาวนาได้ฝึกฝนจนเกิดสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่นแล้ว ผลจึงจะเกิดขึ้นมาได้เองจากความตั้งมั่นนั้น
ส่วนการปล่อยวางด้วยปัญญาญาณนั้น เป็นการปล่อยวางอีกระดับในระดับที่สูงกว่าการปล่อยวางด้วยสัมมาสมาธิ แต่เป็นการปล่อยวางด้วยจิตที่มีปัญญาญาณ ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เร้าที่เข้ามาประทะด้วย แต่กว่าการปล่อยวางแบบนี้จะเกิดได้ นักภาวนาก็ต้องผ่านการปล่อยวางแบบสัมมาสมาธิมาก่อน
ส่วนการปล่อยวางที่ว่า เวลาผ่านไปนาน ๆ แล้วเกิดอาการไม่ยึดมั่น นี่เป็นเพราะท่านไม่ได้คิดถึงมันอีก หรือ ลืมมันไปแล้ว นี่ยังไม่ใช่การปล่อยวางทีแท้จริง เพียงแต่ท่านได้มีเรื่องอื่นเข้ามายุ่งด้วย ทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียต่างหาก การเกิดอาการอย่างนี้ เมื่อไรท่านนึกถึงมันอีกครั้ง ท่านก็จะเดือนปุด ๆ เพราะมันได้อย่างแน่นอนครับ
********* กิจกรรมครั้งที่ 3 กำหนดวันแล้ว เป็นวันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน 2554 ท่านที่จะเข้าร่วมกิจกรรม กรุณาลงชื่อได้ที่ห้องกิจกรรม ที่ Link นี้ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=09-2011&date=18&group=14&gblog=6
Create Date : 19 กันยายน 2554 |
|
6 comments |
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:43:21 น. |
Counter : 1448 Pageviews. |
|
|
|