รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
30 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
ความเพียรเกิด เมื่อเข้าใจว่าปฏิบัติให้ตรงคืออย่างไร

มีข้อสงสัยค่ะ จริงๆ ดิฉันเคยสอบถามข้อสงสัยเมื่อนานมาแล้ว
แต่ตอนนี้ก็ยังลุ่มๆ ดอนๆ อยุ่เลยอะคะ

มีสงสัยเรื่องใหญ่ๆ สองเรื่อง อะคะ
1. ความอยาก ความเพียร ในการปฏิบัติ
คือว่า คนเรา มันไม่เห็นโลงศพ ก็ไม่หลั่งน้ำตา
พอจิตใจมันสนุกสนานพอใจ มันก็ไม่คิดว่าอยากพ้นทุกข์
จะปฏิบัติ มันก็เหมือนบังคับจิตใจกัน ก็เลยปฏิบัติลุ่มๆ ดอนๆ
มันเหมือนติดสุขทางโลก มองยังไงก็มองไม่ออกว่ามันไม่เที่ยง
คือคิดออก ว่าไม่เที่ยง เดี๋ยวติดสุขก็ทุกข์
แต่ว่า ใจมันเห็นๆ อยู่ว่ามันสุข แบบว่า เห็นๆ เลยว่า เรายิ้ม เบิกบานใจ

มีวิธีการอย่างไร เพราะ ไปบังคับใจ มันก็ปฏิบัติไม่สำเร็จ ติดพันอยู่กับทางโลกเสมอ

2. ความอยากทำให้มันถูกต้อง
มีปัญหาตอนว่า โอเค จะปฏิบัติได้หละ เช่นเวลาขี่จักรยานกลับบ้าน ต้องการฝึกรู้สึกตัวไปด้วย
แล้ว มันก็มีปัญหา เรารู้ว่า เราเพ่ง เช่น ใจมันจะไปรับรู้การขยับของเท้า

หรือเวลาแปรงฟัน
ใจมันก็จะไปรับรู้ว่า แปรงไปถึงฟันจุดไหนบ้าง

แล้วเราก็เหมือนมีความคิด ความอยากจะทำให้มันถูกต้อง
คือ ถ้าไม่อยากทำให้มันถูกต้อง เราก็ไม่สนใจว่าใจเราเพ่งหรือเปล่า เราก็จะทำอย่างเดิมๆ

พอรู้สึกขึ้นมาว่ามันผิด เราก็เกิดความอยากทำให้ถูก ก็ไม่ธรรมชาติอีก

พยายามทิ้งความรู้สึก แล้วพยายามรู้สึกตัว รับรู้หลายอย่างพร้อมกัน มันก็เหมือนเผลอใจไปอยากว่าจะรับรู้หลายอย่าง ซึ่งก็มีความอยากอีก

ต้องทำอย่างไรค่ะ เพราะค้นหาไม่เจอจริงๆ ว่า รู้สึก แต่ไม่ต้องรับรู้ว่าจุดเกิดตรงไหน ใจไม่ต้องไปจดจ่อ ลอยๆ เบาๆ สบายๆ มันเป็นอย่างไร
พยายามอ่านบทความใน blog หลายรอบ ก็ยังคงสับสนอะคะ

***************************
มีท่านผู้อ่านถามเป็นการส่วนตัว ผมเห็นว่า คำถามนี้ดีสำหรับคนปฏิบัติ ผมจึงนำมาแบ่งปันให้ท่านอื่นได้อ่านด้วย

1..สิ่งที่ผมพบความจริง ที่ผมไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย ก็คือว่า การทำลายความเข้มข้นของกิเลสให้จางลงได้นั้น เกิดจากพลังแสงแห่งจิตที่มันโผล่มาเป็นครั้ง ๆ นั้นเอง ในคนทั่ว ๆ ไป ในจิตจะมีชั้นของอนุสัยที่เป็นแผ่นบางๆ ใส ๆ คลุมอยู่ เจ้าแผ่นใส ๆ นี้ครับ เมื่อมีการกระทบสัมผัสขึ้นในจิตใจที่รุนแรงพอ แล้วจิตจะหวั่นไหวเพราะการกระทบนั้น อนุสัยใส ๆ นี้จะเปลี่ยนแปลงจากใสเป็นขุ่นมัวทันที แล้วจิตก็จะมืดมิดด้วยโมหะที่มาครอบงำ แล้ว โลภะ ราคะ โทสะ ก็จะเกิดตามมาอย่างง่ายดายเพราะความขุ่นมัวที่ไปครอบงำจิตนี้

การทำลายชั้นของอนุสัยได้นั้น จะต้องอาศัยจังหวะในยามที่จิตกำลังจะเปลี่ยนจากใสเป็นขุ่นนี้ และในขณะนั้น จิตจะต้องมีกำลังสัมมาสติพอสมควร แล้วแสงแห่งจิตจะเปล่งประกายออกมาทะลุความขุ่นมัวนี้ (คล้าย ๆ กับแสงของดวงอาทิตย์ที่ส่องทะลุก้อนเมฆออกมาให้เห็น ) ซึ่งนักภาวนาจะพบว่า บางครั้งจะเห็นแสงสว่างแวบขึ้นมาในภายในจิตใจ แล้วอาการขุ่นมัวนี้จะลดลงแล้วหายไปเอง

การที่แสงแห่งจิตนี้ส่องทะลุความขุ่นมัวได้ 1 ครั้ง จะเป็นการเพิ่มพลังให้สัมมาสติมีกำลังมากขึ้น และ กำลังสัมมาสติที่มากขึ้น ความสามารถในการจัดการกับความขุ่นมัวก็มากขึ้นตามไปด้วย เมื่อกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่มากพอถึงระดับหนึ่ง จะมีการทำลายอนุสัยได้อย่างเด็ดขาด (ซึ่งก็คือ การทำลายอนุสัยด้วยปัญญา )

2..ผมเขียนนำร่อง เพื่อจะชี้ให้ท่านเห็นว่า การฝึกฝนนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะฝึกมาตรงแล้วด้วยกฏ 3 ข้อที่ผมแนะนำไว้ใน blog มันไม่มีทางที่่จะอยู่อยู่ในสภาพนั้นไต้ตลอดเวลา ท่านจะมีการเผลอบ้าง เพ่งบ้างเสมอ เพราะมันเป็นธรรมชาติของท่านในตอนนี้มันเป็นอย่างนี้เอง ขอให้ท่านสบายใจได้ว่า ท่านเดินไม่ผิดแน่นอน ซึ่่งอาการเผลอ อาการเพ่ง ที่มันเกิดนี้แหละครับ มันก็คือการขุ่นมัวที่เกิดจากอนุสัย ซึ่งในยามที่เกิดเผลอ เกิดเพ่งนี้ แล้วสติที่ท่านเคยฝึกด้วยกฏ 3 ข้อที่มันเกิดวาบแสงขึ้นมาให้ท่านกลับมารู้สึกตัวปรกติได้อีก มันจะเป็นปัญญาสะสมให้แก่ท่าน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับ

ผมได้เขียนเรื่อง เจาะให้เข้าถึงการปฏิบัติแบบ.หลวงพ่อเทียน.
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=07-2011&date=19&group=15&gblog=37 ซึ่งเทคนิคของหลวงพ่อที่ให้หยุดแล้วเคลื่อนก็เพื่อให้นักภาวนาเกิดเผลอ ในยามที่กำลังมีความรู้สึกตัวอยู่ แล้วให้แสงแห่งจิตไปทำลายความเผลอนั้นบ่อย ๆ

เมื่อท่านอยู่ในชีวิตประจำวัน ท่านพยายามรักษาจิตใจไว้ก็ดีอยู่แล้ว แต่ถ้าในยามใด ที่ท่านมีเผลอขึ้นมา มีอารมณ์หงุดหงิดขึ้น มีเพ่งขึ้น ก็ขอให้ท่านรักษาจิตให้เป็นธรรมชาติเข้าไว้ แล้วปล่อยให้กลไกภายในของจิตนั้นมันทำลายกิเลส เพื่อเป็นปัญญาสะสมในจิตใจของท่านไปเรื่อย ๆ

แต่สำหรับคนที่ฝึกมาผิดนี่ซิ ที่ไม่ใช่การฝึกตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา จิตใจของเขาจะไม่มีกำลังสัมมาสติเพื่อไปทำลายกิเลสและจะไม่เกิดปัญญาสะสมได้เลย หรือ คนที่ไม่ได้ฝึกฝน กำลังสัมมาสติของเขาถึงจะมีบ้าง แต่ก็อ่อนมากจนใช้การอะไรให้เกิดประโยชน์ไม่ได้เช่นกัน

3..กำลังใจในการมีความเพียรได้นั้น จะมาจากที่ว่า ฝึกแล้วเห็นผลได้จากการฝึก ซึ่งเรื่องนี้ นักภาวนาสมควรทำความเข้าใจให้ตรงแล้วจะเกิดความเพียร ผมอ่านในกระทู้ธรรมบ่อยครั้ง พบว่า คนไม่เข้าใจมักจะเขียนบอกว่า เข้าคอร์สที่โน่นที่นี่ ฝึกดีจริง ๆ จิตนิ่งตลอด 3 วัน 7 วันที่ไปฝึก นี่เพราะการไม่รู้ การไม่เข้าใจ จึงเข้าใจแบบนั้น

ในการฝึกแล้วได้ผลนั้น นักภาวนาจะต้องพบกับอาการ 3 อย่างนี้จึงจะดี คือ
3.1 พบการมีสติ ที่จิตใจไม่มีอะไร จะเรียกแบบชาวบ้านว่า จิตนิ่ง ก็ได้
3.2 พบการที่จิตมีการเผลอบ้าง การเพ่งบ้าง การมีอารมณ์หงุดหงิดบ้าง
3.3 พบว่า การเผลอ การเพ่ง อารมณ์หงุดหงิดนั้น มันสลายไปเองได้อย่างรวดเร็วอย่างเป็นธรรมชาติที่นักภาวนาไม่ต้องทำอะไร

ถ้าพบได้ ทั้ง 3 อย่างนี้จึงสมควรพูดว่า ฝึกได้ดีครับ ถ้าเพียงข้อ 3.1 นี่ยังไม่ใช่ว่าดี ยิ่งบอกว่า 3 วัน 7 วัน นิ่งตลอด อย่างนี้ แสดงว่า เพ่งอะไรสักอย่างให้นิ่งไปแล้ว แต่ตัวเองไม่รู้ตัวว่ากำลังเพ่งอะไรอยู่

เมื่อนักภาวนาเข้าใจว่า อย่างไรคือดีแล้ว เมื่อพบว่าฝึกได้ดีดังข้อ 3.1 ถึง 3.3 นักภาวนาก็จะมีกำลังใจมากขึ้นในการฝึกฝนเอง

********************************

ผมแถมอีกเรื่องหนึ่ง การฝึกฝนนั้น นักภาวนาจะพบกับข้อ 3.1 อย่างเดียวก็ต่อเมื่อ นักภาวนาได้ผ่านการฝึกฝนจนอนุสัยถูกลายสิ้นเชิง แล้วนักภาวนาจะพบแสงแห่งจิตที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่เสมอ นั้่นแหละครับ ข้อ 3.2 /3.3 จึงจะไม่มี

แต่ถ้านักภาวนาไม่เห็นแสงแห่งจิตที่มันเปล่งเจิดจ้าตลอด แล้วบอกว่า มีแต่ข้อ 3.1 ละก็ ผมแนะนำให้สำรวจตัวเองได้แล้วครับ ว่าหลงไปเพ่งอะไรเข้าหรือเปล่า





Create Date : 30 กรกฎาคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 14:44:53 น. 3 comments
Counter : 1138 Pageviews.

 
สาธุ บทความนี้ทำให้ดิชั้นมั่นใจว่าตัวเองยังฝึกได้ถูกต้องอยู่ เพราะครบสามข้อเลยคะอาจารย์หลังจากเห็นมโนกะจิตนี่รู้สึกย่ำอยู่กะที่ไงไม่รู้ แต่ก้อยังรู้สึกตัวได้อยู่ ยิ่งเวลามีโมโหแล้วมันจะมาเร็ว(มาเร็วกว่าเมื่อก่อน) ไปเร็วอ่ะคะไม่ค่อยยึดนานเหมือนเมื่อก่อน


โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.244.49 วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:18:54:57 น.  

 
ดีแล้วครับ ที่เห็นครบทั้ง 3 อาการ
เรื่องความโกรธ มันจะอยู่กับเราอีกนานครับ และเจ้าตัวนี้แหละครับ ถ้าเห็นไตรลักษณ์ของมันบ่อย ๆ มันจะทำให้เรามีปัญญาได้มากขึ้น

คนมักชอบทำอะไร ไม่ให้โกรธ มันต้องโกรธครับ แต่อย่าไปยึด แค่นั้นก็จบเรื่องและได้ปัญญาเป็นของแถมตามมาด้วย


โดย: นมสิการ วันที่: 1 สิงหาคม 2554 เวลา:0:06:09 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:14:50:09 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.