ปริยัติไม่ศึกษาได้ไหม ให้ลงมือปฏิบัติเลยใช่ใหม่
ปริยัติไม่ศึกษาได้ไหม ให้ลงมือปฏิบัติเลยใช่ใหม่...
ถ้าท่านถามผมดังกล่าว ผมจะตอบตรง ๆ เลยว่า ไม่ใช่ครับ...
ท่านนักภาวนาครับ ท่านสมควรศึกษาปริยัติให้เข้าใจก่อน แล้วลงมือปฏิบัติให้ถูก ให้ตรง เพื่อเป็นการทวนสอบภาคปริยัติครับว่าเป็นจริงดังนั้นแน่ ๆ
ที่ผมบอกว่า ท่านสมควรศึกษาปริยัติก่อนนั้น ผมหมายความว่า ท่านสมควรศึกษา ปริยัติให้เพียงพอต่อความเข้าใจในสิ่งที่ท่านกำลังต้องการจะพิสูจน์ ท่านไม่จำเป็นต้องไปศึกษาปริยัติที่มีอยู่ทั้งหมดในตำราที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธศาสนา
ที่ว่าพอเพียงนั้นแค่ไหนกัน...
ในปฐมเทศนาของพระพุทธองค์ต่อปัญจวัคคีย์ พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนแก่เหล่าปัญจวัคคีย์ว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้นไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สมควรแล้วหรือที่จะยึดว่า นั่นเป็นเรา นั่นเป็นของเรา
นี่คือ คำสอนอันดับแรกที่พระพุทธองค์ทรงสอน
แล้วต่อมา พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนเรื่องความเป็นอนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร นี่เป็นคำสอนที่สองครับ
สิ่งที่ท่านนักภาวนาสมควรศึกษาภาคปริยัติ ก็คือ 2 คำสอนนี้ และ สิ่งที่ท่านนักภาวนาสมควรจะ พิสูจน์ให้เห็นด้วยจิตก็คือ 2 คำสอนนี้ครับว่าเป็นจริงดังนั้นจริง ๆ
สิ่งที่ผมเขียนใน blog นี้ ก็คือ แนวทางการปฏิบัติตามมรรค 8 เพื่อการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ เพื่อให้เกิดจิตตั้งมั่นขึ้น เพราะเมื่อจิตตั้งมั่นมากขึ้นแล้วท่านนักภาวนาก็จะพบเห็นความจริงของคำสอน 2 เรื่องข้างบนที่ผมเขียน
เมื่อจิตเห็นความจริงว่า คำสอนทั้ง 2 นี้จริง จิตท่านก็จะเกิดภาวนามยปัญญา จบกิจในการภาวนา ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นในทุกข์อีกต่อไป
ในการเดินทาง ท่านต้องรู้เป้าหมายที่ต้องเดินให้ตรงก่อน แล้วจึงออกเดินด้วยแนวทางที่เข้าสู่เป้าหมายนั้นได้ ท่านจึงจะถึงปลายทางได้
ถ้าท่านไม่รู้เป้าหมาย ท่านจะไปถึงเป้าหมายได้อย่างไรกัน ถ้าท่านเดินผิดทาง ท่านก็ไม่ถึงเป้าหมายอีกเช่นกัน
คำว่า มิจฉาทิฐิ นั้น คือ การที่ยังไม่เห็นชัดในคำสอนทั้ง 2 ว่าเป็นจริง ๆ อย่างนั้น อย่างแน่นอน การเพียงอ่านในตำรามาก็ยังไม่กระจ่างชัดพอ มีแต่เพียงการเห็นจริงด้วยจิตที่มีกำลังตั้งมั่นด้วยสัมมาสมาธิเท่านั้น จึงจะเห็นได้ชัดแจ้ง เมื่อเห็นได้ชัดแจ้งด้วยจิตที่ตั้งมั่นด้วยสัมมาสมาธิแล้ว สัมมาทิฐิก็จะปรากฏขึ้นเป็นปัญญาให้แก่นักภาวนาเอง
ด้วยกำลังความตั้งมั่นแห่งสัมมาสมาธิ จิตจะเห็นอาการของขันธ์นั้นไม่เที่ยง แปรปรวน เมื่อจิตเห็นได้อย่างนั้น ก็จะเกิดการไม่ยึดติดในขันธ์ และเกิดปัญญาเห็นจริงว่า ขันธ์นั้นไม่เที่ยง แปรปรวน มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอย่างนี้จริง ๆ เป็นตามคำสอนจริง ๆ นี่คือการพิจสูจน์คำสอนเรื่องที่ 1 ว่าเป็นจริงอย่างแน่แท้
เมื่อนักภาวนาได้พิสูจน์คำสอนเรื่องที 1 ได้แล้ว กำลังความตั้งมั่นในสัมมาสมาธิก็มีมากพอในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มากพอที่จะตั้งมั่นได้ที่จะพิสูจน์เรื่องที่ 2 กันต่อไป
การพิสูจน์เรื่องที่ 2 เป็นเรื่องยากกว่าเรื่องแรกมาก ที่ว่ายาก เพราะนักภาวนาที่ไม่เคยเห็นสภาวะแห่งสุญญตา จะไม่เข้าใจว่าสภาวะสุญญตานี่เป็นอย่างไรกันหนอ และการศึกษาเรื่องนี้ในตำรา ก็มีอยู่น้อยนิดหรือแทบหาอ่าน หาฟังได้ยากยิ่ง นักภาวนาต้องใช้ความสังเกตของตนเอง สังเกตสภาวธรรมของขันธ์ที่เห็นได้แล้วว่า ตอนที่ขันธ์มันดับไปนั้น มันเป็นอย่างไรกัน ถ้าท่านสังเกตเห็นได้แบบไม่ตั้งใจจะเห็น ท่านจะพบกับสภาวะแห่งสุญญตา ถ้าท่านเห็นมันได้เพียงครั้งเดียว ท่านก็จะเห็นมันได้เรื่อย ๆ เอง และจะเข้าใจในอนัตตาลักขณะสูตร และ อริยสัจจ์ 4 ปฏิจสมุปบาท อย่างหมดเปลือก ถ้าท่านยังสังกตมันไม่ได้ มันก็คงปรากฏอยู่แล้ว แต่ท่านยังมองไม่ออกเอง ซึ่งต้องรอเวลา รอจังหวะ นาทีทองนี้จะเกิดเอง
นี่คือภาคปริยัติและภาคปฏิบัติที่ต้อง ปรยัติต้องมาก่อน เพื่อให้รู้จัก ให้เข้าใจก่อน แล้วภาคปฏิบัติ ให้ปฏิบัติให้ตรง ให้ถูก เพื่อการได้เห็นภาคปริยัติอย่างจะ ๆ ด้วยจิต
เมื่อไม่รู้จักขันธ์ทางปริยัติ มันก็ยากอันดับแรก เมื่อไม่มีกำลังสัมมาสมาธิ มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เมื่อขาดการสังเกตของนักภาวนา มันก็ยิ่งยากขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
นี่คือ กึ๋นของนักภาวนาจริง ๆ ในการพบเห็นธรรมตามความเป็นจริง
******** เรื่องท้ายบท
1...ผมจะยกตัวอย่างทางโลกให้ท่านเข้าใจเพิ่มขึ้น ถ้าท่านไปที่แผงขายปลาในตลาดสด ท่านจะเห็นปลามากมายในตลาด ถ้าท่านไม่รู้จักว่า ปลาทูแขก นั่นหน้าตาเป็นอย่างไรมาก่อน ท่านจะมองไม่เห็นปลาทูแขกเลย เพราะมันจะปน ๆ อยู่กับกองปลาที่มีปลาอยู่หลาย ๆ ชนิดที่อยู่ข้างหน้าท่าน แต่ถ้าท่านเพียงรู้จักปลาทููแขก ว่ามันต่างจากปลาทูุอย่างอื่นอย่างไร ท่านก็จะมองเห็นปลาทูแขกได้ทันที เมื่อท่านมองไปกองปลานั้น ๆ
การรู้จักปลาทูแขกมาก่อน คือ การศึกษาปริยัติเรื่องปลาทูแขก
2..ในการดับของขันธ์นั้น ท่านจะพบกับความว่าง แต่ความว่างเนื่องจากขันธ์ดับลงจะมี 2 แบบ คือ อรูป และ สุญญตา
ถ้าท่านมีความจงใจ ท่านจะพบกับ อรูป ถ้าท่านไม่มีความจงใจ ท่านจะพบกับ สุญญตา
ทั้ง 2 อย่างนี้ต่างกัน แต่ต่างกันไม่มาก เพียงนิดเดียว เหมือนกระจกที่บางเฉียบ แทบไม่ความหนา แต่มันก็คือกระจกที่บังอยู่ข้างหน้า ถ้าท่านไม่สังเกต ท่านจะมองไม่เห็นกระจกบางนี้เลย
Create Date : 23 มกราคม 2555 |
|
8 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2555 20:16:22 น. |
Counter : 1361 Pageviews. |
|
|
|
ถ้าท่านคิดว่า รู้จักปลาทูแขก ดีละก็ ขอให้ท่านลองเขียนบรรยาย
ลักษณะของมัน เพื่อให้ท่านที่ยังไม่รู้จักปลาทูแขกให้เข้าใจว่า ปลาทูแขก นี้มีลักษณะอย่างไร และ ต่างจากปลาทูแบบอื่น ๆ อย่างไร
สำหรับท่านที่ยังไม่รู้จักปลาทูแขก ถ้าท่านอ่านคำบรรยายแล้ว ท่านลองไปเดินดูตลาด หาปลาทูแขกจริง ๆ แบบไมถามใครเพิ่มอีก ท่านจะพบปลาทูแขกได้จริง ๆ หรือไม่