รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผม ทาง e-wallet ครับ** **ผมขอสงวนสิทธิการเป็นเจ้าบ้านของ blog ลบข้อเขียนใดๆ ก็ได้ใน blog นี้ตามที่ผมเห็นสมควร**
Group Blog
 
<<
มกราคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
20 มกราคม 2555
 
All Blogs
 

อยู่ที่เทคนิค

การทำสิ่งใดนั้น ถ้าเพียงรู้จักเทคนิค ก็จะทำได้ถูก ทำได้ดี ทำได้ง่ายและทำแล้วได้ผลเร็ว

เมื่อท่านหัดขี่จักรยาน ท่านเพียงรู้จักเทคนิคการประคองตัวไม่ให้ล้ม ท่านก็จะขี่จักรยานได้

เมื่อท่านหัดขับรถเกียร์ Manual ท่านเพียงรู้จักเทคนิคการเลี้ยงคลัทซ์ในขณะเปลี่ยนเกียร์ได้
รถก็จะไม่ดับ

เมื่อท่านหัดว่ายน้ำ ถ้าท่านรู้จักเทคนิคการลอยตัวในน้ำ ท่านก็จะไม่จมน้ำเลย

การเข้าถึงธรรม ถ้าท่านรู้จักเทคนิคการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ท่านก็จะเข้าถึงธรรมได้เอง

เมื่อผมกำลังอยู่ในช่วงหาหนทางในการปฏิบัติธรรม ผมไม่รู้จักเทคนิค ผมจึงไม่เจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ แต่กลับพบว่า ทำไมการปฏิบัติจึงยากอย่างนี้ แต่เมื่อรู้จักเทคนิค จึงพบว่า เพราะการไม่เข้าใจนี่เอง จึงทำให้ปฏิบัติผิดแล้วทำได้ยากยิ่ง

เมื่อคนยังมีอวิชชาครอบครองจิต เมื่อมีการกระทำขึ้นอย่างจงใจ ก็จะเกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา
แล้วแรงดึงของตัณหา ก็จะทำให้จิตหลุดออกจากฐานวิ่งออกไปจากฐาน ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น
เป็นสัมมาสมาธิ นี่คือสาเหตุที่ยิ่งกระทำ ก็ยิ่งห่างออกจากธรรม


*** เทคนิคการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ ต้องไม่มีการกระทำที่จงใจ เพียงใช้ธรรมชาติคือความรู้สึกตัวที่แสนธรรมดาของท่าน ฝึกให้รับรู้การสัมผัสผ่านทางอายตนะต่าง ๆ เท่านั้น แต่อย่าจงใจไปรับรู้การสัมผัสใด ๆ เพียงแค่นี้ ก็จะเป็นการบ่มจิตให้กล้าแข็งขึ้นด้วยพลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิแล้ว เพียงแต่การเพาะบ่มนี้ ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน กว่าจะเห็นผลที่ออกมาให้สัมผัสได้

*** ในบรรดาการรับรูุ้ทางอายตนะต่าง ๆ นั้น การรับรู้การสัมผัสแบบไม่จงใจรู้ที่กาย และ การสัมผัสที่จิต จะมีประสิทธิผลที่สูงในการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ***

***การปฏิบัติต้องเริ่มที่การรู้กายก่อนใช่หรือไม่

ถ้าท่านมีคำถามเช่นนี้ ผมก็จะเฉลยว่า คนทั่วๆ ไปส่วนมาก ไม่สามารถรับรู้การรู้การสัมผัสที่ไม่จงใจที่จิตได้ แต่คนทั่ว ๆ ไปส่วนมาก สามารถรับรู้การสัมผัสที่กายที่ไม่จงใจได้เสมอ ดังนั้น ถ้าท่านไม่สามารถรับรู้ที่จิตได้ ก็ให้รับรู้ที่กายไปก่อน แต่ถ้าท่านรับรู้ที่จิตได้แล้ว ท่านจะสามารถรับรู้ที่กายและที่จิตได้พร้อมกันไปเลยสุดแต่ว่า อาการอย่างใดปรากฏ ก็จะรับรู้สิ่งนั้น เพียงท่านอย่าไปเจาะจงการรับรู้ว่า ต้องไปรู้กาย หรือ ต้องไปรูจิต

แต่ถ้าท่านไม่สามารถรับรูุ้จิตได้ เมื่อท่านฝึกการรับรู้กายไป เมื่อกำลังจิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ท่านก็จะรับรู้กายได้และรับรู้จิตได้ด้วย

สรุปก็คือ
ถ้าท่านรู้จิตยังไม่ได้ ให้ฝึกรู้กายไปก่อน
ถ้าสามารถรู้จิตได้แล้ว ท่านก็จะรู้ทั้งกายและรู้ทั้งจิต ไม่ใช่รู้จิตอย่างเดียว

แนะนำอ่าน เรื่องท้ายบท ในเรื่องนี้ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2012&date=08&group=15&gblog=85

***การรู้กายล้วน ๆ จะทำให้เข้าถึงธรรมสูงสุดได้หรือไม่

นี่เป็นคำสอนของหลายสำนัก ผมขอให้ท่านเข้าใจลำดับการพัฒนากำลังจิตก่อน ดังนี้
เมื่อรู้กายล้วน ๆ (แน่ละต้องรู้แบบถูกต้องที่ไม่จงใจจะรู้) นั่นคือการพัฒนากำลังจิตของนักภาวนา
เมื่อกำลังจิตเพิ่มมากขึ้นแล้ว ท่านจะรู้จิตได้ด้วย เมื่อกำลังจิตมากขึ้นอีก ท่านก็จะรู้สภาวะแห่งสุญญตา อันเป็นธรรมสูงสุด

ท่านจะเห็นว่า ถ้าท่านจงใจรู้กายล้วน ๆ นี่คือการปิดกั้นความก้าวหน้าของตัวเอง ท่านฝึกรู้กายแบบไม่จงใจรู้ ปล่อยให้จิตเติบโตด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิไป เรื่อย ๆ แล้วธรรมขั้นสูงสุดก็จะปรากฏแก่ท่านเพราะกำลังจิตที่ตั้งมั่นมากขึ้นเป็นสัมมาสมาธิ

***การรู้ธรรมขั้นสูงสุด รู้แล้วได้อะไร

เรื่องนี้ตอบยากครับ อยูุ่ที่คนแต่ละคน แต่สำหรับผมนั้น การรู้ธรรมขั้นสูงสุด มันไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับผมเลย แต่ผลแห่งการรู้ธรรมนี่ซิครับ ที่ผมต้องการ นั้นคือการไม่มีทุกข์

นักกีฬาเหรียญทองว่ายน้ำโอลิมปิค เวลาที่เขาเดินบนบก เขาคงไม่ทำท่าว่ายน้ำไปด้วยในขณะที่กำลังเดิน แต่เขาจะเดินอย่างคนธรรมดา เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น
แต่ยามใด ที่เขาตกน้ำ เขาจะใช้วิชาว่ายน้ำที่เขาเป็นนี่แหละ ที่พาให้เขาพ้นจากการจมน้ำตาย

การเข้าถึงธรรมก็เช่นกัน การรู้ธรรมช่วยอะไรใครไม่ได้ แต่ผลของการรู้ธรรมนี่ซิครับ ที่ทำให้นักภาวนาพ้นไปจากทุกข์ได้ การทีใครสักคน ปากพล่ำบ่นอยู่ทีี่สุญญตา ว่าง ว่าง ว่าง ให้คนอื่นได้ยินเสมอ ๆ นั้น การพล่ำบ่นแบบนี้ ไม่สามารถทำให้เขาพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริงเลย แต่คนที่เขาเงียบกริบ ไม่ปริปากใด นี่ซิ แต่ถ้าเขารูุ้ธรรมจริง เขาจึงจะพ้นจากทุกข์ได้จริงเพราะการรู้ธรรมนั้น ๆ

คนที่ว่ายน้ำเป็น ถ้าเขาเดินบนบก โดยที่เขาไม่คิดถึงการว่ายน้ำ เขาจะลืมไปขั่วขณะนั้นว่า เขาว่ายน้ำเป็นนะ แต่ถ้าเขานึกถึงมันเมื่อใด เขาจะรู้ว่า ตัวเขาว่ายน้ำเป็น
คนที่เขารู้ธรรมแล้ว เขาจะเหมือนคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่รู้ธรรม เขาจะดำเนินชีวิตไปตามปรกติของเขา แต่เมื่อใดที่เกิดการกระทบสัมผัสทีเป็นทุกข์ ถึงตอนนั้นแหละครับ ธรรมจะนำพาให้เขาหลุดออกจากทุกข์ได้

ถ้าท่านไปถามคนรู้ธรรม อาจมีบางคนตอบว่า เขาไม่รูุ้อะไรเลย นี่คือความจริง เขาไม่ได้ตอบอย่างเล่นลิ้น เพราะจิตที่รู้ความจริงนั้นมันไม่รู้อะไร แต่การรู้โน่น รู้นี่สารพัด มันไม่ใช่จิตครับแต่มันเป็นขันธ์ ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน นี่คือสาเหตุที่คนที่อ่านมาก ฟังมาก แล้วจึงยังไม่สามารถหลุดออกจากทุกข์ได้จริง แต่คนที่ปฏิบัติจริงจึงจะหลุดจากทุกข์ได้จริง แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย





 

Create Date : 20 มกราคม 2555
3 comments
Last Update : 25 มกราคม 2555 20:17:10 น.
Counter : 1062 Pageviews.

 

ขอบคุณครับ ช่วงนี้ใกล้ครบขวบปีกับการปฏิบัติตามกฏ 3 ข้อ สังเกตุตัวเองได้บ่อย นานขึ้นเรื่อย และเผลอ ใจลอยสั้นลง พยายามจับหลัก(เทคนิค)สำหรับตัวเองที่จะคงความรู้สึกตัวสบาย ๆ และรักษาสภาวะนั้น ๆ ไว้ แต่ยังไม่คงตัวเท่าไหร่

 

โดย: Num IP: 61.19.90.30 20 มกราคม 2555 8:58:13 น.  

 

ขอบพระคุณคะ

 

โดย: Nim IP: 124.121.152.14 20 มกราคม 2555 20:56:33 น.  

 

ผมจำเป็นต้องปิดการเขียนของท่านผู้อ่าน เนื่องจากกฏหมายอินเตอร์เนท

ท่านที่จะสนทนา หรือ ถามคำถาม ขอให้ส่ง email ถึงผมได้ที่
asknamasikarn@gmail.com

หรือสำหรับสมาชิก pantip จะส่งมาทางหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน

 

โดย: นมสิการ 25 มกราคม 2555 20:17:28 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


นมสิการ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [?]




หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ

มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน....

จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี

ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ...

บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา
แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้

เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง

**กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ **

******
บทความต่าง ๆ ใน blog นี้
ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

****
New Comments
Friends' blogs
[Add นมสิการ's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.