สวัสดีค่ะ ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเดินทางไกลมาถึงบัวโนสไอเรส แต่ยังคิดถึงเพื่อนบล็อกทุกคนนะค่ะ
ขบคิด...ก่อนขบเคี้ยว



จะมีสักกี่คนที่วางแผนหรือคิดว่าอาหารที่กินอย่างเอร็ดอร่อยนั้นให้ประโยชน์หรือให้โทษต่อร่างกายบ้างหรือเปล่า... ส่วนใหญ่ที่ได้ยินมักจะเป็นการเชิญชวนหรือเชิญชิมอาหารด้วยเหตุผลว่า อาหารนั้นอร่อย อาหารนั้นราคาถูก หรือสถานที่นี้บรรยากาศดี แล้วแต่จะสรรหาข้อดีมาแนะนำ เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ ให้ประชาชนรับทราบ และหลายคนก็พยายามให้ทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ด้วยการติดตามไปบริโภคตามที่สื่อแนะนำ เพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าเคยไปมาแล้วมากกว่าจะขบคิดถึงประโยชน์หรือสิ่งที่ได้รับว่าเหมาะสมหรือไม่

ปัญหาสุขภาพของคนไทย
จากปัญหาการกินอาหารเพราะความอร่อยหรือคำแนะนำโดยไม่เคยขบคิดมาก่อน จึงทำให้เกิดปัญหาสุขภาพของประชาชนคนไทย ซึ่งขณะนี้พบว่าแทบทุกวัยตกอยู่ในภาวะอ้วน ทั้งที่ลงพุงบ้าง เกือบๆ จะลงพุง หรืออยู่ในภาวะน้ำหนักเกินมาตรฐานที่ควรจะเป็น ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคไร้เชื้อเรื้อรังที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงในการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดโรคได้ง่ายๆ เพียงดูแลรูปร่างอย่าให้อ้วน โดยเฉพาะอ้วนลงพุง ด้วยเหตุนี้จึงมีโครงการลดพุง ลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายของกระทรวงสาธารณสุขแพร่ไปทั่วประเทศ ทุกหน่วยงาน และองค์กร เป็นการป้องกันเชิงรุกของการเกิดโรคไร้เชื้อและเรื้อรัง โดยเฉพาะเด็กในวัยเรียน

สาเหตุของความอ้วน
หากพิจารณาถึงสาเหตุใหญ่แล้วน่าจะมาจากขาดการออกกำลังกายและการกินอาหาร สถานที่ออกกำลังกายของเด็กหรือสนามเด็กเล่นหายากขึ้นทุกทีในเขตเมือง ขณะเดียวกันการเล่นของเด็กก็เปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญทางเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน เกมคอมพิวเตอร์มีหลายรูปแบบที่ทำให้เด็กติดกันงอมแงม การเล่นก็จะอยู่ในห้องแคบๆ ที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย จึงแทบไม่ต้องออกแรงและใช้แรงงานเลย ขณะที่เล่นเกม พ่อแม่ก็ซื้อหาขนมและของขบเคี้ยวหลากหลายเตรียมไว้พร้อมที่จะหยิบใส่ปากตลอดเวลา จึงได้รับพลังงานและสารอาหารจากของขบเคี้ยวเหล่านั้นมากเกินความต้องการจนเกิดการสะสมในระยะยาว เด็กๆ จึงมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นและอ้วน ขณะนี้โรงเรียนต่างๆ ได้มีการส่งเสริมให้เด็กๆ ได้ออกกำลังกายเพื่อลดพุง ลดน้ำหนักกันมากขึ้นแล้ว แต่การแนะนำให้ขบคิดก่อนขบเคี้ยวอาหารยังมีน้อย

ขนมไทยๆ ในอดีต เช่น ทองม้วน ขนมผิง กล้วยฉาบ เป็นขนมขบเคี้ยวที่คุ้นเคยและรู้จักกันมานาน เด็กยุคนี้อาจจะไม่รู้จัก แต่รู้จักอาหารประเภทขบเคี้ยวกรุบๆ กรอบๆ เป็นกล่องหรือเป็นถุงซึ่งมีมากมายหลายชนิด เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ ข้าวโพดอบกรอบ ข้าวเกรียบนานารส ปลาหมึกบด รวมทั้งเครื่องดื่มสารพัดชนิด ทั้งที่เป็นขวด เป็นแก้ว แทนน้ำผลไม้ น้ำสมุนไพรที่ผลิตในครอบครัว ขนมขบเคี้ยวเหล่านั้นหลายชนิดเพียงเปลี่ยนรูปแบบเล็กน้อยด้วยเหตุผลทางการค้าก็สามารถขายได้ดี ทำให้ธุรกิจด้านนี้เจริญเติบโตมากขึ้น เพราะมีลูกค้าที่ไม่ขบคิดก่อนขบเคี้ยว

จากการสำรวจคุณภาพของอาหารขบเคี้ยวที่รายงานโดยวารสาร “ฉลาดซื้อ สื่อผู้บริโภค” พบว่าอาหารขบเคี้ยวประกอบด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ โปรตีนมีเป็นส่วนน้อย และจากการวิเคราะห์ของสถาบันวิจัยโภชนาการพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบก็ยังมีคาร์โบไฮเดรตและไขมันสูง เช่น

ข้าวเกรียบปลาหมึก มีโปรตีน 12 % ไขมัน 43 % และคาร์โบไฮเดรต 44 %
ถั่วอบกรอบ มีโปรตีน 13 % ไขมัน 41 % และคาร์โบไฮเดรต 47 %

จะเห็นว่าทั้งๆ ที่มีเนื้อสัตว์และถั่วซึ่งเป็นแหล่งของโปรตีนอยู่ด้วย ปริมาณไขมันก็ยังสูง ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของพลังงาน ซึ่งมาตรฐานที่คนทั่วไปควรได้รับคือ 30 เปอร์เซ็นต์ของพลังงาน ขนมขบเคี้ยวอื่นๆ ก็ให้สารอาหารไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก ทั้งผู้ใหญ่และเด็กขณะพักผ่อนหรือนั่งดูทีวี นอกจากขบเคี้ยวขนมแล้วยังมีเครื่องดื่มที่คัดสรรมาตามความชอบรวมอยู่ด้วย แต่ละชนิดมีน้ำตาลแฝงอยู่จำนวนมาก

จากการสำรวจของสำนักงานสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาวะและลดปัจจัยเสี่ยงของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการเสริมสร้างสุขภาพ (สสว.) พบเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ได้แก่

1. ชานมหรือชาเย็น ขนาด 500 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 31.25 ช้อนชา
2. ชาเขียวผสมนม 250 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 26.3 ช้อนชา
3. ชาเขียวรสน้ำผึ้ง 250 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 25 ช้อนชา
4. ชาดำเย็น 350 มิลลิลิตร มีน้ำตาล 15.3 ช้อนชา
5. รูทเบียร์ 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 15.3 ช้อนชา
6. น้ำอัดลมไม่มีสี 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 11.4 ช้อนชา
7. น้ำอัดลมหลากสี 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 11.4 ช้อนชา
8. น้ำอัดลมรสส้ม 1 กระป๋อง มีน้ำตาล 9.5 ช้อนชา

ปริมาณน้ำตาลที่เด็กควรได้รับประมาณ 4 ช้อนชาต่อวัน และผู้ใหญ่ประมาณ 6 ช้อนชาต่อวัน เมื่อกินขนมขบเคี้ยวควบคู่กับเครื่องดื่มบางชนิดจึงทำให้ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้นโดยไม่ตั้งใจ และสร้างพฤติกรรมการกินที่ผิดๆ จนเกิดเป็นนิสัย สิ่งที่ปรากฎคือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นทีละน้อย กว่าจะรู้สึกตัวก็ต้องเปลี่ยนขนาดของเสื้อผ้า หรืออาจเริ่มมีอาการเจ็บป่วยตามมา

ทางเลือกเพื่อแก้ไข
การจะห้ามไม่ให้กินนั่นไม่ให้กินนี่เป็นเรื่องยาก แต่จะกินอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหากับสุขภาพเป็นเรื่องเฉพาะตัวและต้องทำด้วยตนเอง จึงจะป้องกันไม่ให้อ้วนและไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียนก่อนเวลาอันควร

คนไทยกินอาหารวันละ 3 มื้อ นอกจากบางคนที่กินอาหารได้ปริมาณน้อยอาจจะกินมากกว่า 3 มื้อ โดยการเสริมอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวในช่วงบ่ายหรือก่อนนอนบ้าง แต่ผู้ที่กินอาหารได้ปกติ ของขบเคี้ยวและเครื่องดื่มเป็นสิ่งไม่จำเป็น เพราะเท่ากับเป็นการเพิ่มพลังงานและสารอาหารให้แก่ร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมทีละเล็กทีละน้อยจนได้เป็นน้ำหนักหรือโรคภัยตามมาเพราะขบเคี้ยวโดยไม่ขบคิด

อาหารทุกชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน ไม่มีอาหารอะไรดีหรือวิเศษที่สุด และไม่มีอาหารอะไรที่เลวหรือไร้ประโยชน์ แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย ปริมาณที่บริโภค และภาวะร่างกายในขณะนั้น เช่นเดียวกัน พฤติกรรมการบริโภคของแต่ละคนก็แตกต่างกัน บางคนอาจจะกินเพราะความชอบ ตามคำชักชวน ตามกระแสนิยม แต่จะกินอะไรหรือเพราะเหตุใดก็ตาม ลองมาทบทวนดูว่าก่อนกินอาหารเคยขบคิดหรือไม่ว่า อาหารนั้นประกอบด้วยอะไรบ้าง ให้โทษหรือประโยชน์แก่ร่างกาย ควรจะกินมากน้อยแค่ไหน คำตอบก็น่าจะบอกว่าไม่เคยคิด หรือเข้าข้างตัวเองว่ามัวแต่คิดก็ไม่ได้กิน กินไม่ทัน หรืออดกิน จริงๆ แล้วการขบคิดใช้เวลาไม่มาก แต่จะเป็นการสร้างบริโภคนิสัยที่ดีให้แก่ตนเอง

จากข้อมูลที่ดังกล่าวคงจะช่วยให้คุณผู้อ่านตัดสินใจว่าจะเริ่มสร้างบริโภคนิสัยที่ดีได้แล้วหรือยัง... ฝึก “การขบคิด...ก่อนขบเคี้ยว” อาหาร เพื่อสุขภาพของตัวคุณและสมาชิกในครอบครัว หรือจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคไร้เชื้อและเรื้อรังในอนาคต?




กรอบสวยๆ จากคุณsomjaidean100
ข้อมูลจาก//www.gourmetthai.com







Create Date : 19 ธันวาคม 2554
Last Update : 19 ธันวาคม 2554 6:48:55 น. 1 comments
Counter : 938 Pageviews.

 


โดย: น้องเมย์น่ารัก วันที่: 22 กรกฎาคม 2557 เวลา:11:33:10 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

kobnon
Location :
นนทบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 92 คน [?]




.
สาระน่ารู้ประจำวัน
1.โรคข้อสันหลังอักเสบติดยึด
2. บุหรี่ ทำนมยาน หูตึง
3. Upside down pineapple cake


music
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
19 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add kobnon's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.