ฝึกกายานุปัสสนาอย่างเดียว จะรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมได้จริงหรือไม่
ท่านผู้อ่านที่ติดตามอ่านเรื่องที่ผมเขียน จะเห็นว่า ผมเน้นแต่การฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยผมไม่พูดถึงการฝึก เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ ไม่พูดถึงวิธีฝึก จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ไว้เลย
แล้วการฝึกแต่กายานุปัสสนาสติปัฏฐานเพียงอย่างเดียว จะทำให้รู้แจ้งแทงตลอดในธรรมได้จริง ๆ หรือไม่ ในเมื่อสติปัฏฐาน 4 ก็มีการกล่าวถึง 4 ฐานใหญ่ ที่เรียกโดยย่อว่า กาย เวทนา จิต ธรรม
ท่านที่สงสัยแบบนี้ เป็นเรื่องปรกติ ซึ่งแต่ก่อน ผมก็เคยสงสัยแบบนี้เหมือนกัน
ท่านที่สงสัย เป็นเพราะว่า ความคุ้นเคยทางโลก ที่แยกแยะเป็นเรื่อง ๆ เฉพาะ ๆ ไป และคำสอนการฝึกที่มีอยู่กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันว่า การทำสมาธิ คือ การฝึกเจาะจงรู้เพียงอย่างเดียวอย่างแนบแน่น เช่น เมื่อฝึกเพื่อจะรู้ลมหายใจ ก็จะรู้แต่ลมหายใจอย่างเดียว ไม่ต้องไปรู้อย่างอื่นเลย นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดความสงสัยอย่างนี้ขึ้นมาได้
ถ้าท่านเปิดพระไตรปิฏกเรื่่องสติปัฏฐาน 4 สูตร ( //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=09-2009&date=01&group=4&gblog=3 )ซึ่งในพระสูตรได้กล่าวถึงหัวใจหลักของการฝึกสติปัฏฐานไว้ว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา ซึ่งแปลว่า มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
ในธรรมชาติที่เป็นความจริงของจิตใจ เมื่อท่านกำลังอยู่ในสภาวะแห่งการมีสัมปชัญญะ มีสติ พร้อมอยู่ การรู้ถึงฐานทั้ง 4 ของสติปัฏฐาน กาย เวทนา จิต ธรรม จะปรากฏขึ้นให้ท่านได้สัมผัสได้ทันทีทั้ง 4 ฐานพร้อม ๆ กัน
ไม่ใช่ว่า สภาวะธรรมจะปรากฏขึ้นทีละฐานแล้วแต่ท่านจะเลือกรู้ เช่น ท่านฝึกกายานุปัสสนา ท่านก็รู้เพียงกาย ท่านฝึกเวทนานุปัสสนา ท่านก็รู้เพียงเวทนา ท่านฝึกจิตตานุปัสสนา ท่านก็รู้เพียงจิต มันไม่ใช่อย่างน้้นเลยครับ
ถ้าท่านฝึกแล้วเลือกรู้ในฐานตามที่ท่านกำลังต้องการจะรู้ ท่านทำได้ครับ แต่มันเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของสติปัฏฐาน 4 คือเป็นเพียง สมถะภาวนา ที่ไม่่ใช่สติปัฏฐาน 4 เต็มใบ ที่จะต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนาพร้อม ๆ กันไปในคราวเดียวกัน
ขอให้ท่านสังเกตตัวเองดูก็ได้ ในยามที่ท่านเพียงรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติอยู่ ตาท่านก็มองเห็นได้ใช่ใหม ขณะเดียวกัน หูุท่านก็ได้ยินเสียงได้อยู่ใช่ใหม ในขณะเดียวกัน ถ้ามีลมพัดมาโดนร่างกายท่าน ท่านก็จะรู้สึกได้ถึงการสัมผัสได้ใช่ไหม ถ้าท่านกำลังรับประทานอาหารอยู่ ท่านยังสามารรับรู้รสอาหารได้อีกใช่ใหม และถ้าอาหารอร่อย ท่านก็ยังรับรู้ได้ถึงความอร่อยได้ใช่ใหม นี่เป็นการพิสูจน์ที่ดีถึงการรับรู้สภาวะที่เกิดพร้อม ๆ กันในยามที่ท่านเพียงมีความรู้สึกตัวที่เป็นธรรมชาติอยู่ในชีวิตประจำวัน นี่แหละครับ คือการเจริญสติปัฏฐาน ที่เป็นการเจริญตามพระไตรปิฏกที่ว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา และ รู้สภาวะได้พร้อม ๆ กันหลาย ๆ อย่างที่เลือกรับรู้ไม่ได้เลย
ท่านอาจโต้แย้งผมที่ว่า สิ่งที่ผมเขียนข้างบน ใคร ๆ ก็รู้อยู่แล้ว ถ้าเป็นสติปัฏฐานอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงไม่เห็นธรรมอย่างแท้จริง
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา ของท่านมันไม่ต่อเนื่องอย่างเต็มที่ครับ และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ปรกติ คนทั่ว ๆ ไป มักมีความคิดและความอยากในจิตใจ ทำอะไรก็ทำด้วยความคิดและความอยาก ทำให้คนไม่สามารถเข้าถึงธรรมได้อย่างแท้จริง
การฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 นั้น ที่สำคัญคือ อาตาปี สัมปชาโน สติมา นี่คือสิ่งที่ต้องมีอยู่เนือง ๆ ส่วนกายานุปัสสนานั้นเป็นเพียงเครื่องมือที่นำมาใช้ประกอบกับ อาตาปี สัมปชาโน สติมา เพื่อให้เกิดสัมมาสติ สัมมาสมาธิทีตั้งมั่น เมื่อสัมมาสมาธิตั้งมั่นแล้ว ท่านก็จะรู้เห็นธรรมได้อย่างแท้จริง
ท่านจะเห็นว่า ผูุ้ที่เข้าใจเรื่องการฝึกกายานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น เขาใช้กายเป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มกำลังจิต คือ สัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น ไม่ใช่เป็นการรู้กายล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว ซึ่งคนส่วนมาก มักเข้าใจว่า กายานุปัสสนา นั้นคือ การฝึกรู้กายล้วน ๆ เพียงอย่างเดียว
ขอให้ท่านลองอ่านทบทวนในเรื่องนี้ และทำความเข้าใจในจุดมุ่งหมายแห่งสติปัฏฐาน 4 ให้ดีว่า การฝึกฝนสติปัฏฐาน 4 นั้น ต้องการอะไร เพื่ออะไร แล้วผลจึงจะออกมาให้ท่านเห็นธรรมได้รู้แจ้งแทงตลอด
ถ้าท่านยังมีข้อสงสัยอยู่ ผมแนะนำให้ท่านเข้าร่วมกิจกรรมครั้งที่ 3 วันที่ 20 พฤศจิกายน 2554 ท่านสามารถเข้าไปอ่านได้ที่ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=09-2011&date=18&group=14&gblog=6
หมายเหตุ 1..การรู้ของจิตนั้น ในตำรากล่าวไว้ว่า จิตรู้ได้ครั้งละอย่าง แต่ในการฝึกฝนนั้น นักภาวนาสามารถรู้ได้พร้อม ๆ หลาย ๆ อย่าาง กล่าวคือ ตาก็มองเห็น หูก็ได้ยิน จมูกก็ได้กลิ่น ลิ้นก็รู้รสได้ กายก็รู้สัมผัสได้ นี่คือการรู้ตัวทั่วพร้อมในคราวเดียวกัน
ในการฝึกฝน ขอให้ท่านหยุดตำราไว้ก่อน ถ้าท่านนำตำรามาใช้งานด้วย ท่านก็จะถึงทางตันในการฝึกฝนให้เจริญก้าวหน้าในสติปัฏฐาน
2..ในการรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมนั้น สัมมาสติ สัมมาสมาธิที่ตั้งมั่น จะควบคุม ตัณหาและทิฐิ ในจิตใจท่าน เมื่อตัณหาและทิฐิ ถูกควบคุมได้เมื่อไร สัมมาญาณจะทำให้นักภาวนาจะรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมได้เอง
ท่านจะเห็นว่า อาตาปี สัมปชาโน สติมา นั้น กำลังจิตที่ถึงพร้อมด้วยสติและปัญญา จะควบคุม ตัณหาและทิฐิ เมื่อการควบคุมสำเร็จ ธรรมก็จะปรากฏเองและสัมผัสได้ด้วยสัมมาญาณ ซึ่งไม่ใช่ง่ายแต่เป็นไปได้ ถ้าเข้าใจคำสอนในสติปัฏฐานสูตรอย่างท่องแท้ เมื่อเข้าใจธรรม ก็จะเข้าใจอริยสัจจ์ 4 อันเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ได้ประกาศไว้เป็นเสาหลักแห่งพุทธศาสนา
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
Create Date : 24 กันยายน 2554 |
|
5 comments |
Last Update : 27 มกราคม 2555 9:41:45 น. |
Counter : 1331 Pageviews. |
|
|
|