รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
21 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ทำไมการหายใจเข้าแรงๆ จิตจึงใสได้



จากภาพข้างบน เป็นภาพกลไกการทำงานของจิตครับ ซึ่งกลไกนี้เป็นกันทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักภาวนาหรือไม่ ก็จะเป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่า ถ้านักภาวนาที่ชำนาญ เขาจะเห็นกลไกนี้ได้และเข้าใจกลไกการทำงานนี้เป็นอย่างดี แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ภาวนา เขาจะไม่รู้จักกลไกนี้เลย

ผมจะอธิบายกลไกนี้ให้ท่านเห็น ขอให้ดูจากรูป

เมื่อจิตยังมีอวิชชาและตัณหาอยู่ จิตจะเป็นดวง ซึ่งดวงนี้จะประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นของว่างบริสุทธิทีมีแต่สภาวะ .รู้. หรือตำราเรียกว่า .ธาตุรู้. และ อีกส่วน คือ ส่วนที่เป็นพลังงาน ส่วนที่เป็นพลังงานนี้ คือ จะเรียกว่า .มโน.

ด้วยพลังของ อวิชชาและตัณหา จิตส่วนที่เป็น รู้ จะผลึกแน่นกับ มโน เป็นเนื้อเดียวกันและจะติดหนีบเช่นนี้ตลอดไป ตราบเท่าที่ อวิชชาและตัณหา ไม่ถูกทำลายลงไป

เมื่อมี มโน เกิดขึ้นแล้ว นี่คือสภาพของภพได้เกิดแล้ว ตราบใดที่ มโน ยังอยู่ คนก็ยังมีการเวียนเกิดเวียนตายไม่รู้จบ
แต่ถ้า มโน ถูกทำลายลง ภพก็จบสิ้นลง ธาตุรู้จะเป็นอิสระ นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมพระอรหันต์ ถึงไม่เกิดอีก เพราะ มโน ถูกทำลายลงนั้นเอง

เมื่อมีการกระทบสัมผัสกับระบบประสาทต่างๆ ของร่างกาย หรือ ภาษาพระเรียกว่า อายตนะ/ผัสสะ
ส่วนที่เป็น มโน นี้จะเกิดการสั่นไหวขึ้น เกิดการรับรู้ของการกระทบตามอายตนะต่างๆ นี่คือ วิญญาณได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะการกระทบที่เกิดนั้น

เมื่อมีการรับรู้ของวิญญาณขึ้นแล้ว ก็จะมีการปรุุงแต่งต่อไปอีก กลายเป็นจิตปรุงแต่งขึ้นมา ทำให้เกิดการพอใจ ไม่พอใจ ในการรับรู้ของวิญญาณ (หมายเหตุ จิตปรุงแต่งคือ สังขารขันธ์ ของขันธ์ 5 )

ท่านจะเห็นว่า เมื่อ จิตที่เป็นธาตุรู้อันว่างเปล่าจริงๆ เมื่อมันติดหนึบกับ มโน ด้วยแรงของตัณหาและอวิชชา เมื่อเกิดจิตปรุงแต่งขึ้นเมื่อไร คนก็จะเข้าใจว่า ฉันพอใจ ฉันไม่พอใจ ความพอใจ ความไม่พอใจนั้นเป็นของฉัน เกิดอาการตัวกู ของกู ขึ้นมา

จากในภาพ ส่วนที่เป็น BBB นั้นคือ สภาวะของคนทั่วๆ ไปในโลกนี้เขาจะเป็นกันทั้งหมด
เพราะคนจะมีการเรียนรู้ทางโลก มีการคิด มีการทำหน้าที่การงานหาเลี้ยงชีพ นี่คือการใช้จิตเพื่อทำงานในทางโลก เมื่อทำงานแบบนี้ จิตจะอยู่นอกกายแถวบริเวณใบหน้า
ซึ่งเมื่อจิตอยู่ที่นี่ จิตจะคิดโน่น คิดนี่ได้ คนจะเก่งทางโลกมาก สร้างสรรค์งานทางโลกได้เป็นอย่างดี

แต่เมื่อมีดี ก็มีข้อเสีย จิตที่อยู่ตำแหน่งนี้จะคิดเก่ง เมื่อคิดเก่งก็คือปรุุงแต่งเก่ง ทำให้จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของการปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา นี่คือเหตุผลว่า ทำไมคนถึงไม่รู้ธรรมของพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าจะอ่านเรื่องราวของธรรมจากตำรา เขาก็จะไม่รู้จริงอยู่ดี

เมื่อคนไม่พอใจในสิ่งใด เช่นมีอารมณ์โกรธแล้ว ก็คือจิตปรุงแต่งได้เกิดขึ้นแล้ว ทำให้คนยากที่จะสลัดหลุดออกจากอาการไม่พอใจได้เร็ว เพราะธาตุรู้ติดหนึบอยู่ภายในด้วยอำนาจของอวิชชาและตัณหา

ทีนี้ เมื่อท่านโกรธอยู่ แล้วทำการหายใจเข้าแรง ๆ หลายๆ ที จิตจะวิ่งจากตำแหน่งของ BBB เข้าสู่กายที่ CCC

ในตำแหน่งของ CCC จิตจะคิดไม่ได้ เพราะตอนนี้ จิตจะเข้าไปรู้เรื่องของกายแทนการคิด ซึ่งก็คือ รู้เรื่องการหายใจนั้่นเอง (หมายเหตุ ลมหายใจ เป็นกาย)

เมื่อจิตคิดไม่ได้ การปรุงแต่งก็จะหมดไป ทำให้จิตเกิดการใสขึ้นมาแทนที่

นี่คือเหตุผลว่า ทำไมการหายใจแรง ๆ จิตจึงใสได้


**********
ในการภาวนานั้น เมื่อจิตเข้าไปอยู่ในตำแหน่ง CCC นี่คือ สมถะภาวนา หรือ เรียกว่า การทำจิตให้สงบ ซึ่งถ้าจิตอยู่ที่นี้ จะทำวิปัสสนาไม่ได้ ถ้าจิตจะทำวิปัสสนาได้ จิตจะต้องมาอยู่ทีตำแหน่ง BBB หรือ DDD เท่านั้น

ถ้าท่านเป็นนักอ่าน ท่านจะพบคำกล่าวนี้อยู่เสมอ ๆ ว่า เมื่อจิตสงบแล้วให้ถอยจิตไปเจริญวิปัสสนา
ซึ่งหมายความว่า เมื่อทำสมถะ จิตอยู่ที่ CCC เมื่อจิตสงบแล้ว ก็เคลื่อนจิตไปที่ BBB แล้วจิตจะเจริญวิปัสสนาได้ คนที่ไม่เข้าใจกลไกนี้ ก็จะเข้าใจว่า เมื่อจิตสงบแล้ว ก็ไปคิดพิจารณากายอันเป็นวิปัสสนา ซึ่งในความจริงไม่ใช่เช่นนั้น เมื่อจิตสงบจาก CCC แล้ว เมื่อจิตเลือนไปอยู่ BBB นักภาวนาอย่าได้คิดในสิ่งใด แต่ให้ปล่อยให้จิตเขาเดินวิปัสสนาเอง เพราะตำแหน่งของ BBB นี้จิตจะคิดได้เอง ถ้านักภาวนาไปตั้งใจคิดพิจารณาเรื่องสิ่งใด จิตก็จะไม่สามารถเดินวิปัสสนาได้อย่างแท้จริง จะกลายเป็นการนึกคิดไปเสียซึ่งจะเป็น จิตมยปัญญา ไม่ใช่ภาวนามยปัญญา

เมื่อมีการเจริญวิปัสสนา จิตเกิดการรู้แจ้งเห็นจริงหลายๆ ครั้ง จิตจะพบการเคลื่อนตัวอีกแบบ คือ ตำแหน่งของ DDD ซึ่งเมื่อจิตอยู่ในตำแหน่งนี้ จะเป็นสภาวะแห่งสุญญาตา จิตเป็นอิสระโดยสิ้นเชิง
เพราะการสิ้นไปของอวิชชาและตัณหา

วันกิจกรรม ผมจะแนะนำเทคนิคการปฏิบัติด้วยการเดินจงกรม เพื่อให้จิตเคลื่อนไปมาระหว่าง BBB และ CCC ทำให้ท่านเข้าได้มากขึัน




เรื่องที่คล้ายกัน
ฐานกายในสติปัฏฐาน - advance
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=03-2010&date=18&group=6&gblog=1

ฐานจิตในสติปัฏฐาน - advance
//www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=03-2010&date=20&group=6&gblog=2





Create Date : 21 ตุลาคม 2554
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:35:42 น. 3 comments
Counter : 2015 Pageviews.

 
นี่ ๆ คุณนมสิการ
คือว่าวันนี้เอาเข้าจริง ๆ นะเราก็ฝึกวิธีของคุณ+วิธีกำหนดรู้จิตแบบที่เราทำปกติอะ
อย่างตอนที่เรากำหนด อะไรกระทบมา หนอไว้ก่อนเนี่ย
เรารู้สึกว่ามันรู้แค่สาเหตุเบื้องต้นอะ
เหมือนว่า เออ โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ต้นเหตุของการโกรธมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้

แต่พอเราฝึกทำตามวิธีของคุณที่บอกว่าจิตมันแวบไปทางไหน ก็หายใจแรง ๆ
ช่วงแรก ๆ ก็เหมือนจะโล่งประมาณว่าไม่ต้องพึ่งการกรี๊ดแล้วอะ
แต่เวลาผ่านไปซักพัก มันก็กลับมาหงุดหงิดเหมือนเดิม(ยิ่งกว่าตอนแรกอีกเหอะ) พอ+กับวันนี้โดนคนขัดใจที่ว่า เราอุตส่าห์จะช่วยหยิบของให้ ไม่ขอโทษไม่ว่า แต่ด่าเราซะงั้น มันทำให้เรารู้สึกจะไม่ไหวแล้วนี่สิ

เราก็เลยเปลี่ยนใหม่ ก่อนอื่นหลบไปจากบริเวณที่เห็นหน้าตาคนนี้ก่อน
(มันโกรธมากจริง ๆ ถึงขั้นถ้าเป็นเมื่อก่อนปาข้าวของใส่ไปแล้ว)
จากนั้นปล่อยใจจิตตัวเองแวบไปให้เต็มที่
เอาเป็นว่าให้รู้ว่า ณ จุดนั้นกำลังรู้สึกยังไง
(โดยที่ไม่มากะเกณฑ์ว่านิ่ง ๆ แล้ว...หนอล้วล่ะ)
ตอนนั้นรู้เลยว่าตัวเองแทบจะเป็นภูเาไฟที่เริ่มส่งสัญญาณบอกว่าจะพ่นลาวาออกแล้วนะ
แต่ในขณะที่รู้ว่าตัวเองเดือดเนี่ย ตอนนั้นก็หายใจแรง ๆ แบบวิธีของคุณไปด้วย

พอหลังจากหายใจไปซักพัก มันดันทำให้รู้ว่า ไอ้สิ่งที่มันทำให้เราโกรธเนี่ย
มันมีโลภะชักใยอยู่ข้างหลังชัด ๆ เลยอะ
เหมือนว่าจริง ๆ แล้วจิตเรามันมีความอยากที่จะให้สิ่งที่มันมากระทบกับเราเป็นสิ่งที่เราพอใจไปหมดทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ทำดี มีน้ำใจกับใครซักคน เราก็อยากให้เขามองเห็นค่าในสิ่งที่เราทำมั่ง ไม่ชมไม่ว่า แต่อย่ามาด่าได้มั้ย หรือ อยากให้เพื่อนเป็นห่วงที่เราต้องลุยน้ำแบบที่เราเป็นห่วงเพื่อนที่บ้านโดนน้ำท่วมบ้าง ไม่ใช่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านแล้วถ่ายรูปสภาพความเป็นอยู่ของคนในร้านแบบเฮฮาสนุกสนานแบบที่เจอทุกวันอะ

แบบนี้เรียกว่ายังเดินหัวทิ่มหัวตำหรือเปล่าอะคะ

ปล. ตอนรู้สาเหตุที่หงุดหงิดแทบเป็นแทบตายมาหลายวัน มันเหมือนข้างในมันเกิดการสว่างไปซักพักนึงเลยอะ ว่าแต่ การที่ปฏิบัติแล้วได้ผลดี คือต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ใช่มั้ยคะ ประมาณว่าอนาคตข้างหน้าจิตมันจะมาปรุงแต่งอะไรอีกหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่รู้คือตอนนี้โล่ง สบายใจ แบบนี้ถูกหรือเปล่าอะ


โดย: rommunee วันที่: 22 ตุลาคม 2554 เวลา:0:15:34 น.  

 
ตอบคุณ rommunuee

คำถามของคุณดีมาก ๆ ครับ ผมเห็นว่าจะมีประโยชน์สำหรับคนอื่น ผมจึงนำมาเขียนตอบไว้เป็นเรื่องต่างหาก ขอบคุณที่ถามครับ

อ่านคำตอบได้ที่นี่ครับ

https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=10-2011&date=22&group=15&gblog=58


โดย: นมสิการ วันที่: 22 ตุลาคม 2554 เวลา:7:02:14 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 27 มกราคม 2555 เวลา:9:36:06 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.