1 2 3 4 5 6 7
8 9 10 11 12 13 14
15 16 17 18 19 20 21
22 23 24 25 26 27 28
29 30 31
ฝึกถููกให้ชำนาญ
ผมขอเขียนบทความนี้ เพื่อเป็นการย้ำให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจในการปฏิบัติธรรม เพราะการเข้าใจเท่านั้น จึงจะทำให้ท่านปฏิบัติได้ตรงทาง แล้วการรู้ธรรม เห็นธรรม ก็จะปรากฏแก่จิตของท่านได้ 1..ปฏิบัติทุกอย่าง ต้องตรงตามอริยสัจจ์ 4 (อ่านเรื่อง //www.bloggang.com/viewdiary.php?id=namasikarn&month=12-2011&date=30&group=15&gblog=83 ) ให้มาดูลักษณะอาการของคนที่ไม่ได้ฝึกฝน และ คนที่ฝึกฝนดีแล้ว ว่าต่างกันอย่างไร เมื่อใช้หลักการของอริยสัจจ์ 4 เป็นแนวการตรวจสอบอาการ ในอริยสัจจ์ 4 นั้น พระพุทธองค์สอนไว้ชัดว่า ให้รู้ทุกข์อริยสัจจ์(ข้อ1) ด้วยการละตัณหา(ข้อ2) เมื่อละตัณหาได้แล้วเกิดนิโรธ(ข้อ3) ให้ปฏิบัติแบบทางสายกลางหรือแบบสัมมามรรค(ข้อ4) มาดูข้อแตกต่างกัน *** 1.1 ในคนที่ไม่ได้ฝึกฝน หรือ ฝึกฝนแต่ไม่ถูกทาง หรือ ฝึกฝนถูกทางแต่กำลังจิตยังไม่ดี เขาไม่เข้าใจทุกข์อริยสัจจ์ว่าเป็นอย่างไร เขาเข้าใจแต่ทุกขเวทนา ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ซึ่งไม่ครอบคลุมทั้งหมดของทุกข์อริยสัจจ์ เมื่อเขาพบทุกข์เวทนาไม่ว่าทางกายหรือทางใจ เนื่องด้วยกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ช่างอ่อนแอมาก จิตของเขาจึงไม่อาจต้านแรงอำนาจของตัณหาได้ ซึ่งหมายความว่า ตัณหาได้ครอบงำจิตของเขาไว้เต็มเปี่ยม เมื่อตัณหาครอบงำจิต ทำให้จิตของเขาถูกแรงดึงของตัณหาให้จิตเข้าไปผสมกับทุกขเวทนาที่กำลังเกิดขึ้นนั้น เมื่อจิตเขาถูกครอบงำดังกล่าว อริยสัจจ์ข้อที่3 ก็ไม่เกิด และอริยสัจจ์ข้อที่4 แบบสัมมาก็ไม่เกิด แต่เกิดแบบ มิจฉา แทนว่า อันว่า ทุกข์เวทนาที่เกิดนั้นเป็นของเขา เป็นตัวเขา ความทุกข์เวทนานั้นเป็นของเขา เขากำลังทุกข์ นี่คืออาการแห่งมิจฉา จะเห็นว่า คนในข้อ 1.1 นี้จะเกิดทุกข์แบบเต็ม ๆ ที่ว่า เขาเป็นทุกข์ ทุกข์เป็นของเขา เขาจะไม่มีทางรู้เรื่องอริสัจจ์ 4 ได้อย่างถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะฟัง จะอ่านในตำรา เขาก็จะยังไม่เข้าใจอริยสัจจ์ 4 อยู่ดี *** 1.2 ในคนทีฝึกฝนมาถูกทางแล้ว และมีกำลังจิตที่ตั้งมั่นเป็นอย่างดี คนในข้อ 1.2 นี้ จะมีกำลังสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ดีแล้ว หรือ เรียกว่า จิตตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อจิตเขาตั้งมั่นด้วยสัมมาสมาธิ แรงอำนาจแห่งสัมมาสมาธินี้จะสามารถต้านทานแรงดึงดูดอันร้ายกาจของตัณหาได้ ซึ่งก็เท่ากับว่า เขาได้ละตัณหาด้วยกำลังแห่งสัมมาสมาธิได้ ซึ่งก็คือ อริยสัจจ์ข้อที่ 2 เมื่อเกิดทุกข์อริยสัจจ์ข้อที่ 1 ขึ้น แรงตัณหาไม่สามารถดึงจิตของเขาให้เข้าไปผสมกับทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้น เมื่อจิตเขาไม่เข้าผสม จิตจะเป็นอิสระอยู่่ ทำให้จิตเขาเห็นทุกข์ที่เกิดขึ้นเป็นไตรลัษณ์ ซึ่งก็คือการรู้ การเห็นทุกข์อริยสัจจ์ข้อที่ 1 อันเนื่องมากจากไร้แรงของตัณหาอันเป็นอริยสัจจ์ข้อที่ 2 เมื่อ เขาเห็นทุกข์อริยสัจจ์เป็นไตรลักษณ์ จิตเป็นอิสระอยู่ เขาจะพบกับนิโรธ คือ ความไม่ทุกข์ อันเป็นอริยสัจจ์ข้อทืี่ 3 และ เขาจะพบอาการอริยสัจจ์ข้อที่ 4 ทีเป็นแบบสัมมาว่า ทุกข์ไม่ใช่เขา ทุกข์ไม่ใช่ของเขา ท่านจะเห็นว่า คนทีฝึกมาดีแล้ว เขาจะรู้จักอริยสัจจ์4 ได้ครบหมดทั้ง 4 อย่าง ที่เขารู้ เพราะเขาได้พบเอง เห็นเอง ด้วยจิต ที่ไม่ใช่การอ่านมาจากตำราแต่อย่างได *********** ผมจะชี้ให้ท่านเห็นครับว่า เคร็ดลับการรู้ธรรมตามอริยสัจจ์4 คือ ***การรู้ทุกข์อริยสัจจ์ที่ไร้ตัณหา*** ครับ ถ้าท่านมองไม่ออก ขอให้อ่านข้อ 1.2 อีกครั้งก็ได้ครับ เพื่อให้กระจ่างในเรื่องนี้ก่อน เมื่อไรที่นักภาวนา รู้ทุกข์อริยสัจจ์แบบไร้ตัณหาเมื่อใด อริยสัจจ์4 ก็จะปรากฏได้ครบเอง เพียงแต่ว่า นักภาวนาอาจยังมองไม่ออกทั้ง ๆ ที่ธรรมได้ปรากฏขึ้นแล้ว ผมได้ชี้ให้ท่านเห็นแล้วครับว่า ตัณหาจะละได้ เมื่อจิตมีกำลังแห่งสัมมาสติ/สัมมาสมาธิ ซึ่ง 2 อย่างนี้จะต้านกันเองตามธรรมชาติของเขาระหว่างตัณหาและสัมมาสติ/สัมมาสมาธิ เช่น เมื่อไร ที่ตัณหามีกำลัง ก็แสดงว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นั้นอ่อนแอลง และ เมื่อไร ที่ตัณหาไม่มีกำลัง ก็แสดงว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ นั้นกล้าแข็งขึ้น ท่านเห็นเคร็ดไหมครับ การรู้ทุกข์ที่ไรัตัณหา ก็คือ การฝึกฝนการรู้ทุกข์ด้วยกำลังแห่งสัมมาสติ สัมมาสมาธิ นั้นเอง เมื่อท่านฝึกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คือ หัดเข้าไว้ ในอาการที่รู้ทุกข์ที่ไร้ตัณหา หัดบ่อย ๆ หัดให้ชำนาญ ผลแห่งการหัดการฝึกแบบนี้ จะทำให้ท่านเกิดการคุ้นเคยแบบใหม่ที่ว่า การรู้ทุกข์แบบไร้ตัณหา ดังนั้น เพียงท่านอยู่ในอาการกฏ 3 ข้อที่่ผมได้แนะนำไว้ คือ เพียงรู้สึกตัวแล้วสบาย ๆ อย่าได้เกร็ง อย่าได้เครียด อย่าอยากรู้สิ่งใด แต่ให้จิตเขารู้เอง นี่คือการฝึกฝนแห่งการรู้ทุกข์ที่ไร้ตัณหาแล้ว ถ้าท่านนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ ถ้าท่านเกิดความอยาก ต้องการรู้ลมที่ปลายจมูก แล้วท่านก็ส่งจิตไปจับลมที่ปลายจมูก เพราะต้องการรู้ลมให้ชัดที่นั้น นีคือความอยากครับ ท่านกำลังต้องการรู้ลมด้วยตัณหา ซึ่งก็คือการปฏิบัติที่ไม่ตรงตามอริยสัจจ์ 4 ถ้าท่านไปอ่านในพระไตรปิฏกดูในหมวดอาณาปานสติ ไม่มีการกล่าวไว้เลยว่า ให้ไปรู้ลมที่ปลายจมูก คำสอนแบบนี้ให้ส่งจิตไปปลายจมูกก็มีมากเสียด้วย ทำให้คนเข้าใจกันไปใหญ่ว่า นี่คือการปฏิบัติที่ถูกแล้ว ซึ่งท่านพิจารณาได้เองครับว่า ผิดถูกเป็นเช่นไร แล้วการรู้ลมหายใจ ถ้าไม่รู้ที่ปลายจมูก และต้องการรู้แบบให้ตรงตามอริยสัจจ์ 4 นั้น ปฏิบัติอย่างไร ผมแนะนำให้ท่านเข้าไปดูใน youtube ของกิจกรรมคร้ั้งทีี 1 ในนั้น ผมมีอธิบายไว้แล้ว ในการปฏิบัติอื่น ๆ ก็เช่นกัน การเดินจงกรม หรือ อะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีความอยากแล้ว ก็จะไม่ตรงนะครับ ดังนั้นการฝึกฝนที่ดีขอให้ฝึกด้วยอย่าให้มีความอยากที่จะรู้เลยครับ เพราะความอยากจะสร้างตัณหาขึ้น เมื่อเกิดตัณหาขึ้น กำลังแห่งสัมมาสติสัมมาสมาธิก็จะ อ่อนแอ ลงไป ในการฝึกฝนนั้น ขอให้ท่านฝึกไปแบบไร้ตัณหา รู้ทุกข์อริยสัจจ์ไปเรื่อย ๆ จะรู้ชัดบ้าง ไม่ชัดบ้าง และในบางโอกาส ไม่รู้บ้างก็ยังได้เลย ขออย่างเดียว ขอให้รู้สึกตัวแล้วอย่าให้มีตัณหา ก็ใช้ได้แล้วครับ ท่านจะเห็นว่า การฝึกฝนตามอริยสัจจ์4 นั้น ถ้าเพียงเข้าใจ ก็จะฝึกได้ถูกทันที และก็ง่ายมากด้วยครับ เพียงแต่ว่า ท่านต้องหมั่นฝึกฝนไปเรื่อย ๆ อย่าใจร้อน อย่าได้มีความอยากในจิต แล้วผลแห่งการฝึกก็จะส่งผลให้เกิดกำลังจิตที่เพิ่มขึ้นอย่าางถูกทางในอริยสัจจ์ 4 ซึ่้งผลแบบนี้ก็คือ ตัณหาจะอ่อนแรงไปเรื่อย ๆ ถ้าตัณหาอ่อนแอมากเมื่อไร มันก็พร้อมจะถูกละได้เสมอ ผมไม่เห็นด้วยกับคำสอนของหลาย ๆ สำนักที่ว่า ให้ฝึกแบบจดจ่อ จดจ้องไปก่อน เพื่อเพิ่มกำลังจิต แล้วไปพิจารณาวิปัสสนาภายหลังก็ได้ ผมเห็นว่า มันเป็นไปไม่ได้ครับกับการฝึกแบบจดจ่อแบบนี้ เพราะกำลังจิตที่เพิ่มขึ้น มันจะเพิ่มอำนาจของตัณหา ไม่ใช่การละตัณหาแบบที่สอนในอริยสัจจ์ 4 ในการฝึกฝนนั้น ขอท่านเพียงฝึกด้วยการรู้ทุกข์แบบไร้ตัณหา ส่วนสภาวะธรรมจะเป็นอะไรที่ท่านพบ มันไม่สำคัญเลยครับ ท่านพบแล้วก็แล้วกันไป ท่านไม่ต้องไปค้นหาว่ามันคืออะไรเลย เพราะสิ่งที่ท่านควรสนใจมาก ๆ ก็คือ การรู้ทุกข์อริยสัจจ์ที่ไร้ตัณหา อย่างอื่น ไม่ต้องไปวิจัย ไปค้นคิดอะไรด้วยเลย รู้แล้วก็แล้วกัน รู้แล้วทิ้งไปเลย ต่อเมื่อท่านฝึกรู้ทุกข์ที่ไร้ตัณหาไปเรื่อย ๆ สภาวะธรรมปรากฏอยู่แล้ว เมื่อวันดีคืนดี ท่านจะสะดุดธรรมโผล่งธรรมขึ้นมาได้เอง เมื่อเกิดการโผล่งธรรมได้ 1 ครั้ง ผลของมันก็คือ การตื่นตัวและเข้าใจธรรมได้มากขึ้นไป 1 ขั้นแล้ว เมื่อท่านโผล่งธรรมแล้ว 1 ครั้ง ท่านก็ทิ้งมันไปอีก อย่าได้ใส่ใจมันครับ ฝึกไปเรื่อย ๆ แล้ววันดี คืนดี ท่านก็จะโผล่งธรรมต่อไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าท่านยังไปติดใจในธรรมที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ การโผล่งในธรรมก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้เพราะท่านไปใช้จิตนึกคิดทำงานอยู่ในเรื่องธรรมเก่า ๆ ที่ท่านพบมาแล้ว ซึ่งเรื่องคิดธรรมนี้ ผมฝากไว้ให้ท่านพิจารณาเอาก็แล้วกัน เพราะมีคำสอนมากมายในไทยว่า ให้ใช้จิตนึกคิดธรรมเสมอ ๆ แต่ผมดันบอกว่า อย่าไปทำอย่างนั้น ซึ่งมันขัดกันอย่างเต็ม ๆ การโผล่งธรรมขึ้นมา 1 ครั้ง จะทำให้จิตเข้าใจธรรมแบบที่ท่านมองไม่ออกว่าจิตได้เลื่อนขั้นอันดับไปแล้วแต่นักภาวนาไม่รู้ตัว แต่เมื่อไรก็ตาม ที่ท่านไปพบกับอาการที่เป็นทุกข์แล้วจิตไม่จับยึดทุุกข์นั้น นี่คือการผลแห่งการที่จิตรู้ธรรมเพราะโผล่งในธรรม ถึงตอนนั้นเมื่อไร ท่านจะเข้าใจได้เองครับว่า ทุกข์เพราะการยึดติดของจิตได้ลดลงไปแล้ว อย่าตั้งความหวังว่า ให้จิตโผล่งธรรมบ่อย ๆ เพราะมันบังคับไม่ได้ ท่านต้องสร้างเหตุขึ้น ให้จิตอยู่ในสภาวะแห่งการรู้ทุกข์ที่ไร้ตัณหาบ่อย ๆ แล้วจิตเขาจะทำหน้าโผล่งธรรมของเขาเอง ถ้าท่านไปหวังหรือไปบังคับมัน มันจะไม่โผล่งธรรมออกมาเลยครับ ท่านอาจจะเข้าใจธรรมได้ดีขึ้นจากการคิดพิจารณาด้วยความคิด แต่การเข้าใจแบบนี้ พอเกิดเรื่องขึ้นมา จิตก็ยังไร้ปัญญาแล้วยังจับยึดทุกข์อยู่ แล้วท่านก็ยังทุกข์เหมือนเดิม ปัญญาในพุทธศาสนานั้น ไม่จำเป็นที่ท่านต้องไปรู้ด้วยความคิด ขอให้จิตเขารู้จักก็พอแล้ว แล้วจิตเขาจะทำหน้าที่ของเขาเองเพราะการมีปัญญาของจิต ทุกอย่างจะเดินหน้าแบบอัตโนมัติทั้งสิ้น บังคับไม่ได้เลย เพราะมันคืออนัตตา ครับ! ****** เรื่องท้ายบท ลำดับความสามารถในการรับรู้สภาวะธรรม 1..คนธรรมดาที่ยังไม่ได้ฝึกฝน แต่เข้าใจเรื่องของสภาวะธรรมได้ในสิ่งทีเขาสัมผัสได้เอง A.ตามองเห็น B.หูได้ยิน C.จมูกได้กลิ่น D.ลิ้นรู้รสได้ E.กายรู้สัมผัสได้ ซึ่งการรู้เท่านี้ก็ใช้ฝึกเพื่อเพิ่มกำลังสัมมาสติได้แล้ว 2..ในคนที่ฝึกฝนมาถูกทางแล้ว เขาจะสัมผัสได้มากขึ้นไปอีก คือ ความสามารถในข้อ1 + รู้อาการของจิตปรุงแต่งได้ 3..ในคนที่ฝึกมาถูกทางแล้ว และมีกำลังจิตเพิ่มขึ้นจากข้อ 2 เขาจะสัมผัสได้มากขึั้นไปอีก คือ ความสามารถในข้อ2 + รู้จักความว่างของ.มโน./รู้จักจิตผู้รู้ 4..ในคนที่ฝึกมาถูกทางแล้ว และมีกำลังจิตเพิ่มขึ้นมาจากข้อ 3 ความสามารถในข้อ3 + รู้จักความไม่เที่ยงของตัวจิต 5..ในคนที่ฝึกมาถูกทางแล้ว และมีกำลังจิตเพิ่มขึ้นมาจากข้อ 4 ความสามารถในข้อ4 + รู้จักสภาวะของสุญญตาที่ไม่มีตัวจิตอีกต่อไป **** ท่านจะเห็นว่า ยิ่งกำลังจิตมีกำลังตั้งมั่นมากขึ้นเรื่อย ๆ การรู้สภาวะธรรมยิ่งมีมากขึ้นไปตามลำดับ
Create Date : 08 มกราคม 2555
16 comments
Last Update : 25 มกราคม 2555 20:18:31 น.
Counter : 1367 Pageviews.
โดย: จิตติ IP: 124.121.193.167 8 มกราคม 2555 22:44:23 น.
โดย: ทางเดียวกัน IP: 118.172.23.156 8 มกราคม 2555 23:23:36 น.
โดย: Nim IP: 124.121.159.178 8 มกราคม 2555 23:24:26 น.
โดย: Num IP: 61.19.90.30 9 มกราคม 2555 12:27:47 น.
โดย: แม่ลูกสอง IP: 180.183.242.214 9 มกราคม 2555 12:46:15 น.
โดย: [D]-hunter IP: 223.204.233.45 9 มกราคม 2555 17:07:46 น.
โดย: ลัดดา IP: 110.168.42.112 10 มกราคม 2555 13:00:06 น.
โดย: Pisith IP: 182.53.12.59 11 มกราคม 2555 20:31:14 น.
โดย: nong IP: 49.49.125.78 12 มกราคม 2555 14:33:22 น.
โดย: เขาสมมุติให้ชื่อว่าอริยะ IP: 118.172.185.215 15 มกราคม 2555 19:22:44 น.
โดย: เห็นจิตในจิต IP: 125.25.36.203 16 มกราคม 2555 6:44:42 น.
โดย: ไตรรัตน์ IP: 125.25.33.122 17 มกราคม 2555 8:34:53 น.
โดย: แม่ Dr IP: 202.8.78.49 17 มกราคม 2555 8:57:16 น.
โดย: นพ IP: 110.171.6.113 17 มกราคม 2555 13:54:39 น.
โดย: นมสิการ 17 มกราคม 2555 16:09:56 น.
โดย: นมสิการ 25 มกราคม 2555 20:18:50 น.
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 142 คน [? ]
หลักปฏิบัติ ...รู้สึกตัว ผ่อนคลาย เฉย ๆ สบาย ๆ มากกว่า 20 ปีที่ไปหลงทำสมถภาวนาแบบสมาธิแบบฤาษีโดยที่ไม่รู้จักกับคำว่า อะไรคือสัมมาสติ สัมมาสมาธิ ผลที่ได้คือความสงบขณะกำลังนั่งสมาธิจนตัวนิ่งแข็งเป็นก้อนหิน แต่ผลข้างเคียงตามมาก็คือการเป็นคนเจ้าโทสะอย่างรุนแรงขณะเวลาไม่ได้นั่งสมาธิ และ ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน.... จนได้พบกัลยณมิตรแดนไกล ที่ได้ชักนำให้มารู้จักวิธีปฏิบัติแบบหลวงพ่อเทียน จนได้พบกับพระอาจารย์ในสายหลวงพ่อเทียน ที่ผมได้เรียนการปฏิบัติจากท่าน จนเข้าใจว่า สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คืออะไร แล้วลงมือฝึกฝน การปฏิบัติก็รุดหน้าและได้ลิ้มรสสิ่งบริสุทธิในจิตใจอันเป็นผลจากการปฏิบัติด้วยเวลาเพียง 5 ปี ธรรมปฏิบัติจากฆราวาสเขียนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ยากในสังคมไทย ผมรู้ได้จากที่เขียนใน blog ผมได้พบกับการก่อกวนใน blog การเขียนเหน็บแนม กระแหนะกระแหน ตำหนิการการปฏิบัติที่ผมเขียนใน blog ว่าผิดทาง เขียนแบบคาดเดาเอา ไม่รู้จริง ให้ผมหยุดเขียนแนวนี้ได้แล้ว และไปโมทนาสาธุแนะนำการปฏิบัติสมาธิแบบฤาษีให้กับผมอีกว่านี่คือทางที่ถูกต้อง ... บทความใน blog จึงเกิดขึ้นมา เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ในการภาวนา แก่ผู้อื่นที่กำลังเดินทางในสายแห่งอริยมรรคนี้ เมื่อท่านได้เข้ามาอ่านข้อเขียนใน blog กรุณาอย่าได้เชื่อผมจนกว่า ท่านได้ทดลองปฏิบัติแล้วและพิสูจน์ด้วยตัวท่านเอง **กรุณา .อย่า.ได้บริจาคเงินให้ blog ผมทาง e-wallet ครับ ** ****** บทความต่าง ๆ ใน blog นี้ ขอสงวนสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามนำไปดัดแปลง ลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ****
เพราะบางครั้งเผลออยากเห็นชัดๆค่ะ. เริ่มใหม่ค่ะ