1 2 3 4 5 6
7 8 9 10 11 12 13
14 15 16 17 18 19 20
21 22 23 24 25 26 27
28 29 30 31
เมื่อไรจึงจะดูจิตได้
ตอนนี้ วิชาดูจิต ฮิตติดตลาดในแวดวงกรรมฐาน บทความนี้ ผมเขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น ดังนั้น กรุณาอย่านำไปอ้างอิงเทียบเคียงกับคำสอนของท่านใดในเรื่องการดูจิต ผิดถูกอย่างไร ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณาเอาเองด้วยปัญญา ********* ใน blog นี้ ผมได้เขียนเรื่องเกี่ยวกับการดูจิตไว้หลายแห่ง แต่ผมไม่อยากจะค้นหา เพราะเขียนใหม่จะเร็วกว่าไปหาของเก่าว่าอยู่ที่ใด ในความเข้าใจของผม ผมไม่อยากจะเรียกว่า .การดูจิต. แต่ผมอยากจะใช้คำว่า .เห็นจิต. มากกว่า ซึ่ง 2 คำนี้ผมคิดว่า ไม่เหมือนกัน ระหว่าง ดู กับ เห็น ในการภาวนานั้น ถ้า.เห็นจิต. จะมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง คือ 1. เห็น.มโน 2. เห็น.จิตรู้. หรือ วัดป่าเรียกว่า จิตผู้รู้ 3. เห็น .วิญญาณ. หรือ ตัวจิตรู้ ที่วิ่งไปจับยึดกับอารมณ์ ส่วนการ เห็นอารมณ์โกรธ เห็นความคิด นั้นไม่ใช่.จิต. แต่เป็นอาการของจิต หรือ จิตปรุงแต่ง 1. มโน มโน คือ ความว่างเปล่าของจิตใจ ที่บรรดาอายตนะต่างๆ มาประชุมกันอยู่ใน .มโน .นี้ เมื่อนักภาวนาสัมผัสอะไรที่มันรู้สึกว่าลอย ๆ ได้ นั้นคือ การสัมผัสอายตนะที่อยู่ใน .มโน. ผมจะยกตัวอย่างให้ท่านได้พบของจริง ( ถ้าอยากทราบของจริง กรุณาทำตามด้วยครับ) เมื่อท่านกำลังอ่านเรื่องนี้อยู่ ตาจับจ้องไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ขอให้ท่านใช้ฝ่ามือ ไปลูบไล้ที่บริเวณขาของท่าน ในขณะที่ท่านอ่านหนังสือที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ท่านจะสามารถรู้สึกได้ถึงการสัมผัสการลูบไล้ที่บริเวณขานั้นได้โดยทีท่านไม่ต้องไปจ้องมองเลย ก็รู้สึกถึงได้ (ขอให้ลองดูจริง ๆ แล้วท่านจะเข้าใจ) ถ้าท่านไม่ได้จ้องมองไปที่การสัมผัสแล้วรู้สึกถึงได้ ขอให้ท่านสังเกตดู ความรู้สึกถึงได้นั้นจะมีลักษณ์ที่ลอย ๆ ไม่มีจุดสัมผัส เพียงแต่มีความรู้สึกได้เท่านั้น ไม่มีมือ ไม่มีขา เสียด้วยซิครับ นี่คือการรับรู้สัมผัสทางอายตนะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน .มโน. แต่ท่านยังไม่เห็นตัว .มโน.ที่เป็นความว่างเปล่า ในการฝึกฝนนั้น ผมแนะนำให้ท่าน รับรู้การสัมผัสทางกายแบบลอย ๆ ดังตัวอย่างที่ผมยกให้ข้างบนนี้ ท่านกำลังฝึกการรับรู้ความรู้สึกที่กาย ที่กำลังเกิดขึ้นใน.มโน. อาการทางใจต่าง ๆ ก็ล้วนเกิดใน มโน เช่นกัน ในความเห็นของผม การรับรู้แบบลอย ๆ ใน มโน นี้คือ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ที่มีกล่าวในสติปัฏฐานสูตร การเห็นตัว .มโน. ได้นั้น จะต้องผ่านการฝึกฝนการรับรู้การสัมผัสที่ลอย ๆ ใน .มโน. ได้ก่อน ฝึกไปจนจิตมีกำลังตั้งมั่น จะเกิดการแยกตัวออกของจิตรู้ที่มีกำลัง แล้ว จิตรู้ที่มีกำลังจึงจะเห็นการสัมผัสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน.มโน. เมื่อจิตรู้มีกำลังตั้งมั่นแยกตัวออกมาได้แล้ว เมื่อจิตรู้เห็นการสัมผัสที่เป็นอาการทางกาย อาการทางใจได้ใน.มโน.ไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่ง จิตรู้จะเอะใจ เห็นความว่างของ.มโน.ได้เอง เมื่อจิตไปเห็นการดับลงของอาการทางกาย/อาการทางใจ ใน.มโน ซึ่งคล้าย ๆ กับ เวทีละคร เมื่อตัวละครลงจากเวทีไป บนเวทีก็เป็นเวทีทีว่างเปล่า ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปเมื่อเขามองเวที เขาจะไม่เห็นความว่างเปล่า แต่เขาจะเห็นฉากเวที สิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบตัวเวทีอยู่ 2..จิตรู้ จิตรู้นี้อย่าไปจ้องหา แต่ให้ฝึกฝนดังที่อธิบายในข้อ 1 ในเรื่อง มโน เมื่อจิตรู้ตั้งมั่น มันจะปรากฏตัวขึ้นให้นักภาวนาได้สัมผัสได้เอง การสัมผัสจิตรู้ได้ใหม่ ๆ นั้น จะให้ชัดในตอนแรก ๆ ก็คือ การที่จิตรู้ไปเห็นอาการที่รุนแรงที่เกิดขึ้น เช่น เห็นความเจ็บปวด เห็นความโกรธ เห็นการตกใจ ใหม่ ๆ นักภาวนาจะพบจิตรู้ที่เป็นดวง และ แยกตัวออกจากสิ่งที่ถูกรู้ เช่น เมื่อจิตรู้เห็นความโกรธ ก็จะมี 2 ส่วน คือ ตัวจิตรู้ที่ไปเห็นความโกรธ และ เห็นความโกรธ แต่เมื่อภาวนาไปเรื่อย ๆ นักภาวนาจึงจะพบจิตรู้อีกแบบที่ไม่เป็นดวง แต่เป็นความว่างเปล่า เพียงแต่มีอาการ.รู้.ปรากฏอยู่เท่านั้น 3..วิญญาณ วิญญาณ คือ ตัวจิตรู้ที่ยังไม่ตั้งมั่น วิ่งไปจับยึดกับอารมณ์ของจิต(อารมณ์ของจิต คือ สิ่งที่จิตไปรับรู้เข้า ) เช่น ชายหนุ่มเห็นสาวสวย จิตรู้ก็วิ่งผ่านทางประสาทตาออกไปเป็นวิญญาณทางตาไปจับเข้าที่สาวสวยนั้น การเห็นวิญญาณที่ง่ายที่สุด คือ การเห็นวิญญาณทางตา ที่นักภาวนาจะเห็นได้ว่า มีการพุ่งออกจากตาไปยังเป้าหมายที่กำลังเห็น การเห็นวิญญาณทางตาได้นั้น นักภาวนาเพียงฝึกฝนสัมมาสติเพียงไม่นานนัก ถ้าฝึกได้ถูกทาง ก็สามารถเห็นวิญญาณทางตาได้ ที่เป็นอย่าวนี้ได้เพราะเป็นอาการที่ไม่ตั้งมั่นของจิตรู้แล้วถูกตัณหานำพาไปเมื่อมีการกระทบสัมผัสขึ้น ***** กล่าวโดยสรุป ถ้าถามว่า เมื่อไรจึงจะดูจิตได้ ก็พอจะตอบได้ว่า เมื่อกำลังของสัมมาสติเริ่มตั้งมั่นเพียงนิดหน่อย ก็เห็นวิญญาณทางตาได้ เมื่อตั้งมั่นมากขึ้นอีก ก็จะเห็นจิตรู้และเห็นอาการทางกาย/อาการทางใจ ได้ เมื่อตั้งมั่นขึ้นอีก ก็จะเห็น.มโน.ที่ว่างเปล่าได้ เมื่อตั้งมั่นขึ้นอีก ก็จะเห็น จิตรู้ และ.มโน.ที่เป็นความว่างเปล่าได้ ซึ่งหมายความว่า ถ้าจิตไม่มีกำลัง ก็จะไม่มีทางเห็น.จิต.ได้เลย ซึ่งคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ฝึกฝน หรือ ฝึกมาผิดทาง เขาไม่ได้เห็น.จิต. เขาเพียงแต่รู้อาการของจิตที่เกิดขึ้นได้ เช่นรู้ได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโกรธอยู่ (เพียงรู้แต่ไม่เห็น) ซึ่งนี่ไม่ใช่การเห็นจิตครับ การฝึกฝนที่ถูกทาง อาตาปี สัมปชาโน สติมา ฝึกบ่อย ๆ ให้รับรู้อาการต่าง ๆ ของกายที่เกิดขึ้นใน มโน ฝึกแบบนี้ไปเรื่อยๆ จิตจะตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ก็จะเห็นสิ่ง ๆ ที่เป็นธรรมได้เองเพราะความตั้งมั่นของจิตนั้น พุทธจน์จากความจำ..ภิกษุทั้งหลาย เธอจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตตั้งมั่น เธอจักเห็นธรรมตามความเป็นจริง ในสติปัฏฐาน 4 กาย/เวทนา/จิต/ธรรม ไม่ใช่ว่าตอนนี้ฝึกหมวดกาย แล้วต่อไปฝึกหมวดเวทนา แล้วต่อไปฝึกหมวดจิต ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพียงฝึกอย่างที่ผมเขียนไว้ในข้อ 1 คือการรับรู้อาการต่าง ๆ ใน.มโน.เท่านั้น ทั้ง 4 หมวด กาย/เวทนา/จิต/ธรรม เกิดในนั้นทั้งหมด การฝึกจึงไม่ใช่การแยกฝึกเป็นหมวด ๆ ผมจึงเน้นมากในเรื่องความเข้าใจในการปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ถ้าเข้าใจถูก ไปได้ดีแน่นอน ถ้าเข้าใจไม่ตรง ก็วนเวียนเป็นพายเรือในอ่างน้ำแล้วครับ
Create Date : 30 สิงหาคม 2554
Last Update : 27 มกราคม 2555 20:18:27 น.
3 comments
Counter : 1215 Pageviews.
โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.204.169.249 วันที่: 31 สิงหาคม 2554 เวลา:17:30:26 น.
โดย: นมสิการ วันที่: 27 มกราคม 2555 เวลา:20:21:14 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
อ่านแล้วชอบมากเลยคะ ขอบคุณคะ