รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
22 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
คำถามการปฏิบัติที่เข้ามา

มีคำถามเข้ามา ผมอ่านแล้วเห็นว่า คำถามนี่ดี เพราะเป็นสิ่งที่นักภาวนาส่วนมากไม่เข้าใจ
อย่างถ่องแท้ ผมจึงนำมาแสดงไว้เพื่อแบ่งปันให้ผู้อื่นได้อ่านด้วย

ต้องขอบคุณเจ้าของคำถามครับ

************************************

ผมจะแยกแยะสิ่งที่คุณเขียนเป็นข้อ ๆ เพื่อความเข้าใจดังนี้

1..อย่างตอนที่เรากำหนด อะไรกระทบมา หนอไว้ก่อนเนี่ย
เรารู้สึกว่ามันรู้แค่สาเหตุเบื้องต้นอะ
เหมือนว่า เออ โกรธก็รู้ว่าโกรธ แต่ต้นเหตุของการโกรธมันอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้

ตอบ.. ส่วนนี้ถามมาได้ดีมากครับ คนทั่ว ๆ ไปในโลกนี้ มักมองสาเหตุของการโกรธอยู่ที่สิ่งของนอกตัว แล้วก็พยายามหาแพะมารับผิดว่า เจ้านี่เองทำให้ฉันโกรธ มันเป็นซะอย่างนี้ นี่คือ ความเข้าใจของคนทั่ว ๆ ไปที่อ่านหนังสือธรรม หรือ ฟังธรรมของใครก็ตามว่า เมื่อโกรธแล้วให้หาต้นเหตุของการโกรธว่ามันอยู่ตรงไหนกัน

ความเป็นจริงของธรรมปฏิบัตินั้น ไม่ใช่อย่างที่คนทั่วๆ ไปเข้าใจกันครับ

สำหรับมือใหม่นั้น ไม่มีใครหรอกครับที่หาต้นเหตุของการโกรธได้อย่างแท้จริง นอกจากคิดเอาเอง หรือ ฟังใครเขามา ผมกล้าพูดว่าไม่มีใครที่หาได้พบจริง เพราะต้นเหตุของการโกรธจริง ๆ นั้นคือ อาการของจิตปรุงแต่งที่มันไหวตัวแล้วไปยึดติดเพราะอำนาจของอวิชชาและตัณหา ต่อเมื่อนักภาวนาได้ลงมือภาวนาจนเห็นและเข้าใจ อวิชชาและตัณหา และ เห็นกลไกการทำงานของจิตอย่างท่องแท้แล้วนั่นแหละ จึงจะรู้ต้นเหตุของการโกรธอย่างแท้จริงได้ว่า เพราะนี่เอง อวิชชาและตัณหา คือ ต้นเหตุที่แท้จริง

พอเข้าใจอย่างแท้จริงเมื่อไร อวิชชาและตัณหา ก็จะหมดสิ้นไป แล้วอาการโกรธก็จะไม่สามารถเกิดได้อีก ผมจะยกตัวอย่างให้คุณเข้าใจ อย่างคนไทยถือเรื่องศรีษะเป็นของสูง คนอื่นจะมาจับเล่นลูบเล่นไม่ได้ ถ้ามีใครมาจับมาลูบเล่น คนไทยจะโกรธมาก ๆ แต่เมื่อคุณไปเข้าร้านทำผม ช่างทำผมเป็นไครก็ไม่รู้จัก สามารถมาจับมาเล่นที่ศรีษะคุณได้โดยคุณไม่โกรธ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ลองพิจารณาดูซิครับ

2..แต่พอเราฝึกทำตามวิธีของคุณที่บอกว่าจิตมันแวบไปทางไหน ก็หายใจแรง ๆ
ช่วงแรก ๆ ก็เหมือนจะโล่งประมาณว่าไม่ต้องพึ่งการกรี๊ดแล้วอะ
แต่เวลาผ่านไปซักพัก มันก็กลับมาหงุดหงิดเหมือนเดิม(ยิ่งกว่าตอนแรกอีกเหอะ) พอ+กับวันนี้โดนคนขัดใจที่ว่า เราอุตส่าห์จะช่วยหยิบของให้ ไม่ขอโทษไม่ว่า แต่ด่าเราซะงั้น มันทำให้เรารู้สึกจะไม่ไหวแล้วนี่สิ

ตอบ..ตอนที่คุณโล่งนะ มันเป็นความสงบของจิตครับ จิตที่สงบนะ มันจะไวกว่าปรกติ นี่คือเรื่องธรรมชาติของเขาเป็นอย่างนี้ พอมันไวกว่าปรกติ คุณจะรู้สึกได้ว่า คุณหงุดหงิดมากกว่าเดิมอีก เพราะจิตมันไวครับ มันจะเป็นอย่างนี้ ถูกต้องแล้ว แต่ถ้าคุณฝึกแล้วทำไมมันนิ่งๆ ทั้งวัน อย่างนี้มันเซื่องซึมนะครับ จิตมันไม่ไว นี่ฝึกผิดแล้วครับ คนส่วนมาก ไม่เข้าใจเรื่องนี้กัน ก็เลยคิดว่า ฝึกแล้วจิตต้องดี ต้องนิ่งทั้งวัน มันเป็นซะอย่างนี้ไป ถ้านิ่งทั้งวัน แสดงว่าไปกดจิตไว้แล้วโดยไม่รู้ตัว

แต่ถ้ามันไว นี่ซิดี การไวจากการรับรู้ความรู้สึกจะทำให้จิตคุณมีความสามารถเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าจิตของคุณไวสุด ๆ คุณจะเห็นอาการไหวตัวของจิตได้ทัน นี่แหละครับ ปัญญาของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

การฝึกฝนที่ถูกต้อง ยิ่งฝึกจิตยิ่งไว แต่มันไวของมันเองโดยธรรมชาติเพราะมาจากการฝึกฝน ใครก็ตามที่ฝึกได้ที่แล้ว จิตจะไวมาก เพียงมีการขยับนิดเดียวของจิต เขาจะสัมผัสการขยับนั้นได้ทันที นักภาวนาบางคนไม่เข้าใจ พอฝึกถูกแล้วกลับพบว่า ทำไมตนเองโกรธเก่งกว่าเดิม ทำไมกิเลสมากกว่าเดิมอีก ซึ่งแต่ก่อนน้อยกว่านี้นี่นา นี่เพราะไม่เข้าใจว่า จิตมันไวขึ้น มันเลยพบกิเลสได้มากขึ้น เหมือนคนที่ไม่มีกล้องจุลทรรศน์ เขามองเห็นพื้นสอาด แต่ถ้าเอากล้องจุลทรรศน์มาส่อง เขาจะเห็นเชื้อโรคยั่วเยี้ยไปหมดที่พื้นนั้น นี่คือความจริงว่า พื้นมีเชื่อโรค เพียงแต่เห็นมันหรือไม่ จิตไวก็เห็นกิเลสได้มากเหมือนมีกล้องจุลทรรศน์

แต่ในกรณีของคุณนั้น คุณยังอยู่ในสภาวะแห่งการฝึกฝนอยู่ จิตคุณถึงไวขึ้น แต่มันยังมีแรงของตัณหาทำให้คุณอารมณ์ค้างได้ง่าย วิธีการฝึกก็คือ พอคุณสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของคุณว่าเกิดขึ้นแล้ว ให้หาทางดับอารมณ์โดยเร็ว ให้หายใจเข้าแรงๆ มาก ๆ ทำถี่ ๆ แล้วจิตจะค่อยๆ ใสขึ้น
ซึ่งต้องใช้เวลาเหมือนกันสำหรับคนใหม่ เพราะแรงของตัณหายังสูงอยู่ แต่ถ้าต่อไป จิตมีกำลังมากขึ้น คุณจะดับอารมณ์ได้เร็วขึ้นเอง ต้องให้เวลากับตัวเองในเรื่องนี้

พอจิตดีขึ้นแล้ว ก็หาเรื่องให้จิตมันไหวอีก พอไหวตัวแล้ว ก็หายใจแรง ๆ ให้จิตมันไสอีก แล้วก็หาเรื่องจิตให้ไหวตัวอีก ให้ทำอย่างนี้สลับไปสลับมา การทำอย่างนี้ จิตจะไหว จะไส สลับไปสลับมา จะทำให้จิตมีโอากาสเห็นทันการไหวได้สักครั้งหนึ่งอย่างจะ ๆ การเห็นจะ ๆ นี่คือปัญญา แล้วปัญญาที่จิตจะ ๆ เห็นนี้ จะเป็นการพัฒนาคุณภาพของจิตให้สูงขึ้นได้

ผมจะบอกคุณอีกอย่าง ถึงแม้คุณฝึกไปมากแค่ไหน เห็นอาการของจิตได้ไวแล้วก็ตาม จิตมีคุณภาพพัฒนามากขึ้นแล้วก็ตาม อาการโกรธก็ยังมีอยู่เสมอ มันไม่หายไปง่าย ๆ หรอกครับ นอกจากจะไปกดมันไว้เท่านั้น แต่เมื่อคุณฝึกไปเรื่อย ๆ คุณจะดับมันได้เร็วขึ้นเรื่อย ๆ เอง แต่ก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ไม่ค้างนานเท่านั้น แต่เมื่อไร ที่คุณเห็นการทำงานของจิต เข้าใจอวิชชาและตัณหาเมื่อไร ความโกรธจะถูกทำลายสิ้นและจะไม่มีอีกเลยในยามนั้นมาถึง

3..พอหลังจากหายใจไปซักพัก มันดันทำให้รู้ว่า ไอ้สิ่งที่มันทำให้เราโกรธเนี่ย
มันมีโลภะชักใยอยู่ข้างหลังชัด ๆ เลยอะ
เหมือนว่าจริง ๆ แล้วจิตเรามันมีความอยากที่จะให้สิ่งที่มันมากระทบกับเราเป็นสิ่งที่เราพอใจไปหมดทุกอย่าง ตัวอย่างเช่น ทำดี มีน้ำใจกับใครซักคน เราก็อยากให้เขามองเห็นค่าในสิ่งที่เราทำมั่ง ไม่ชมไม่ว่า แต่อย่ามาด่าได้มั้ย หรือ อยากให้เพื่อนเป็นห่วงที่เราต้องลุยน้ำแบบที่เราเป็นห่วงเพื่อนที่บ้านโดนน้ำท่วมบ้าง ไม่ใช่เดินผ่านไปผ่านมาหน้าร้านแล้วถ่ายรูปสภาพความเป็นอยู่ของคนในร้านแบบเฮฮาสนุกสนานแบบที่เจอทุกวันอะ

แบบนี้เรียกว่ายังเดินหัวทิ่มหัวตำหรือเปล่าอะคะ

ตอบ..ที่คุณเขียนมานั้น คุณคิดเอาเองครับ ความรู้ในธรรมนั้น ไม่ต้องไปคิดเลย มันจะเป็นของมันเองโดยธรรมชาติ ดังเช่น ตัวอย่างช่างทำผมที่จับศรีษะคุณเล่น คุณไม่โกรธและไม่คิดอะไรด้วย มันจะเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าคุณพยายามจะคิดหาเหตุผล มันก็ได้อยู่ แต่เป็นจินตมยปัญญา อันนี้เพื่อความเข้าใจของตัวคุณเองว่า มันเป็นอย่างนี้นะ อย่างนี้นะ แต่จริง ๆ มันไม่จำเป็นครับว่าต้องไปคิด แต่ถ้าคิดก็ไม่ผิดนะครับ ทำได้เช่นกัน

4..ปล. ตอนรู้สาเหตุที่หงุดหงิดแทบเป็นแทบตายมาหลายวัน มันเหมือนข้างในมันเกิดการสว่างไปซักพักนึงเลยอะ ว่าแต่ การที่ปฏิบัติแล้วได้ผลดี คือต้องอยู่กับปัจจุบันให้ได้ใช่มั้ยคะ ประมาณว่าอนาคตข้างหน้าจิตมันจะมาปรุงแต่งอะไรอีกหรือเปล่าเราไม่รู้ แต่รู้คือตอนนี้โล่ง สบายใจ แบบนี้ถูกหรือเปล่า

ตอบ..การปฏิบัติที่ได้ผลนั้น จะมีอยู่ 2 อย่างคือ ความรู้ที่เป็นปัญญาและความสงบสุขของจิตใจ

แต่ถ้ามีเพียงความสงบสุขของจิตใจเพียงอย่างเดียว อย่างนี้ได้ผลเช่นกัน แต่ผลเป็นสมถะ ไม่เกิดการพัฒนาของปัญญาทางจิต เมื่อจิตไม่มีการพัฒนา การที่จะหลุดจากอำนาจของอวิชชาและตัณหา เพื่อจะสิ้นสุดภพชาติก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย

ผลที่ดีนั้น คือ ปัญญาของจิต ที่ต้องเข้าแลกด้วยการที่ให้จิตได้พบกับสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เป็นที่พอใจและไม่พอใจ ด้วยการพบกับสภาวะธรรมอย่างนี้บ่อย ๆ จนจิตเห็นทันสภาวะ เกิดปัญญารู้แจ้ง ทำลายอวิชชาและตัณหาลงได้เมื่อไร จิตจะพบกับความสงบสุขที่แท้จริงอย่างนิรันดร์

ดังนั้น การได้มาซึ่งปัญญาของจิต นักภาวนาต้องอดทนกับการพบกับสภาวะ โดยเฉพาะในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบใจ ต้องพบบ่อย ๆ พบมาก ๆ แล้วปัญญาจึงจะเกิดได้อีกชั้นหนึ่ง

การพยายามหลีกหนีซึ่งสภาวะแห่งการไม่ชอบใจ จิตนิ่งสนิทอยู่ตลอด ปัญญาของจิตจะไม่มีการพัฒนา

คำว่า อยู่กับปัจจุบันให้ได้ นี่เป็นสำนวนพูดในแวดวงการภาวนา แต่คุณต้องมองให้ออกว่า คำว่าปัจจุบัน ถ้าคุณกำลังโกรธอยู่ นี่ก็คืออยู่กับปัจจุบันเช่นกัน ถ้าคุณโกรธไม่ยอมหยุด คุณก็อยู่กับปัจจุบันใช่ใหมครับ

คนไทย ชอบสร้างคำศัพท์ขึ้นมาให้งงเล่น ฟังดูแล้วเหมือนเท่ห์ดี เช่น อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับรู้ หรืออะไรอีกมาก แต่ที่สำคัญก็คือ คนฟังต้องเข้าใจในความหมายว่า สิ่งที่เขาพูด ๆ กันนั้นที่แท้จริงนั้นคืออย่างไร

การปฏิบัติที่ตรงทางนั้น สุดท้ายนั้น จิตจะเป็นปรกติ ราบเรียบ จิตเกิดอะไรขึ้นก็รู้ เมื่อรู้แล้วไม่ยึดติด ปล่อยมันทิ้งไป แล้วมันก็จะสลายไปเองเป็นไตรลักษณ์ อาการอย่างนี้ จะเรียกชื่อว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่นี่คือหน้าตาของมันจริง ๆ ว่า ที่ดีมันจะเป็นอย่างนี้เอง


Create Date : 22 ตุลาคม 2554
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:34:30 น. 8 comments
Counter : 1414 Pageviews.

 


Rose Scraps, Rose Day Graphics, Rose Day Comments and Glitter Graphics





อรุณสวัสดิ์เช้าวันเสาร์ค่ะ คุณนมสิการ ยามนี้ไม่มีอะไรจะดีกว่าการส่งกำลังใจมาให้กันและกัน ต้อยขอมอบดอกไม้แทนความห่วงใยทั้งมวลค่ะ


โดย: KeRiDa วันที่: 22 ตุลาคม 2554 เวลา:8:51:34 น.  

 
ขอบคุณที่ตอบคำถามแบบจัดเต็มนะคะ



โดย: rommunee วันที่: 22 ตุลาคม 2554 เวลา:21:57:20 น.  

 
ขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

สาธุ สาธุ ค่ะ _/|\\_ _/|\\_ _/|\\_


โดย: Pan (Pan@CA ) วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:2:50:56 น.  

 
"ต้องเข้าแลกด้วยการที่ให้จิตได้พบกับสภาวะธรรมต่าง ๆ ที่เป็นที่พอใจและไม่พอใจ"

อันนี้คือความยากลำบากในการเดินทางสายตรงนี้ใช่ป่ะคะอาจารย์

อนุโมทนาสาธุคะ


โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.196.88 วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:19:45:43 น.  

 
ปรกติของคนมักจะชอบสุข เกลียดทุกข์
พอพบสุข ก็จะหลงทางไปกับความยินดี แล้วก็สัมผัสสภาวะไม่ได้
พอพบทุกข์ ก็อยากจะหลีกหนี นี่ก็หลงทางอีกเช่นกัน และ นี่คือความยากลำบากที่จะเพียงรู้แล้วเฉยๆ เข้าไว้ เพราะมันฝีนความรู้สึกของคน

ความเป็นกลางนั้น เพียงรู้สึกตัว แล้วรู้อยู่ จะชอบก็ได้ ไม่ชอบก็ได้
ขอให้เพียงรู้อยู่เท่านั้นเอง


โดย: นมสิการ วันที่: 24 ตุลาคม 2554 เวลา:23:53:33 น.  

 
ถึงคุณ จขบ. เรามีคำถามอีกแล้วอะ

ไม่รู้เราผิดปกติหรือเปล่าอะ
ช่วงนี้มีคนหลายคนที่ไปช่วยจนของ บริจาคของ
แล้วไปเจอมาว่าไอ้ของที่เขาบริจาคกันนี้กลับแปะชื่อนักการเมือง
(ที่บริจาคของมาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้)อยู่บนของพวกนั้นน่ะ
แล้วหลาย ๆ คนก็บ่น ๆ ในเฟสบุ๊คกันนะว่าเซ็ง

สำหรับเราถ้าเห็นแว้บแรกอาจจะรู้สึกว่า เห้อ อะไรเนี่ย
แต่แป๊บนึงเหมือนสติมันบอกว่า
"ก็ให้ไปแล้วนี่ จะอะไรกับมันอีก แล้วก็ปล่อยไปไม่คิดอะไร"

แบบนี้เรียกว่าเราผิดปกติมั้ยคะ


โดย: rommunee วันที่: 26 ตุลาคม 2554 เวลา:22:14:18 น.  

 
ไม่ผิดปรกติครับ อาการอย่างนี้ คือ จิตมันคิดครับ ซึ่งเป็นธรรมดา
การคิดแบบนี้ ถ้าเป็นภาษาชาวบ้าน ก็เรียกว่า จิตคิดว่า ช่างมันไม่เป็นร
พอจิตคิดว่า ช่างมันไม่เป็นไร จิตก็ปล่อย พอปล่อย ก็จะเบาบาง สบายใจ

การที่จิตคิดอย่างนี้ ยังเป็นระดับโลกียะ ทำให้เจ้าของจิตเกิดการปล่อยวางระยะหนึ่ง แต่ก็อาจกลับมาหงุดหงิดได้อีก ซึ่งยังไม่สามารถปล่อยได้เด็ดขาด

ถ้าจิตคิดอีก แล้ว คุณไปเห็นตัวความคิดที่มันโผล่วูบขึ้นมาได้ พอเห็นแล้ว ความคิดที่มันโผล่วูบขึ้นมา มันจะดับลงไปทันทีเป็นไตรลักษณ์ อย่างนี้จึงจะเป็นปัญญาในการภาวนาครับ

*****
การช่วยเหลือคนทุกข์ยากเป็นการสร้างกุศลในใจของเราเอง ขอให้รักษากุศลนี้ไว้ ส่วนนักการเมืองเอาผลประโยชน์ไปใช้ มันเป็นเรื่องของเขา ถ้าใจเรารักษากุศลไว้ให้พร้อมเสมอ เราก็ได้รับความอิ่มใจและผลในสิ่งที่เราทำลงไป


โดย: นมสิการ วันที่: 27 ตุลาคม 2554 เวลา:6:03:57 น.  

 
ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน


โดย: นมสิการ วันที่: 27 มกราคม 2555 เวลา:9:35:04 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.