ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...
บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้
เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง
**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **
คือว่าวันนี้เอาเข้าจริง ๆ นะเราก็ฝึกวิธีของคุณ+วิธีกำหนดรู้จิตแบบที่เราทำปกติอะ
อย่างตอนที่เรากำหนด อะไรกระทบมา หนอไว้ก่อนเนี่ย
เรารู้สึกว่ามันรู้แค่สาเหตุเบื้องต้นอะ
เหมือนว่า เออ โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ต้นเหตุของการโกรธมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้
แต่พอเราฝึกทำตามวิธีของคุณที่บอกว่าจิตมันแวบไปทางไหน ก็หายใจแรง ๆ
ช่วงแรก ๆ ก็เหมือนจะโล่งประมาณว่าไม่ต้องพึ่งการกรี๊ดแล้วอะ
แต่เวลาผ่านไปซักพัก มันก็กลับมาหงุดหงิดเหมือนเดิม(ยิ่งกว่าตอนแรกอีกเหอะ) พอ+กับวันนี้โดนคนขัดใจที่ว่า เราอุตส่าห์จะช่วยหยิบของให้ ไม่ขอโทษไม่ว่า แต่ด่าเราซะงั้น มันทำให้เรารู้สึกจะไม่ไหวแล้วนี่สิ
เราก็เลยเปลี่ยนใหม่ ก่อนอื่นหลบไปจากบริเวณที่เห็นหน้าตาคนนี้ก่อน
(มันโกรธมากจริง ๆ ถึงขั้นถ้าเป็นเมื่อก่อนปาข้าวของใส่ไปแล้ว)
จากนั้นปล่อยใจจิตตัวเองแวบไปให้เต็มที่
เอาเป็นว่าให้รู้ว่า ณ จุดนั้นกำลังรู้สึกยังไง
(โดยที่ไม่มากะเกณฑ์ว่านิ่ง ๆ แล้ว...หนอล้วล่ะ)
ตอนนั้นรู้เลยว่าตัวเองแทบจะเป็นภูเาไฟที่เริ่มส่งสัญญาณบอกว่าจะพ่นลาวาออกแล้วนะ
แต่ในขณะที่รู้ว่าตัวเองเดือดเนี่ย ตอนนั้นก็หายใจแรง ๆ แบบวิธีของคุณไปด้วย
พอหลังจากหายใจไปซักพัก มันดันทำให้รู้ว่า ไอ้สิ่งที่มันทำให้เราโกรธเนี่ย
มันมีโลภะชักใยอยู่ข้างหลังชัด ๆ เลยอะ
เหมือนว่าจริง ๆ แล้วจิตเรามันมีความอยากที่จะให้สิ่งที่มันมากระทบกับเราเป็นสิ่งที่เราพอใจไปหมดทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ทำดี มีน้ำใจกับใครซักคน เราก็อยากให้เขามองเห็นค่าในสิ่งที่เราทำมั่ง ไม่ชมไม่ว่า แต่อย่ามาด่าได้มั้ย หรือ อยากให้เพื่อนเป็นห่วงที่เราต้องลุยน้ำแบบที่เราเป็นห่วงเพื่อนที่บ้านโดนน้ำท่วมบ้าง ไม่ใช่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านแล้วถ่ายรูปสภาพความเป็นอยู่ของคนในร้านแบบเฮฮาสนุกสนานแบบที่เจอทุกวันอะ
แบบนี้เรียกว่ายังเดินหัวทิ่มหัวตำหรือเปล่าอะคะ
ปล. ตอนรู้สาเหตุที่หงุดหงิดแทบเป็นแทบตายมาหลายวัน มันเหมือนข้างในมันเกิดการสว่างไปซักพักนึงเลยอะ ว่าแต่ การที่ปฏิบัติแล้วได้ผลดี คือต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ใช่มั้ยคะ ประมาณว่าอนาคตข้างหน้าจิตมันจะมาปรุงแต่งอะไรอีกหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่รู้คือตอนนี้โล่ง สบายใจ แบบนี้ถูกหรือเปล่าอะ