รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
6 พฤษภาคม 2554
 
All Blogs
 
ทำไมการภาวนาจึงให้ดูเฉย ๆ ก็พอ

นิสัยของคนนั้น พอได้รับรู้อะไรเข้ามาก็มักจะสงสัย นำสิ่งที่รับรู้เข้ามาคิดพิจารณาต่อว่า สิ่งที่รับรู้นี้เป็นอะไร ต้นสายปลายเหตุมันคืออะไร <---- แต่นี้คือขบวนการทางโลกครับ

ในขบวนการทางธรรมนั้น จะต่างออกไปจากขบวนการทางโลก คือ นักภาวนาขอให้รับรู้สภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เป็นปรมัตถ์ธรรม รู้ให้มาก ๆ เมื่อรู้แล้วก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องไปคิดอะไร ไม่ต้องไปพิจารณาอะไรเลย เพียงแต่รู้แล้วปล่อยผ่านไป คล้าย ๆ กับการมองดูสายน้ำที่อยู่ตรงหน้าที่กำลังไหลผ่านไป

คำถามจึงมีว่า...แล้วทำไมการปฏิบัติจึงเป็นแบบนี้ละ คือ ดูเฉยๆ เท่านั้น

เมื่อ.จิตรู้.รับรู้.สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ได้แล้ว จิตรู้จะมีกำลังเพิ่มของสัมมาสติขึ้นมา นี่คือสิ่งที่นักภาวนาจะได้รับจากผลที่ได้พากเพียรปฏิบัติ จิตรู้ยิ่งรับรู้ปรมัตถ์ธรรมยิ่งมากเท่าใด กำลังสัมมาสติยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปตามกัน

อันธรรมชาติของสภาวะธรรมนั้น เมื่อจิตรู้ไปรับรู้เข้าแล้วมันจะเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็วเป็นไตรลักษณ์ <--- นี่คือธรรมชาติของปรมัตถ์ธรรมที่เป็นสังขตธรรมที่เป็นอย่างนี้อยู่แล้วโดยธรรมชาติ

ซึ่งหมายความว่า เมื่อจิตรู้ดูเห็นเฉย ๆ เจ้าปรมัตถ์ธรรมมันก็เสื่อมสลายไปเอง แต่ถ้านักภาวนาไปคิดไปพิจารณาสภาวะธรรมนั้นเมื่อไร นี่เป็นกลไกการทำงานของสัญญา+สังขารขันธ์ ในขันธ์ 5 ซึ่งขบวนการของขันธ์ 5 นี้จะไม่ช่วยให้นักภาวนาได้ผลทางภาวนามยปัญญา เพียงแต่ได้ผลทางจินตมยปัญญา เมื่อนักภาวนาใช้ขันธ์ 5 คิดอะไร อันเป็นจินตมยปัญญา ในเวลานั้น จิตรู้ก็จะไร้ประสิทธิภาพในการรับรู้สภาวะธรรมทางปรมัตถ์ไป นี่คือเหตุผลที่ว่า เวลาภาวนาให้เพียงดูรู้เห็นปรมัตถ์เท่านั้น ดูรู้เฉยๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรเลย ซึ่งง่ายมาก ๆ ถ้านักภาวนาเข้าใจได้

เมื่อนักภาวนาได้รับรู้ปรมัตถ์ธรรมไปมาก ๆ จิตรู้เพิ่มกำลังสัมมาสติไปเรื่อย ๆ พอกำลังสัมมาสติถึงจุดหนึ่ง จิตก็มีกำลังที่จะต่อสู้กับแรงดึงของตัณหาได้ เมื่อจิตรู้มีกำลังมากพอที่สู้แรงดึงของตัณหาได้ จิตรู้ก็จะเป็นอิสระจากกิเลสที่เกิดปรุงแต่งขึ้นมานั้นได้ <--นี่คือเป้าหมายแรกของการภาวนา ที่เมื่อจิตพ้นจากอำนาจของตัณหา จิตก็จะพ้นจากอำนาจของกิเลสได้เช่นกัน

เมื่อกำลังสัมมาสติเพิ่มมากขึ้นเพราะการรับรู้ปรมัตถ์ธรรมไปมาก ๆ เข้าอีก ผลที่ตามมาก็คือ ญาณ หยั่้งรู้เห็นสภาวะของ.ตัวจิต.ของตนเองได้ เมื่อนักภาวนาเห็นสภาวะของตัวจิตตัวเองได้ และยิ่งฝึกรับรู้ปรมัตถ์ธรรมไปมาก ๆ ขึ้นไปอีก นักภาวนาก็จะสามารถควบคุุม.ตัวจิต.ได้ เมื่อจิตถูกควบคุมได้เด็ดขาด การสร้างภพชาติของจิตก็จบสิ้นลง <--นี่คือเป้าหมายที่สองของการภาวนา คือการสิ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด

ผลของภาวนามยปัญญาไม่ได้เกิดจากการนึกคิด ดังนั้นการภาวนาจึงไม่ต้องไปคิดอะไร เพียงรับรู้ปรมัตถ์ธรรมเท่านั้น รู้เฉย ๆ รู้ธรรมดานี่เอง แล้วผลก็จะเกิดมาเอง

นักภาวนายิ่งรู้มากทางจินตมยปัญญา รู้ไปหมดจากการคิดเองเออเอง นี่ไม่ใช่ของจริงเลยครับ เพราะมันเป็นเพียงผลงานของสังขารขันธ์ที่ไปคิดเเอาเอง ถ้าไปหลงว่า รู้มากแล้ว นี่คือการโดนอวิชชาตบหน้าเข้าให้อย่างจังแบบไม่รู้ตัวครับ


Create Date : 06 พฤษภาคม 2554
Last Update : 29 มกราคม 2555 14:47:56 น. 9 comments
Counter : 1043 Pageviews.

 
โมทนาสาธุค่ะ คมชัด ขอบคุณค่ะ


โดย: chaosy IP: 49.228.28.145 วันที่: 6 พฤษภาคม 2554 เวลา:12:34:28 น.  

 
เรียนอาจารย์

ไม่ทราบว่าวันที่ 15 พ.ค 54 นี้ย้งจัดกิจกรรมมั้ยคะ

ขอบพระคุณค่ะ


โดย: ลัดดา IP: 124.121.55.196 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:7:53:24 น.  

 
กิจกรรมวันที 15 พ.ค. 54 ขอยกเลิกครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:8:05:30 น.  

 
ได้อ่านบทการปฏิบัติของ คุณนมสิการ แล้ว.....เข้าใจได้ว่าเป็นการบอกกล่าวต่อเพื่อน ๆ ส่วนมากทั่วไปจะคำนึงถึง คำบริกรรม....ซึ่งทุกอย่างก็เป็นอุบายทั้งสิ้น และความเป็นปรมัตถ์นั้นต้องรู้ถึงขั้นตอนของการปฏิบัติเป็นขั้นตอน.....การเริ่มต้นของการปฏิบัติ จะเริ่่มจากการศึกษาเองที่บ้านก่อน (ความสนใจ) ต่อมาก็สอบถามจากเพื่อน หรือ กัลยาณมิตรทางธรรม จวบจนถึงเข้าปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจากที่เข้าแต่ละสถานที่.....และส่วนมากแล้วจะหลงอยู่ตรงสัญญาและเกิดสังขารปรุงแต่ง จนเกิดอุปทาน....จึงทำให้เข้าใจกันเอง หรือหลงเชื่อตามกันแบบไม่ครบองค์......จึงเท่ากับว่า ประมาท นั่งเอง.....สรุปว่า บทความของคุณ นมสิการ นั้น ชอบครับ......สมกับเป็นอาจารย์นั่เนเอง.....สาธุ สาธุ สาธุ......


โดย: ฉัตรา IP: 124.120.2.162 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:12:13:10 น.  

 
โมทนาสาธุค่ะ

ถามได้มั๊ยคะ ....ว่า ถ้าปฏิบัติถึงตรงนี้แล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว ตามที่ว่ามา ....เป็นวิปัสสนาญาณระดับไหนคะ


โดย: แครอทอร่อย IP: 223.206.112.63 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:12:56:05 น.  

 
โมทนาสาธุครับ..


โดย: ไท IP: 203.148.162.129 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:05:35 น.  

 
ตอบคุณแครอทอร่อย

คุณคงถามถึง วิปัสสนาญาณ 16 ใช่ใหมครับ
ถ้าใช่ ทั้งเป้าหมาย 1 และ 2 ต้องผ่านครบทั้ง 16 ขั้นมาแล้วทั้งนั้น ถึงจะเกิดแบบนั้นได้

แต่ส่วนตัวผม ผมจะไม่กล่าวถึง วิปัสสนาญาณ 16 เพราะการจำแนกแบบนั้นเป็นสิ่งที่ลำบากที่จะจำแนก เนื่องจากในการเจริญวิปัสสนานั้น มันจะวิ่งไปวิ่งมาระหว่างญาณลำดับต่าง ๆ ในญาณ 16 มันจะไม่นิ่ง หรือ ว่าผ่านแล้วก็คือได้แล้ว ไม่ใช่แบบนั้นครับ


โดย: นมสิการ วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:33:33 น.  

 
อนุโมทนาสาธุคะ อ่านบทความนี้แล้ว ทำให้ได้คำตอบและนำไปปฏิบัติต่ิอพอดี


โดย: Nim IP: 125.27.210.132 วันที่: 7 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:52:39 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท
ที่อาจมีสิ่งผิดกฏหมายใส่เข้ามาใน blog

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 29 มกราคม 2555 เวลา:14:56:08 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.