รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
1 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
การภาวนานั้นไม่สำคัญว่ารู้อะไร แต่ทีสำคัญคือรู้แล้วละได้หรือไม่ต่างหาก

บทความนี้ถือว่าเป็นบททบทวน ทวนสอบการปฏิบัติของท่านก็แล้วกัน เพราะผมเขียนเรื่องแบบนี้มาก็หลายตอนแล้ว ท่านอ่านแล้วอาจจะเบื่อหน่าย เนื่องจากรู้แล้วและไม่ใช่ของใหม่ที่ยังไม่รู้

แต่สิ่งหนี่งที่นักภาวนามักจะพลาดอยู่เสมอ ๆ ก็คือเรื่องนี้แหละครับ พอนักภาวนาฝึกฝนไป ก็จะลืมเรื่องนี้เสียสนิท แล้วใจเกิดความอยากขึ้นมาในใจ เอ..มโน เป็นอย่างไรหนอ จิตรู้ เป็นอย่างหนอ การแยกตัวออกเป็นจิตรู้และสิ่งที่ถูกรู้เป็นอย่างไรหนอ นิพพานเป็นอย่างไรหนอ อยากจะเห็น อยากจะพบ เมื่อเกิดความอยาก ก็จะพยายามเพ่งหา พยายามคิดเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่

เมื่อเกิดความอยากที่จะรู้ แล้วไปเพ่งหา อย่างนี้ก็เป็นการสร้างตัณหาขึ้นในจิต ซึ่งจะไปย้อนศรกับคำสอนของพระพุทธองค์ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 ทีว่า ตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ ให้ละเสีย

ผมจะขยายคำว่า .ละ. นี้เป็นอย่างไร.....ให้ท่านเข้าใจ

ขอให้ท่านศึกษาให้ดี เพื่อจะได้เข้าใจ

คำว่า .ละ. คือ

****การที่จิตไม่เกาะติดกับสิ่งที่ถูกรู้/จิตไม่ตามสิ่งที่ถูกรู้ไป****

เมื่อจิตไม่เกาะติด ไม่ตามไป ผลก็คือ จิตจะเป็นอิสระจากที่ไปรู้อะไรเข้า เมื่อจิตเป็นอิสระได้ด้วยตัวของมันเองอย่างสิ้นเชิงเมื่อไร นั้นคือ อำนาจของตัณหาได้หมดสิ้นลงไปจากจิตแล้ว ในสภาวะที่จิตหมดสิ้นตัณหา นี่คือ การถึงแล้วซึ่งนิโรธ หรือ นิพพาน อันเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ 3 ในอริยสัจจ์ 4

ท่านเห็นผลสุดท้ายของการปฏิบัติแล้วใช่ใหมครับ คือ การทำลายตัณหาให้สิ้นซากเอง ดังนั้น การฝึกฝนภาวนา ถ้าท่านกลับไปสร้างตัณหาขี้นมาเมื่อไร ก็เท่ากับท่านไปกำลังเลี้ยงตัณหาให้อ้วนพี

**ตัวอย่างการเกาะติดในสิ่งที่จิตไปรู้เข้า**

เมื่อเดินจงกรม ก็ส่งจิตไปจับการกระทบที่เท้า อย่างนี้ จิตไปเกาะติดการกระทบที่เท้า

เมื่อทำอาณาปานสติ ก็สิ่งจิตไปจับลมกระทบที่ปลายจมูก อย่างนี้ จิตไปเกาะติดที่ปลายจมูก

เมื่อเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ก็สิ่งจิตไปจับการเคลื่อนที่มือ อย่างนี้ จิตไปเกาะติดที่มือ

เมื่อบริกรรม ก็ส่งจิตไปจับเกาะที่คำบริกรรม (มีผู้เคยถามผมว่า บริกรรมทำอย่างไร ผมไม่ตอบเขาเพราะการใช้คำบริกรรมมีคำสอนในหลายสำนักดัง ๆ เสียด้วย ถ้าผมเขียนตอบ ก็จะไปกระทบกระเทือนถึงสำนักเหล่านั้น แต่ขอให้ท่านทราบว่า การบริกรรมนั้นไม่ใช่ง่ายนะครับสำหรับมือใหม่ เพราะมือใหม่ เวลาบริกรรม จิตก็จะไปเกาะคำบริกรรมทันที ผมเขียนเพียงแค่นี้ก็แล้วกัน ถ้ามือใหม่เลี่ยงคำบริกรรมได้ ผมก็แนะนำให้เลี่ยงครับ แต่ถ้ามือเก่า บริกรรมแล้วจิตไม่เกาะติดคำบริกรรมได้แล้ว จะบริกรรมไปก็ไม่มีปัญหาครับ )

*******

ในการฝึกฝนนั้น ผมแนะนำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ฝึกฝนการภาวนาด้วยกฏ 3 ข้อ การภาวนาด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแบบฝึกให้จิตรู้กายแต่ไม่เกาะติดการรู้ คือ เพียงรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ แล้วให้ รู้แล้วละ รู้แล้วละ..อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี่จะเป็นการสร้างสัมมาสติให้ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ การฝึกรู้แล้วละไปทีละนิดอย่างนี้ กำลังสัมมาสติก็จะค่อย ๆ เพิ่มและเติบโตขึ้นทีละนิด เมื่อกำลังสัมมาสติเพิ่มขึ้นผลก็คือ กำลังของตัณหาจะลดลงไป ซึ่งเป็นปฏิภาคผกผันกัน



การฝึกด้วยการรู้กาย จะเป็นสภาวะธรรมที่ง่ายต่อการเข้าใจและเรียนรู้ เพราะเป็นสิ่งพื้น ๆ ที่คนทั่วๆ ไปรู้ ๆ กันอยู่ แต่เมื่อฝึกฝนไปอย่างถูกต้อง กำลังสัมมาสติเพิ่มขึ้น เกิดสัมมาญาณ นักภาวนาจะพบกับสภาวะที่คนธรรมดาไม่รู้จักกัน อธิบายได้ยากยิ่ง ไม่รู้จะบอกอย่างไร เรียกก็ไม่ถูกว่าชื่ออะไร ซึ่งสภาวะแบบนี้ นักภาวนาก็ภาวนาแบบเดิม คือ รู้แล้วละ เช่นกัน มันจะชื่ออะไรก็ช่าง เป็นอะไรก็ช่าง มันจะมาหรือไม่มาก็ช่าง รู้แล้วละ อย่างเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างเขาจะดำเนินไปตามธรรมชาติของจิตเอง

****ท่านจะเห็นได้ว่า ว่าการทำลายตัณหาได้นั้น จะมาจากสัมมาสติที่มีกำลังและสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น ถ้าท่านฝึกสัมมาสติผิดพลาด จะไม่มีทางทำลายตัณหาได้เลย ******

ผลหลาย ๆ อย่างในการภาวนา ถ้าใครไปยังไม่ถึง ก็สุดจะคาดเดาได้ว่าทีแท้จริงนั้น ผลนั้นเกิดจากเหตุอะไร จึงทำให้มีคำสอนออกมามากมายที่พยายามจะให้เข้าถึงผลการภาวนาโดยไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องของอริยสัจจ์ 4 เมื่อไม่สอดคล้อง ยิ่งภาวนาไป ก็ยิ่งห่างจากพระพุทธองค์มากขึ้นทุกทีไป

******
หมายเหตุ
นักภาวนาบางท่านก็อาจเรียกว่า รู้แล้ววาง ความหมายก็เช่นเดียวกับ รู้แล้วละ




Create Date : 01 กันยายน 2554
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:45:04 น. 6 comments
Counter : 1094 Pageviews.

 
สาธุ


โดย: ขอบฟ้าบูรพา วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:10:56:36 น.  

 
สาธุ


โดย: คนไม่ธรรมดา IP: 223.204.232.156 วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:19:31:33 น.  

 
อนุโมทนาสาธุ สำหรับคำแนะนำที่มีค่ายิ่ง คะ


โดย: Nim IP: 124.121.162.205 วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:21:23:16 น.  

 
ขอบคุณสำหรับความเมตตาที่มีให้กับผู้กำลังเดินทางค่ะ


โดย: สิริพร IP: 118.173.199.185 วันที่: 1 กันยายน 2554 เวลา:21:40:17 น.  

 
โมทนาสาธุค่ะ


โดย: chaosy IP: 101.108.160.86 วันที่: 4 กันยายน 2554 เวลา:8:35:30 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 27 มกราคม 2555 เวลา:9:45:37 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.