รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
12 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
หลวงพ่อเทียนพูดว่า ดูความคิด นั้นจริง ๆ คือ อย่างไร

นี่คงเป็นปัญหาของภาษาไทย ที่เมื่อไปใช้กับภาษาบาลีในพุทธศาสนา
พอเรา ๆ ท่าน ๆ แปลออกมา ก็จะใช้ภาษาไทยแปลความหมายกันแทนที่จะใช้บาลีแปล
ผลก็คือ เรา ๆ ท่าน ๆ เข้าใจไม่ตรงต้นทางทันที

ในปฏิจสมุปบาทสายเกิดได้เริ่มขึ้นว่า

อวิชชา เป็นปัจจัย ให้เกิด สังขาร

แล้วก็มีคนแปลออกมามา สังขาร คือ ความคิด

พอเรา ๆ ท่าน ๆ ไปอ่านเข้า ก็เข้าใจครับว่า ความคิด นี้คืออย่างไร
เพราะภาษาไทยเราก็มีคำว่า ความคิด เรา ๆ ท่าน ๆ ก็จะเข้าใจก็คือ
ความคิดนะซิ คิดเรื่องโน่น เรื่องนี้

ซึ่งจริง ๆ ไม่ผิดครับที่เข้าใจอย่างนั้น แต่ถึงแม้ว่า ไม่ผิด แต่ก็เข้าใจได้ไม่ครบครับ

เพราะคำว่า สังขาร ในปฏิจสมุปบาทนั้น ความคิดที่เรา ๆ เข้าใจกันเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
เท่านั้น

ถ้างง ผมจะเปรียบเทียบให้ท่านเห็นภาพ

เมื่อชายหญิงสมสู่กัน เชื้อตัวผู้เข้าผสมกับไข่อ่อนแล้ว นี่คือการปฏิสนธิ หรือ การเริ่มต้นการเกิดของเซลล์
ผมถามท่านว่า ตอนนี้ ถือว่า เป็นเด็กเกิดแล้วหรือยัง
เพราะคนไทยจะเข้าใจกันว่า เวลาที่เด็กเกิด คือ เวลาที่เด็กไหลออกจากท้องมารดา
ออกมา ร้องอุแว้ อุแว้ ครั้งแรก นี่คือเวลาที่เด็กเกิด

ในขบวนการเด็กเกิดหลังจากเชื้อตัวผู้เข้าผสมกับไข่แล้ว ต่อมาก็จะมีการเจริญเติบโตในท้องมารดา เป็นระยะไป มีการพัฒนารูปร่าง ร่างกาย จนได้เวลาก็ออกมาจากท้องมารดาอย่างที่เรา ๆ ท่าน ๆ เห็นกันทั่วไป

ในขบวนการของสังขารในปฏิจสมุปบาทก็เช่นกัน เริ่มจาก อวิชชา ที่ทำให้จิตไปสร้างรูปขึ้นมาที่เรียกว่า มโน

อันความคิด คือ จิตตสังขารเกิดใน มโน นั้นเริ่มจากเล็กจนเติบใหญ่เป็นเรื่องราวอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา นี่คือ ขบวนการเกิดของความคิด เริ่มจากเล็กสุดก่อนเกิด คือ จาก มโน แล้วโตเป็นความคิดอีกทีหนึ่ง (ขอให้เทียบกับ ไข่ที่ถูกผสม จนโตเป็นเด็ก )

ในขบวนการภาวนานั้น ถ้าจะให้สมบูุรณ์ในเรื่อง สังขาร นี้ นักภาวนาต้องรู้จัก ตั้งแต่ต้นทาง คือ เกิด มโน ขึ้น แล้วต่อไปโตเป็นความคิด

แต่ มโน นั้นเห็นยากมาก เพราะละเอียดมาก ส่วนความคิดนั้นหยาบมาก เห็นได้ง่าย

ที่หลวงพ่อเทียนท่านสอนให้รู้กาย พอรู้กายแล้ว เห็นความคิดได้ ท่านก็สอนให้ดูความคิดต่อไป
ที่ท่านสอนอย่างนี้ ถูกต้อง ดีแล้ว แต่ถ้าคนที่ไม่เข้าใจ ก็จะตีความคำพูดของหลวงพ่อผิดไปทันที

คนที่ฝึกสายหลวงพ่อเทียนนี้ มักตีความที่หลวงพ่อเสอนว่า การเริ่มต้นคือการรู้กาย คือการรูุ้กายที่กำลังนั่ง กำลังเคลื่อนมือไปมาตามแบบหลวงพ่อ ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิดครับ ถ้าเข้าใจแบบนี้ ฝึกอย่างไร ก็ไม่ก้าวหน้าต่อไปได้เลย เพราะผิดตั้งแต่ต้นทางแล้ว จะก้าวหน้าไปขั้นกลางได้อย่างไรกัน

แล้วรู้กายแบบหลวงพ่อเทียนที่ถูกเป็นอย่างไร...

ผมจะเฉลยครับว่า การรู้กายแบบหลวงพ่อเทียน คือ การรู้สึกถึงอาการเคลื่อน อาการไหว อาการสัมผัสร่างกาย อันเนื่องจากการเคลื่อนมือ+การลูบลำตัว ไม่ใช่การไปรู้ที่ร่างกายที่กำลังนั่ง กำลังเคลื่อนมือไปมา ท่านเห็นความแตกต่างกันไหมครับ ถ้าไม่เข้าใจ มองไม่ออก ให้อ่านซ้ำหลาย ๆ เที่ยว แล้วคิดครับว่า ต่างกันอย่างไรใน 2 แบบที่ผมเขียนไว้ ถ้าท่านยังตีไม่ออก ก็อย่าไปไปฝึกต่อครับ เพราะท่านไม่เข้าใจ ฝึกไปก็ผิดอยู่ดี

ในขบวนการทำงานของจิตนั้น การรู้ความรู้สึกถึงอาการเคลื่อน อาการไหว อาการถูกสัมผัส นั้น ก็คือ การรู้ลงไปที่ มโน นั้นเอง เพราะอาการเหล่านี้ ล้วนเกิดใน มโน ทั้งสิ้น

ถ้าผมพูดอีกอย่าง ก็คือ การรู้สึกลงไปที่ มโน นั้น หลวงพ่อเทียนสอนให้ท่านดูจิตครับ
เพราะท่านสอนให้รู้สึกเข้าไปที่ มโน นั้นเอง

การรู้ความรู้สึกที่ มโน แบบนี้ จะทำให้เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ตั้งมั่นขึ้นทีละน้อย ทีละน้อย
พอสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นมากขึ้นนิดหน่อย มันจะสามารถสู้กับตัณหาที่อ่อน ๆ ได้
พอมันสู้ตัณหาอ่อน ๆ ได้ พอมีความคิดเกิดที่ไม่แรงนั้น จะทำให้นักภาวนาสามารถเห็นความคิดที่เกิดได้ ซึ่งพอเห็นได้ หลวงพ่อเทียนท่านสอนว่า ให้ไปดูความคิด ก็คือ ดูที่เดิมที่ มโน นั้นแหละครับ ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งการดูอะไรเลย เพราะ ทั้งความรู้สึกของร่างกาย ความคิด ต่าง ๆ ล้วนเกิดใน มโน ทั้งสิ้น

หลวงพ่อเทียนท่านสอนไม่ได้เปลี่ยนอะไร เพียงแต่พูดกันคนละอย่าง แต่มันก็คือการรู้ในสิ่งเดียวกัน

พอท่านนักภาวนาดู มโน ไป กำลังจิตยิ่งตั้งมั่นมากขึ้น พอตั้งมั่นมากขึ้น ทีนีเกิดญาณปัญญา ทำให้เห็น ตัวมโน ได้ ซึ่งก็คือ ที่เดียวกันอีกนั่นแหละ ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งไปเลย

พอนักภาวนาเห็น มโน ได้ ฝึกต่อไปอีก กำลังจิตมากขึ้นอีก ปัญญาญาณมากขึ้น ก็เข้าใจความไม่เที่ยงของ มโน ได้ ซึ่งจะเข้าใจในสภาวะแห่ง สญญตา ซึ่งก็คือ การดูที่เดิมอีกไม่เปลี่ยนตำแหน่ง

สรุปแล้วหลวงพ่อเทียนท่านสอน ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็คือ การดูการรู้สึกเข้าไปใน มโน ครับ
ถ้าท่านเข้าใจวิธีการของหลวงพ่อเทียนละก็ ท่านจะพบธรรมอย่างแน่นอน เพราะธรรมทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้น ดับไป ใน มโน ทั้งสิ้น

ในการสอนสติปัฏฐาน 4 การรู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าท่านเข้าใจ ก็คือ การรู้เข้าไปที่ใน มโน ดังนั้น การรู้ไม่ว่าที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ก็คือ สิ่งเดียวกัน เพียงแต่ว่า พูดกันคนละอย่าง ให้เข้าใจตามสิ่งที่เกิดใน มโน ว่า สิ่งนั้น เป็น กาย หรือ เป็น เวทนา หรือ เป็น จิตปรุงแต่ง

คนไม่เข้าใจ ก็มีนั่งเถียงกันว่า อย่างโน้นดีกว่า อย่างนี้ดีกว่า อย่างนี้ลัดสั้นกว่า
ทั้ง ๆ ที่ถ้าเข้าใจถูก ทุกสิ่งในอาการใน มโน คือสิ่งเดียวกัน
เพียงแต่สิ่งที่ต่าง มีอย่างเดียว ก็ภาพที่แสดงออกทางกายภาพภายนอกที่คนใช้ตาธรรมดามองเห็นว่าไม่เหมือนกัน

หมายเหตุ

1. ผมจะไม่เขียนว่า ดูที่จิต เพราะ ในการภาวนาเมื่อได้ผลใหม่ ๆ จิตจะแยกตัวออก เป็น จิตและมโน โดยที่ตัวจิตเป็นผู้ดู ส่วน ตัว มโน คือสิ่งที่จิตเข้าไปดู เข้าไปเห็น

2. ความแตกต่างระหว่าง ฟุ่งซ่านและปัญญา

ถ้าคิดไม่หยุดในเรื่อง //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=02-2012&date=10&group=15&gblog=98
ถ้าเห็นความคิดได้ว่าจิตคิดไม่หยุด นี่เป็นปัญญาของจิต
แต่ถ้าไม่เห็นความคิด นี่เป็นความฟุ่งซ่าน






Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2555 19:40:50 น. 2 comments
Counter : 1327 Pageviews.

 
ท่านที่จะเข้าร่วมกิจกรรม ขอให้นำเสื้อยืดมาด้วย 1 ตัว
ถ้าจะให้ดี ขอให้เป็นตัวใหญ่ ๆ สักหน่อย จะเอาของพี่ชาย ของพ่อ หรือ ของใครก็ได้
ที่ตัวใหญ่กว่าที่ท่านใช้อยู่

ผมจะให้ท่านสวมทับ และ ถอดออก เสื้อตัวที่ท่านกำลังใส่อยู่ เพื่อผมจะได้ชี้ให้ท่านเห็นสภาวะของจิตของท่าน ในการนี้ ท่านอาจจะต้องทดลอง สวม-ถอด สวม-ถอด หลาย ๆ ครั้ง
เพื่อความเข้าใจจากการเห็นของจริง

พอท่านรู้จักสภาวะจิตแล้ว ก็ไม่ต้องใช้อีก


โดย: นมสิการ วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:19:28:13 น.  

 
ทำไมหลวงพ่อเทียนไม่สอนให้ดูความคิดตั้งแต่แรกเลยครับ

ตอบ.. เพราะถ้าเป็นมือใหม่ กำลังสัมมาสมาธิยังไม่มีพอ ถ้าความคิดเกิดขึ้น แรงของตัณหาจะดึงจิตเข้าไปผสมกับความคิด ทำให้ไม่สามารถเห็นความคิดได้

ที่หลวงพ่อเทียนสอนให้รู้กายก่อน เพราะอาการทางกายในยามปรกติของคนทั่วๆ ไป มันไม่รุนแรงมากนัก กำลังลากดึงของตัณหาจึงไม่มาก ทำให้คนทั่ว ๆ ไปสามารถรับรู้อาการทางกายได้ การรับรู้อาการทางกายอย่างที่หลวงพ่อเทียนสอน จะทำให้เกิดการเพิ่มพลังทางสัมมาสติ สัมมาสมาธิขึ้น พอกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิเพิ่มขึ้นแล้วนั้นแหละ จึงสามารถเห็นความคิดได้ในลำดับต่อไป


โดย: นมสิการ วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:6:07:47 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.