รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
7 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
จิต และ จิตผู้รู้ คือ อย่างเดียวกันหรือไม่

บทความนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวที่ได้จากการปฏิบัติมา ฝากไว้พิจารณาครับ อย่าได้เชื่อจนกว่าท่านจะพบเห็นได้ด้วยตนเอง

คำว่า จิต เป็นคำกลาง ๆ เมื่อจิตทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ก็จะมีชื่อเรียกไปตามหน้าที่ของมันที่เปลี่ยนแปลงไป

1..จิต ที่ทำหน้าทีรู้สภาวะธรรมที่ตั้งมั่นอยู่ในฐานของจิต พระสายวัดป่าจะเรียกว่า จิตผู้รู้ ส่วนผมจะใช้คำว่า จิตรู้ เพราะตอนนี้ จิตทำหน้าที่เพียงแต่รู้สภาวะ ส่วนที่เรียกว่า จิตผู้รู้ เป็นเพราะว่า เมื่อจิตยังมีอวิชชาครอบงำอยู่ นักภาวนาจะพบได้เองว่า จะเหมือนว่า จิตคือตัวตนของตนเอง และ จิตผู้รู้นี้จะดูสิ่งต่างๆ ทีเป็นสภาวะธรรม ต่อเมื่อนักภาวนาได้หมดแล้วซึ่งอวิชชา ความรู้สึกว่า จิตที่เป็นตัวตนนี้จะสลายไป กลายสภาพเป็นเป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีตัวตน แต่ยังมีแต่สภาวะรู้ที่ปรากฏอยู่เท่านั้น

2..จิต ที่ทำหน้าที่โดยไปรับรู้ที่อายตนะต่างๆ จะเรียกว่า วิญญาณ เช่น วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทางจมูก และ วิญญาณอื่น ๆ ซึ่งมี 6 ชื่อด้วยกัน ตามอายตนะทั้ง 6

3..จิต ที่ทำหน้าที่เป็นแดนเกิดของสภาวะธรรมที่เหล่าอายตนะทั้งหลายมาประชุมทำงานเรียกว่า มโน ตัว มโน นี้เข้าใจยากสักหน่อย ตัว มโน เหมือนเงาสะท้อนของจิต เมื่อตอนที่ จิตรู้ ยังมีอวิชชา ครอบงำอยู่ มโน ก็จะเห็นเป็นก้อนความว่าง แต่เมื่อจิตไร้อวิชชา ก้อนความว่างของ มโน ก็จะสลายกลายเป็นความว่างเปล่าเหมือนจิตรู้ทีได้สลายเป็นความว่างไปเช่นกัน ซึ่งการสลายตัวเป็นความว่างแบบนี้ของ จิตรู้ และ มโน จะเหมือนกับเกิดการรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวที่มีแต่ความว่างเปล่า ซึ่งตำราจะเรียกว่า ความเป็นหนึ่ง
ผมจะเปรียบให้ท่านเห็นภาพ สมมุติว่า ท่านมีลูกโป่งใบหนึ่ง ในลูกโป่งอัดแก็สไว้อยู่ เมื่อมีลูกโป่งอยู่ แก๊สในลูกโป่ง กับ แก็สในอากาศเป็นคนละส่่วนกัน แต่เมื่อลูกโป่งแตกออก แก็สในลูกโป่ง ได้รวมเข้ากับแก็สต่าง ๆ ในอากาศเป็นเนื้อเดียวกันที่แยกกันไม่ออกเลยว่า ส่วนใดคือแก็สลูกโป่ง ส่วนใดคือแก็สในอากาศ นี่คือความเป็นหนึ่ง ที่ไม่มีสอง

ผมเคยสงสัยเหมือนกันว่า ในการเฝ้าดูจิต ให้ดูที มโน หรือ ดูจิตผู้รู้
ผมก็พบว่า คำว่า เฝ้าดู นี้จะทำให้เกิด จิตรู้ / มโน เป็นก้อนอยู่ เพราะนี่คือ อวิชชา
ที่ยังมีตัวตนที่เป็นผู้เฝ้าดูอยู่ แต่ในการปฏิบัตินั้น ถ้าสัมมมาสมาธิตั้งมั่น นักภาวนาอย่าไปเฝ้าดู จิตหรือดู มโน ต่อเมื่อสัมมาสมาธิตั้งมั่นแล้ว นักภาวนาจะเห็น ทั้ง จิตรู้ เห็นทั้ง มโน ได้เอง
แต่บางที จะเห็น มโน ได้ชัดกว่า จิตผู้รู้ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใดทั้งสิ้น จะเห็น มโน หรือ เห็น จิตผู้รู้ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ทั้ง 2 อย่างพร้อมกันก็ได้ ไม่ใช่ปัญญา เพียงแต่ว่า อย่ามีความอยากที่จะไปรู้ไปดูมันเท่านั้น แต่ให้เห็นเองเพราะมีความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ
( ขอให้ใช้กฏ 3 ข้อในการภาวนา )

มีคำสอนของพระอาจารย์ดัง เรื่องการทำลายจิตผู้รู้ จิตผู้รู้นี่ทำลายได้หมดเมื่อเข้าใจในอริยสัจจ์ 4 อย่างแท้จริง นักภาวนาเห็นกลไกการทำงานของ จิต/มโน/วิญญาณ ก็จะเข้าใจอริยสัจจ์ 4 เมื่อเข้าใจ อวิชชาก็หมดลงในจิตของนักภาวนาเอง อย่าไปคิดทำลาย แต่ให้ฝึกสัมมาสมาธิจนจิตตั้งมั่นแล้วเห็นกลไกการทำงานของจิต

4..ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นทางโลกให้เข้าใจ สมมุุติว่าในโรงละครที่มีเวทีแสดงละคร มโน เปรียบได้ดังเวทีของโรงละคร ที่เหล่าผู้เล่นละคร (ซึ่งก็คือ อายตนะต่าง ๆ ที่เป็นผู้เล่นละคร )จะมาเล่นบนเวทีนี้ ถ้าไม่มี มโน (หรือเวที) ผู้เล่นก็จะไม่สามารถเล่นละครได้ ผู้เล่นละคร คือ บรรดาอายตนะทั้ง 6 ที่จะปรากฏตัวบนเวที (มโน)

ส่วนผู้ดูละคร เปรียบเหมือน จิตผู้รู้/จิตรู้ ที่นั่งดูุการทำงานต่าง ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในบนเวที (มโน) แต่ถ้าผู้ดูวิ่งขึ้นไปบนเวทีเพื่อจะเล่นซะเอง ผู้ดูจะกลายเป็นผู้เล่นละครด้วยซึ่งตอนนี้จิตผู้รู้จะเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นวิญญาณ ซึงก็คืออาการที่จิตไหลออก จิตไม่ตั้งมั่น ถ้าจิตผู้รู้วิ่งไปเล่นตอนที่อายตนะทางตาอยู่บนเวที (มโน) ก็จะเรียกว่า วิญญาณทางตา
แล้ววิญญาณก็จะพุ่งไปที่อายตนะที่มันเข้าไปร่วมเล่นด้วย เช่น วิญญาณทางตา ก็จะพุ่งไปที่ตาแล้วพุ่งออกไปยังสิ่งที่เราต้องการจะดู เช่นดูทีวี วิญญาณทางตาก็จะพุ่งออกไปจับยึดที่จอทีวี

ในคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป จิตไม่ตั้งมั่นเลย ดังนั้น จิตจะไหลออกไปที่ มโน แล้วเป็นวิญญาณต่างๆ แล้วแต่ที่มันจะพุ่งไป เช่น พุ่งไปทางตา ก็เรียกวิญญาณทางตา เป็นต้น การที่วิญญาณพุ่งออกแบบนี้ นี่คือ การเกิดใหม่ ทำให้คนทั่วๆ ไป จิตมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวิญญาณตลอดเวลา ทำให้เกิดการวนเวียนเป็นวัฏฏะไม่รู้จบสิ้น

เมื่อมีจิต ก็จะมี มโน คือ แดนเกิด ถ้ายังมีตัณหา จิตก็จะวิ่งเข้าแดนเกิดคือวิญญาณ แดนเกิดคือภพชาติ เมื่อเกิดก็จะมีขันธ์ เมื่อมีขันธ์ ก็จะมีทุกข์เพราะขันธ์ เพราะจิตยังมีตัณหายึดติดอยู่ นี่คือ ปฏิจจสมุทปบาท

5..อริยบุคคล
เมื่อนักภาวนาได้ภาวนาจนจิตตั้งมั่นจนถึงระดับ พระอนาคามี ยังมีแดนเกิดอยู่คือ มโน อยูุ่
แต่ด้วยจิตที่ตั้งมั่น มีพลังมากกว่าตัณหา จิตรู้จะไม่วิ่งไปที่ มโน เพราะความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ ซึ่งก็คือว่า จิตรู้ ทิ้งเรือนเกิดซึ่งก็คือ มโน นั่นเอง ทำให้มีชื่อเรียกว่า อนาคามี คือ ผูุ้ที่ทิ้งเรือน คนที่ไม่เข้าใจก็จะเข้าใจว่า อนาคามี คือ ผู้ที่ทิ้งบ้านทิ้งช่องแล้วไปบวช จะเห็นว่า มันคนละเรื่องกันเลย เพราะ อนาคามี คือ สภาวะแห่งจิตที่ตั้งมั่น ไม่ไหลเข้าไปใน มโน อีกแล้ว

ส่วนพระอรหันต์ ทำไมถึงไม่เกิดอีก เพราะ ทั้ง จิต และ มโน สลายเป็นความว่างเปล่าไปแล้ว ไม่มีจิต ไม่มี มโน ก็ไม่มีอะไรไปเกิดอีก ไม่มีภพชาติอีกเพราะ สิ้นไปของ จิตและมโน

ส่วนพระโสดาบัน คือ นักภาวนาที่ตกกระแสพระนิพพาน ตกกระแสได้ คือ จิตรู้แยกตัวออกจาก มโน ได้แล้วแต่การแยกตัวยังไม่มั่นคงพอที่จะแยกตัวออกมาได้อย่างเด็ดขาด มีการแยกตัว มีการวิ่งเข้าไปใน มโน อยู่ การที่จิตแยกตัวออกจาก มโน นักภาวนาจะเห็นกลไกทำงานของขันธ์ 5 เป็นไตรลักษณ์ ทำให้เข้าใจได้เองว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา ซึงก็คือ สักกายทิฐฐิ เข้าใจได้ว่า ร่างกายไม่ใช่เรา เมื่อ จิตรู้แยกตัวออกมาได้เห็นขันธ์ 5 ก็หมดความสงสัยหรือวิจิกิจฉาในเรื่องขันธ์ 5 ร่างกายตัวตนของเรา เมื่อหมดความสงสัยในการภาวนาว่า การภาวนาตามมรรค8 คือ การมีศีล ที่เป็นความปรกติแห่งจิตใจ เพื่อให้เกิดความตั้งมั่นในสัมมาสมาธิ เข้าใจในพระรัตนตรัยว่าคืออะไร นี่คือความเป็นโสดาบัน

ดังนั้น ท่านที่ปรารถนาโสดาบัน นำสิ่งที่ผมเขียนไปพิจารณาเองเถิดว่า ท่านจะตกกระแสพระนิพพานได้อย่างไร คำสอนของพระพุทธองค์มีอยูุ่ เพียงแต่ว่า นักภาวนาเข้าใจหรือไม่ ตีความคำสอนไปด้วยทิฐฐิของตนเองหรือไม่ ไม่ใช้คำสอนที่เป็นแก่นในเรื่องของอริยสัจจ์ 4 ทีใช้กำลังแห่งมรรค อันมีความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิเป็นกำลังนำพาเพื่อเดินทางเข้าทางแห่งมรรคต่อไป

จิตผู้รู้ เห็น กลไกความเป็นไตรลักษณ์แห่งขันธ์ 5 .....พระโสดาบัน / พระสกิทาคามี
จิตผู้รู้ ตั้งมั่นมากกว่าแรงของตัณหา จิตไม่วิ่งเข้าหาแดนเกิด ....พระอนาคามี
ไม่มีจิตผู้รู้ ไม่มี มโน (จิตถูกทำลาย) ............พระอรหันต์

**********************

ถ้าเขียนไม่ชัด ปัญญาของคนไม่เท่ากัน ก็จะไม่เข้าใจวิธีการเดินทางแห่งมรรคอย่างถูกต้อง ยังหลงไปกับทิฐฐิแห่งตน
ถ้าเขียนชัดลงไป ก็จะกระเทือนซางใครต่อใคร ในเรื่องคำสอน กลายเป็นการผูกเวรกรรมต่อกันไป
นี่คือปัญหาของการภาวนาในสังคมไทย และ ความไม่ก้าวหน้าในการภาวนาในประเทศไทย


Create Date : 07 ธันวาคม 2554
Last Update : 7 ธันวาคม 2554 6:20:01 น. 5 comments
Counter : 3667 Pageviews.

 
ขอบพระคุณอาจารย์มากคะ

อ่านจบแล้วคะ

เดี๋ยวกลับมาอ่านใหม่อีกรอบคะ

ค่อยๆเก็บรายละเอียด


โดย: อาณาจักรสีเขียว วันที่: 7 ธันวาคม 2554 เวลา:8:39:03 น.  

 
แด่ ปรมัตถะปัญญา

ไม่มีร่างตัวตน--ไร้ขันธ์
ไม่มีผู้ดู --ไร้วิญญาณ
ไม่มีผู้รู้ --ไร้จิต

ทุกสรรพสิ่งคือสมมุติ
สมมุติยากฝ่าฝืน
น้อยในส่วนน้อยพ้นสมมุติ

สาธุ..สาธุ..สาธุ..อนุโมธนามิ



โดย: ตามพันธสัญญา IP: 119.46.43.78 วันที่: 8 ธันวาคม 2554 เวลา:17:24:51 น.  

 
น้อยคนนักที่จะเข้าใจได้อย่างนี้..แม้ในหมู่คนที่ไม่มีงานทำ

โมทนาสาธุจากใจเลยค่ะ

เข้าใจได้และอธิบายได้ชัดเจน เป็นภาษาที่เข้าใจได้

ขออนุญาตลิ้งไปฝากญาติธรรมค่ะ


โดย: chaosy วันที่: 26 ธันวาคม 2554 เวลา:3:48:12 น.  

 
อนุโมทนา สาธุ คะ
ได้ความรู้ดีมากๆ กำลังสงสัยอยู่พอดีเลย
เวลานั่งสมาธิก็งงๆคะ ว่าตัวรู้คืออะไร?
แล้วที่เต้นๆอยู่ช่วงกลางลำตัวคืออะไร?
จิตและผู้รู้ คือสิ่งเดียวกันหรือไม่?...
เริ่มทำสมาธิมาได้เดือนกว่าๆแล้ว...
ศึกษาจากเวปต่างๆ อยู่ต่างประเทศด้วย
รู้สึกลำบากเวลาอยากจะปรึกษาพระอาจารย์วัดไหนซักแห่ง....เจอปัญหาก็ได้แต่ค้นหา สิ่งที่อยากรู้ตามเวป...ลองผิดลองถูกด้วยตนเอง.....เคยเห็นมีหลายๆท่าน เขียนเตือนไว้ว่า ควรจะมีครูบาอาจารย์ สอนแนะนำ ชี้ทาง แต่อยู่ต่างประเทศจะให้ทำอย่างไรได้....ได้แต่พยายามพิจารณา ประคองสติ ด้วยตนเอง...ตอนนี้เริ่มมองเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง
ไม่ใช่ของใคร เห็นมันแยกออกมา เวลาที่ทำสมาธิ พอเลิกทำ ก็กลับมาเหมือนเดิม แต่บางเวลาก็รู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่ของเรา แม้จะไม่ทำสมาธิ....เวลานั่งสมาธิอยู่ รู้สึก ไปไหนไม่ได้ ไปต่อไม่ได้ รู้สึกงงๆ ก็ได้แต่ภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยแนะทาง และทุกครั้ง มันจะมีคำตอบออกมา แต่ก็ไม่แน่ใจคะ ว่าคำตอบนั้น มาจากจิตใต้สำนึก คิดไปเองหรืออะไร...บางทีก็ทำตาม บางทีก็วางเฉย....ที่บล๊อคนี้มีบทความดีๆมากมายเลย ขอศึกษาเพื่อพัฒนาภูมิของตนเอง นะคะ....(jjsugasy@hotmail.com)


โดย: sugasy IP: 49.129.51.149 วันที่: 26 ธันวาคม 2554 เวลา:20:35:59 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 25 มกราคม 2555 เวลา:20:24:38 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.