1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
อยู่ที่เทคนิค
การทำสิ่งใดนั้น ถ้าเพียงรู้จักเทคนิค ก็จะทำได้ถูก ทำได้ดี ทำได้ง่ายและทำแล้วได้ผลเร็ว เมื่อท่านหัดขี่จักรยาน ท่านเพียงรู้จักเทคนิคการประคองตัวไม่ให้ล้ม ท่านก็จะขี่จักรยานได้ เมื่อท่านหัดขับรถเกียร์ Manual ท่านเพียงรู้จักเทคนิคการเลี้ยงคลัทซ์ในขณะเปลี่ยนเกียร์ได้ รถก็จะไม่ดับ เมื่อท่านหัดว่ายน้ำ ถ้าท่านรู้จักเทคนิคการลอยตัวในน้ำ ท่านก็จะไม่จมน้ำเลย การเข้าถึงธรรม ถ้าท่านรู้จักเทคนิคการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ท่านก็จะเข้าถึงธรรมได้เอง เมื่อผมกำลังอยู่ในช่วงหาหนทางในการปฏิบัติธรรม ผมไม่รู้จักเทคนิค ผมจึงไม่เจริญก้าวหน้าในการปฏิบัติ แต่กลับพบว่า ทำไมการปฏิบัติจึงยากอย่างนี้ แต่เมื่อรู้จักเทคนิค จึงพบว่า เพราะการไม่เข้าใจนี่เอง จึงทำให้ปฏิบัติผิดแล้วทำได้ยากยิ่ง เมื่อคนยังมีอวิชชาครอบครองจิต เมื่อมีการกระทำขึ้นอย่างจงใจ ก็จะเกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา แล้วแรงดึงของตัณหา ก็จะทำให้จิตหลุดออกจากฐานวิ่งออกไปจากฐาน ทำให้จิตไม่ตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิ นี่คือสาเหตุที่ยิ่งกระทำ ก็ยิ่งห่างออกจากธรรม *** เทคนิคการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ ต้องไม่มีการกระทำที่จงใจ เพียงใช้ธรรมชาติคือความรู้สึกตัวที่แสนธรรมดาของท่าน ฝึกให้รับรู้การสัมผัสผ่านทางอายตนะต่าง ๆ เท่านั้น แต่อย่าจงใจไปรับรู้การสัมผัสใด ๆ เพียงแค่นี้ ก็จะเป็นการบ่มจิตให้กล้าแข็งขึ้นด้วยพลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิแล้ว เพียงแต่การเพาะบ่มนี้ ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน กว่าจะเห็นผลที่ออกมาให้สัมผัสได้ *** ในบรรดาการรับรูุ้ทางอายตนะต่าง ๆ นั้น การรับรู้การสัมผัสแบบไม่จงใจรู้ที่กาย และ การสัมผัสที่จิต จะมีประสิทธิผลที่สูงในการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ *** ***การปฏิบัติต้องเริ่มที่การรู้กายก่อนใช่หรือไม่ ถ้าท่านมีคำถามเช่นนี้ ผมก็จะเฉลยว่า คนทั่วๆ ไปส่วนมาก ไม่สามารถรับรู้การรู้การสัมผัสที่ไม่จงใจที่จิตได้ แต่คนทั่ว ๆ ไปส่วนมาก สามารถรับรู้การสัมผัสที่กายที่ไม่จงใจได้เสมอ ดังนั้น ถ้าท่านไม่สามารถรับรู้ที่จิตได้ ก็ให้รับรู้ที่กายไปก่อน แต่ถ้าท่านรับรู้ที่จิตได้แล้ว ท่านจะสามารถรับรู้ที่กายและที่จิตได้พร้อมกันไปเลยสุดแต่ว่า อาการอย่างใดปรากฏ ก็จะรับรู้สิ่งนั้น เพียงท่านอย่าไปเจาะจงการรับรู้ว่า ต้องไปรู้กาย หรือ ต้องไปรูจิต แต่ถ้าท่านไม่สามารถรับรูุ้จิตได้ เมื่อท่านฝึกการรับรู้กายไป เมื่อกำลังจิตเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ท่านก็จะรับรู้กายได้และรับรู้จิตได้ด้วย สรุปก็คือ ถ้าท่านรู้จิตยังไม่ได้ ให้ฝึกรู้กายไปก่อน ถ้าสามารถรู้จิตได้แล้ว ท่านก็จะรู้ทั้งกายและรู้ทั้งจิต ไม่ใช่รู้จิตอย่างเดียว แนะนำอ่าน เรื่องท้ายบท ในเรื่องนี้ //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=01-2012&date=08&group=15&gblog=85 ***การรู้กายล้วน ๆ จะทำให้เข้าถึงธรรมสูงสุดได้หรือไม่ นี่เป็นคำสอนของหลายสำนัก ผมขอให้ท่านเข้าใจลำดับการพัฒนากำลังจิตก่อน ดังนี้ เมื่อรู้กายล้วน ๆ (แน่ละต้องรู้แบบถูกต้องที่ไม่จงใจจะรู้) นั่นคือการพัฒนากำลังจิตของนักภาวนา เมื่อกำลังจิตเพิ่มมากขึ้นแล้ว ท่านจะรู้จิตได้ด้วย เมื่อกำลังจิตมากขึ้นอีก ท่านก็จะรู้สภาวะแห่งสุญญตา อันเป็นธรรมสูงสุด ท่านจะเห็นว่า ถ้าท่านจงใจรู้กายล้วน ๆ นี่คือการปิดกั้นความก้าวหน้าของตัวเอง ท่านฝึกรู้กายแบบไม่จงใจรู้ ปล่อยให้จิตเติบโตด้วยสัมมาสติ สัมมาสมาธิไป เรื่อย ๆ แล้วธรรมขั้นสูงสุดก็จะปรากฏแก่ท่านเพราะกำลังจิตที่ตั้งมั่นมากขึ้นเป็นสัมมาสมาธิ ***การรู้ธรรมขั้นสูงสุด รู้แล้วได้อะไร เรื่องนี้ตอบยากครับ อยูุ่ที่คนแต่ละคน แต่สำหรับผมนั้น การรู้ธรรมขั้นสูงสุด มันไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับผมเลย แต่ผลแห่งการรู้ธรรมนี่ซิครับ ที่ผมต้องการ นั้นคือการไม่มีทุกข์ นักกีฬาเหรียญทองว่ายน้ำโอลิมปิค เวลาที่เขาเดินบนบก เขาคงไม่ทำท่าว่ายน้ำไปด้วยในขณะที่กำลังเดิน แต่เขาจะเดินอย่างคนธรรมดา เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็น แต่ยามใด ที่เขาตกน้ำ เขาจะใช้วิชาว่ายน้ำที่เขาเป็นนี่แหละ ที่พาให้เขาพ้นจากการจมน้ำตาย การเข้าถึงธรรมก็เช่นกัน การรู้ธรรมช่วยอะไรใครไม่ได้ แต่ผลของการรู้ธรรมนี่ซิครับ ที่ทำให้นักภาวนาพ้นไปจากทุกข์ได้ การทีใครสักคน ปากพล่ำบ่นอยู่ทีี่สุญญตา ว่าง ว่าง ว่าง ให้คนอื่นได้ยินเสมอ ๆ นั้น การพล่ำบ่นแบบนี้ ไม่สามารถทำให้เขาพ้นจากทุกข์ได้อย่างแท้จริงเลย แต่คนที่เขาเงียบกริบ ไม่ปริปากใด นี่ซิ แต่ถ้าเขารูุ้ธรรมจริง เขาจึงจะพ้นจากทุกข์ได้จริงเพราะการรู้ธรรมนั้น ๆ คนที่ว่ายน้ำเป็น ถ้าเขาเดินบนบก โดยที่เขาไม่คิดถึงการว่ายน้ำ เขาจะลืมไปขั่วขณะนั้นว่า เขาว่ายน้ำเป็นนะ แต่ถ้าเขานึกถึงมันเมื่อใด เขาจะรู้ว่า ตัวเขาว่ายน้ำเป็น คนที่เขารู้ธรรมแล้ว เขาจะเหมือนคนทั่ว ๆ ไปที่ไม่รู้ธรรม เขาจะดำเนินชีวิตไปตามปรกติของเขา แต่เมื่อใดที่เกิดการกระทบสัมผัสทีเป็นทุกข์ ถึงตอนนั้นแหละครับ ธรรมจะนำพาให้เขาหลุดออกจากทุกข์ได้ ถ้าท่านไปถามคนรู้ธรรม อาจมีบางคนตอบว่า เขาไม่รูุ้อะไรเลย นี่คือความจริง เขาไม่ได้ตอบอย่างเล่นลิ้น เพราะจิตที่รู้ความจริงนั้นมันไม่รู้อะไร แต่การรู้โน่น รู้นี่สารพัด มันไม่ใช่จิตครับแต่มันเป็นขันธ์ ซึ่งเป็นคนละอย่างกัน นี่คือสาเหตุที่คนที่อ่านมาก ฟังมาก แล้วจึงยังไม่สามารถหลุดออกจากทุกข์ได้จริง แต่คนที่ปฏิบัติจริงจึงจะหลุดจากทุกข์ได้จริง แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลย
Create Date : 20 มกราคม 2555
3 comments
Last Update : 25 มกราคม 2555 20:17:10 น.
Counter : 1062 Pageviews.
โดย: Num IP: 61.19.90.30 20 มกราคม 2555 8:58:13 น.
โดย: Nim IP: 124.121.152.14 20 มกราคม 2555 20:56:33 น.
โดย: นมสิการ 25 มกราคม 2555 20:17:28 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****