การภาวนานั้นไม่สำคัญว่ารู้อะไร แต่ทีสำคัญคือรู้แล้วละได้หรือไม่ต่างหาก
บทความนี้ถือว่าเป็นบททบทวน ทวนสอบการปฏิบัติของท่านก็แล้วกัน เพราะผมเขียนเรื่องแบบนี้มาก็หลายตอนแล้ว ท่านอ่านแล้วอาจจะเบื่อหน่าย เนื่องจากรู้แล้วและไม่ใช่ของใหม่ที่ยังไม่รู้
แต่สิ่งหนี่งที่นักภาวนามักจะพลาดอยู่เสมอ ๆ ก็คือเรื่องนี้แหละครับ พอนักภาวนาฝึกฝนไป ก็จะลืมเรื่องนี้เสียสนิท แล้วใจเกิดความอยากขึ้นมาในใจ เอ..มโน เป็นอย่างไรหนอ จิตรู้ เป็นอย่างหนอ การแยกตัวออกเป็นจิตรู้และสิ่งที่ถูกรู้เป็นอย่างไรหนอ นิพพานเป็นอย่างไรหนอ อยากจะเห็น อยากจะพบ เมื่อเกิดความอยาก ก็จะพยายามเพ่งหา พยายามคิดเอาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ใช่หรือไม่
เมื่อเกิดความอยากที่จะรู้ แล้วไปเพ่งหา อย่างนี้ก็เป็นการสร้างตัณหาขึ้นในจิต ซึ่งจะไปย้อนศรกับคำสอนของพระพุทธองค์ในอริยสัจจ์ 4 ข้อที 2 ทีว่า ตัณหา เหตุให้เกิดทุกข์ ให้ละเสีย
ผมจะขยายคำว่า .ละ. นี้เป็นอย่างไร.....ให้ท่านเข้าใจ
ขอให้ท่านศึกษาให้ดี เพื่อจะได้เข้าใจ
คำว่า .ละ. คือ
****การที่จิตไม่เกาะติดกับสิ่งที่ถูกรู้/จิตไม่ตามสิ่งที่ถูกรู้ไป****
เมื่อจิตไม่เกาะติด ไม่ตามไป ผลก็คือ จิตจะเป็นอิสระจากที่ไปรู้อะไรเข้า เมื่อจิตเป็นอิสระได้ด้วยตัวของมันเองอย่างสิ้นเชิงเมื่อไร นั้นคือ อำนาจของตัณหาได้หมดสิ้นลงไปจากจิตแล้ว ในสภาวะที่จิตหมดสิ้นตัณหา นี่คือ การถึงแล้วซึ่งนิโรธ หรือ นิพพาน อันเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ 3 ในอริยสัจจ์ 4
ท่านเห็นผลสุดท้ายของการปฏิบัติแล้วใช่ใหมครับ คือ การทำลายตัณหาให้สิ้นซากเอง ดังนั้น การฝึกฝนภาวนา ถ้าท่านกลับไปสร้างตัณหาขี้นมาเมื่อไร ก็เท่ากับท่านไปกำลังเลี้ยงตัณหาให้อ้วนพี
**ตัวอย่างการเกาะติดในสิ่งที่จิตไปรู้เข้า**
เมื่อเดินจงกรม ก็ส่งจิตไปจับการกระทบที่เท้า อย่างนี้ จิตไปเกาะติดการกระทบที่เท้า
เมื่อทำอาณาปานสติ ก็สิ่งจิตไปจับลมกระทบที่ปลายจมูก อย่างนี้ จิตไปเกาะติดที่ปลายจมูก
เมื่อเคลื่อนมือแบบหลวงพ่อเทียน ก็สิ่งจิตไปจับการเคลื่อนที่มือ อย่างนี้ จิตไปเกาะติดที่มือ
เมื่อบริกรรม ก็ส่งจิตไปจับเกาะที่คำบริกรรม (มีผู้เคยถามผมว่า บริกรรมทำอย่างไร ผมไม่ตอบเขาเพราะการใช้คำบริกรรมมีคำสอนในหลายสำนักดัง ๆ เสียด้วย ถ้าผมเขียนตอบ ก็จะไปกระทบกระเทือนถึงสำนักเหล่านั้น แต่ขอให้ท่านทราบว่า การบริกรรมนั้นไม่ใช่ง่ายนะครับสำหรับมือใหม่ เพราะมือใหม่ เวลาบริกรรม จิตก็จะไปเกาะคำบริกรรมทันที ผมเขียนเพียงแค่นี้ก็แล้วกัน ถ้ามือใหม่เลี่ยงคำบริกรรมได้ ผมก็แนะนำให้เลี่ยงครับ แต่ถ้ามือเก่า บริกรรมแล้วจิตไม่เกาะติดคำบริกรรมได้แล้ว จะบริกรรมไปก็ไม่มีปัญหาครับ )
*******
ในการฝึกฝนนั้น ผมแนะนำกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ที่ฝึกฝนการภาวนาด้วยกฏ 3 ข้อ การภาวนาด้วยกายานุปัสสนาสติปัฏฐานแบบฝึกให้จิตรู้กายแต่ไม่เกาะติดการรู้ คือ เพียงรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติ แล้วให้ รู้แล้วละ รู้แล้วละ..อย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี่จะเป็นการสร้างสัมมาสติให้ตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ การฝึกรู้แล้วละไปทีละนิดอย่างนี้ กำลังสัมมาสติก็จะค่อย ๆ เพิ่มและเติบโตขึ้นทีละนิด เมื่อกำลังสัมมาสติเพิ่มขึ้นผลก็คือ กำลังของตัณหาจะลดลงไป ซึ่งเป็นปฏิภาคผกผันกัน
การฝึกด้วยการรู้กาย จะเป็นสภาวะธรรมที่ง่ายต่อการเข้าใจและเรียนรู้ เพราะเป็นสิ่งพื้น ๆ ที่คนทั่วๆ ไปรู้ ๆ กันอยู่ แต่เมื่อฝึกฝนไปอย่างถูกต้อง กำลังสัมมาสติเพิ่มขึ้น เกิดสัมมาญาณ นักภาวนาจะพบกับสภาวะที่คนธรรมดาไม่รู้จักกัน อธิบายได้ยากยิ่ง ไม่รู้จะบอกอย่างไร เรียกก็ไม่ถูกว่าชื่ออะไร ซึ่งสภาวะแบบนี้ นักภาวนาก็ภาวนาแบบเดิม คือ รู้แล้วละ เช่นกัน มันจะชื่ออะไรก็ช่าง เป็นอะไรก็ช่าง มันจะมาหรือไม่มาก็ช่าง รู้แล้วละ อย่างเดียวเท่านั้น แล้วทุกอย่างเขาจะดำเนินไปตามธรรมชาติของจิตเอง
****ท่านจะเห็นได้ว่า ว่าการทำลายตัณหาได้นั้น จะมาจากสัมมาสติที่มีกำลังและสัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น ถ้าท่านฝึกสัมมาสติผิดพลาด จะไม่มีทางทำลายตัณหาได้เลย ******
ผลหลาย ๆ อย่างในการภาวนา ถ้าใครไปยังไม่ถึง ก็สุดจะคาดเดาได้ว่าทีแท้จริงนั้น ผลนั้นเกิดจากเหตุอะไร จึงทำให้มีคำสอนออกมามากมายที่พยายามจะให้เข้าถึงผลการภาวนาโดยไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระพุทธองค์ในเรื่องของอริยสัจจ์ 4 เมื่อไม่สอดคล้อง ยิ่งภาวนาไป ก็ยิ่งห่างจากพระพุทธองค์มากขึ้นทุกทีไป
****** หมายเหตุ นักภาวนาบางท่านก็อาจเรียกว่า รู้แล้ววาง ความหมายก็เช่นเดียวกับ รู้แล้วละ
Create Date : 01 กันยายน 2554 |
|
6 comments |
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:45:04 น. |
Counter : 1095 Pageviews. |
|
|
|