Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
29 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 

น้ำมันดีเซลลง 60 สตางค์--หุ้นตก 13 จุด--หม่อมอุ๋ยแนะเอาเงินฝากแบงก์เล่นหุ้น--SMEควบบสย.

. . .

ราคาดีเซลลดลงลิตรละ 60 สตางค์ วันที่ 30 ต.ค.นี้ ตามเบนซินและแก๊สโซฮอล์ที่ประกาศลดไปวันก่อนหน้านี้ลิตรละ 80 สตางค์ และ 60 สตางค์ตามลำดับ

ผู้ค้าน้ำมันประกาศลดราคาขายปลีกน้ำมัน ดีเซลลงอีกลิตรละ 60 สตางค์ มีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันนี้ (30 ต.ค.) ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีเซลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นดังนี้
ดีเซลบี 2 ราคาลิตรละ 22.84 บาทต่อลิตร
ดีเซลบี 5 เหลือ 21.84 บาทต่อลิตร
ส่วนราคาน้ำมันกลุ่มเบนซิน ยังเป็นราคาเดิม
โดยเบนซิน 91 ลิตรละ 28.59 บาท
แก๊สโซฮอล์ 95 อี 10 ลิตรละ 23.29 บาท
แก๊สโซฮอล์ 91 อี 10 ลิตรละ 22.49 บาท
แก๊สโซฮอล์อี 20 ลิตรละ 21.99 บาท

เมื่อวันที่ 29 ต.ค.ที่ผ่านมา ผู้ค้าน้ำมันได้ประกาศลดราคาเบนซิน 91 ลงลิตรละ 80 สตางค์ และแก๊สโซฮอล์ลดลงลิตรละ 60 สตางค์
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. กล่าวว่า ราคาน้ำมันตลาดโลกยังคงผันผวนตามปัจจัยต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงกลุ่มโอเปกอาจตัดสินใจลดการผลิตลงอีกในการประชุมครั้งหน้า (17 ธ.ค.) ที่ประเทศอัลจีเรีย นอกจากนี้สภาพอากาศที่ย่างเข้าสู่หน้าหนาวอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้ จึงขอให้ประชาชนใช้พลังงานอย่างประหยัด

. . .


รัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ อัดฉีดเงินเข้าระบบผ่านกองทุนหมู่บ้าน และโอท็อป

เมื่อวันที่ 29 ต.ค. นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมทีมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อออกมาตรการฉุกเฉินรับมือวิกฤตการเงินโลก และภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

นายสมชาย กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งนำงบประมาณที่ให้กระทรวงต่างๆ มาใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือเพื่อรับทราบปัญหาดังกล่าว ซึ่งจะมีการระดมความเห็นหลายโครงการ อาทิ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ โอทอป และโครงการกองทุนหมู่บ้าน (กทบ.)) หรือ SML ที่จะต้องเร่งรัดให้เกิดขึ้นได้โดยเร็ว

รูปแบบการหารือในวันที่ 29 ต.ค. รัฐบาลใช้ชื่องานว่า การประชุมเชิงปฏิบัติการการบูรณาการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (กทบ.) 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (โอทอป) และเอสเอ็มแอล โดยที่ประชุมมีนายโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง

นายโอฬาร เปิดเผยหลังการประชุมว่า รัฐบาลต้องการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2552 โดยได้กำชับให้หน่ายงานทุกกระทรวง ทบวง กรม ให้กระตือรือร้นในการทำงาน เพื่ออัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจลงสู่รากหญ้า

นายโอฬาร ยังแสดงความเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าที่จะชะลอตัวลง ทั้งการส่งออก และการค้าขายกับต่างประเทศ อันเป็นผลมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ดังนั้น จึงเตรียมเพิ่มการขาดดุลงบประมาณกลางปี 2552 อีก 1 แสนล้านบาท เพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก โดยผ่านโครงการ SME ต่างๆ

นายโอฬาร ระบุว่า รัฐบาลพยายามผลักดันให้เศรษฐกิจไทยเติบโตให้ได้ร้อยละ 5 ต่อปี ทั้งนี้เนื่องจากมีความกังวลว่าหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงร้อยละ 1 จะทำให้เกิดภาวะการว่างงานถึง 4 แสนคน

ส่วน 6 มาตรการ ที่รัฐบาลได้ประกาศเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น จะมีมาตรการย่อยออกมาเป็นระยะ เพื่อพยุงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมแสดงความมั่นใจว่า โครงการกองทุนหมู่บ้าน SML และ โอทอป เป็นหนึ่งในมาตรการของรัฐบาล ที่จะช่วยให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งและรับมือกับวิกฤตการเงินโลกได้

สำหรับปัญหาในการเบิกจ่ายงบประมาณที่เกิดความล่าช้า ว่าเนื่องจากงบลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) และงบประมาณที่เบิกจ่ายไปแล้ว จากบัญชีกลาง แต่ยังคงค้างอยู่ที่หน่วยงานท้องถิ่น

ทั้งนี้ นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง จะเข้าไปดูแลในเรื่องดังกล่าว หากพบว่าหน่วยงานใดเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี ก็อาจจะมีผลต่อการพิจารณางบประมาณในปีถัดไป

ส่วนแผนการพยุงตลาดหุ้น นายโอฬาร กล่าวว่า กองทุนที่มีวงเงินรวมกันประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะเพียงพอที่จะรองรับการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยได้ รวมถึงสามารถรองรับต่อกรณีที่นักลงทุนต่างชาติจะเทขายหุ้นได้จนถึงสิ้นปีนี้ กองทุนดังกล่าวประกอบด้วย

กองทุนที่จัดตั้งโดยความร่วมมือของ บลจ.และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วงเงิน 3 พันล้านบาท ซึ่งเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นบ้างแล้ว

กองทุนที่จัดตั้งโดยธนาคารพาณิชย์, ธนาคารออมสิน และ ตลาดหลักทรัพย์วงเงิน 7 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนที่จัดตั้งโดยการรวมตัวกันของ บริษัทจดทะเบียน 25 แห่ง วงเงิน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เริ่มเข้าไปซื้อหุ้นบ้างแล้วประมาณ 2 พันล้านบาท

. . .


ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เสนอธนาคารพาณิชย์นำเงินฝากตั้งกองทุนลงทุนในตลาดหุ้น

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ “ความเสี่ยงจากวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ” โดยย้ำว่า ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ลุกลามไปยังยุโรปและญี่ปุ่น นับเป็นปัญหาที่กระทบหนักต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทำให้กลางปีหน้าอาจมีปัญหาเศรษฐกิจถดถอย

การส่งออกไปยัง 3 ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าไอที เครื่องใช้ไฟฟ้า อัญมณี ของใช้คงทน จะได้รับผลกระทบหนัก เพราะ 3 ประเทศดังกล่าวจะลดการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือย

อย่างไรก็ตาม ยังมองว่าสถาบันการเงินของไทยยังมีความเข้มแข็ง แต่อาจจะระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ

ส่วนภาคเอกชนแนะนำให้ลดการเก็บสต๊อกสินค้าที่เกินความจำเป็น เพื่อไม่ให้เงินจมในสต๊อกดังกล่าว ไม่ให้ขยายธุรกิจเกินความจำเป็น ดูแลการบริหารธุรกิจตามสภาพที่เหมาะสม ขอให้คงการจ้างงาน เพื่อรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ เพื่อให้คนงานหรือลูกจ้างอยู่ร่วมกันได้

สำหรับการดูแลการลงทุนในตลาดหุ้นไทย จากนี้ไปเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนน้อย มีแต่เงินทุนไหลออกเพื่อขายหุ้นกลับไปเยียวยาบริษัทแม่ในต่างประเทศ ซึ่งถ้าหากขายออกจำนวนมากถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะสามารถรองรับปัญหาได้ แต่คาดว่าต่างชาติคงไม่แตกตื่นขายหุ้น แม้จะมีปัญหาระยะยาว เพราะยังเชื่อมั่นตลาดหุ้นไทย แม้จะปรับลดลงเหมือนตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ยังมีพื้นฐานดี

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าวว่า ที่ผ่านมา ตลาดหลักทรัพย์ถูกครอบงำและชี้นำโดยนักลงทุนต่างชาติมานาน โดยไม่เคยสร้างความแข็งแกร่งให้กับนักลงทุนในประเทศ จึงต้องส่งเสริมให้นักลงทุนในประเทศแข็งแกร่ง และมีบทบาทในตลาดหุ้นไทย

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร มองว่าเงินฝากในระบบของไทยมีสูงถึง 9.85 ล้านล้านบาท อยากเสนอให้ธนาคารพาณิชย์ตั้งกองทุนเพื่อนำเงินไปลงทุนในหุ้นที่ไม่มีความเสี่ยงให้ผลตอบแทนดี แล้วนำมาแบ่งเป็นหน่วยลงทุนขายให้นักลงทุนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะผู้ที่มีเงินฝากในต่างจังหวัดให้มีทางเลือกในการหาผลประโยชน์จากเงินออม เพราะหุ้นขนาดใหญ่ยังให้ผลตอบแทนดี มีกำไรสูงน่าจะดึงดูดให้นักลงทุนหรือผู้มีเงินออมในประเทศสนใจซื้อหน่วยลงทุน เพราะธนาคารพาณิชย์มีสาขากระจายทั่วประเทศ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า การตั้งกองทุนดังกล่าวแม้เริ่มต้นเป็นเงินไม่มาก แต่เมื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เข้าซื้อกองทุนวงเงินก็จะเพิ่มขึ้นในระยะยาว และจะทำให้นักลงทุนในประเทศมีบทบาทในตลาดหุ้นมากขึ้น

สำหรับการตั้งงบประมาณขาดดุลของรัฐบาลโดยตั้งงบกลางปีเพิ่มขึ้น เป็นแนวทางที่ดีที่จะปรับใช้ในจังหวะที่เศรษฐกิจมีปัญหา แต่ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะนำเงินไปใช้จ่ายส่วนใดบ้าง ซึ่งควรนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะระบบขนส่ง การพัฒนาระบบชลประทาน

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย มีแนวโน้มลดลง แต่ก็ต้องระมัดระวังอัตราเงินเฟ้อ เพื่อไม่ให้อัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบ

นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การส่งออกยังมีความสำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศ เพราะเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว เนื่องจากการบริโภคในประเทศลดลงและปีหน้าก็จะยังไม่ดีขึ้น

โดยวิกฤติเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศขณะนี้ มีปัญหารุนแรงคงต้องใช้เวลาฟื้นฟู 3-5 ปี เพราะปัญหามีความลึกและซับซ้อน การแก้ปัญหาภายใน 1 ปีให้ฟื้นตัวคงเป็นไปไม่ได้ เอกชนจะต้องพึ่งตัวเอง การหวังพึ่งนโยบายรัฐอาจจะไม่ต่อเนื่องมากนัก

สำหรับการเพิ่มขาดดุลงบประมาณด้วยการตั้งงบกลางปีเพิ่มขึ้น ถือว่าสอดคล้องกับข้อเสนอของภาคเอกชน เพราะมีเงินทุนกระตุ้นเศรษฐกิจและน่าจะทำให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น แต่ก็ต้องนำเงินไปใช้จ่ายในส่วนที่เป็นประโยชน์แก่เศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยขณะนี้ภาคเอกชนยังเป็นห่วงอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ระดับสูง เพราะหากระบบการเงินมีปัญหาสภาพคล่องผู้ประกอบการรายย่อยจะกระทบหนักมากกว่ากลุ่มอื่น

นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการด้านการพัฒนาเศรษฐกิจส่วนรวมและการกระจายรายได้ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า การตั้งงบกลางปีเพิ่มขึ้นถือเป็นส่วนที่ดี เพื่อนำมาบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ แม้เพิ่มขึ้นอีกประมาณร้อยละ 1 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) คงไม่กระทบต่อวินัยการเงินการคลัง แต่ต้องนำเงินไปใช้ให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการศึกษา การลงทุนด้านสาธารณสุข เพื่อส่งผลระยะยาวมากกว่า การนำมาใช้ในด้านประชานิยม สำหรับเศรษฐกิจ 6 เดือนข้างหน้า ยังไม่ดีขึ้นและจะถดถอยไปเรื่อย ๆ ดังนั้น ภาคธุรกิจต้องระมัดระวังการลงทุน

น.ส.อมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เศรษฐกิจ 6 เดือนข้างหน้าคงต้องอาศัยการกระตุ้นจากรัฐบาลด้วยการเร่งรัดการใช้จ่าย เพราะที่ผ่านมางบประมาณปี 2551 ควรเบิกจ่ายได้ร้อยละ 94 แต่เบิกจ่ายจริงได้ร้อยละ 92.3 ซึ่งแทบจะไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

โดยมองว่าในช่วงไตรมาสแรกปี 2552 เศรษฐกิจไทยน่าจะถึงจุดต่ำสุด ขณะที่ปีนี้ยังมองว่าจีดีพีจะ ขยายตัวร้อยละ 3.8-5.0 สำหรับการดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ใน 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทอ่อนค่าลง และขณะนี้เทียบกับต้นปีอ่อนค่าลงร้อยละ 3.6 ซึ่ง ธปท.พยายามดูแลค่าเงินบาทไม่ให้ผันผวนจนกระทบต่อการส่งออก และจะไม่ฝืนแนวโน้มของตลาดเพื่อให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศเพื่อนบ้าน

นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ในช่วงกลางปีหน้า อัตราเงินเฟ้อน่าจะใกล้ร้อยละ 1 หรือต่ำกว่า แต่จีดีพีที่มองไว้ร้อยละ 4-5 ขณะนี้มีแนวโน้มอยู่ที่ร้อยละ 4 เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบเข้ามา

นายวรภัทร โตธนะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริสเรตติ้ง จำกัด กล่าวว่า จากการสำรวจบริษัทเอกชน 104 ราย ช่วง 6 เดือนข้างหน้า พบว่าธุรกิจขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ยังมีกำลังผ่อนชำระหนี้ เพราะมีภาระหนี้ไม่มากเกินไป ดังนั้น ในช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปีข้างหน้า ปัญหาที่จะเกิดกับสถาบันการเงินคงมีไม่มาก เพราะไทยมีบทเรียนจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ทำให้มีการปรับตัวและระมัดระวังทั้งการกู้เงินและการปล่อยสินเชื่อ

. . .


หุ้นไทยปิดลดลง 13.89 จุด

การซื้อขายหุ้นไทยวันที่ 29 ต.ค. ดัชนียังคงแกว่งตัวผันผวน ปิดตลาดที่ 384.15 จุด ลดลง 13.89 จุด หรือคิดเป็นร้อยละ 3.49 ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 15,734 ล้านบาท

นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 410 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 96 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 506 ล้านบาท

น.ส.จิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไซรัส มองว่า ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวผันผวน เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐเป็นหลัก ซึ่งยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะเดียวกัน นักลงทุนได้รับทราบข่าวการปรับอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นและกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ทำให้ปัจจุบันนักลงทุนไม่ตื่นเต้นกับข่าวดังกล่าว และยังมีการเทขายออกมาอย่างต่อเนื่อง จากความกังวลของตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่คาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดประมาณการลง

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันที่ 30 ต.ค.นี้ มองว่าดัชนีน่าจะปรับตัวลงต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังเป็นห่วงวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐ และยังหวั่นกับการประกาศตัวเลขจีดีพี ซึ่งหากเป็นไปตามคาดก็จะยิ่งทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มอีก ขณะเดียวกัน ปัญหาการเมืองก็เป็นปัจจัยกดดันให้ดัชนีปรับตัวลดลงเช่นกัน ประเมินแนวรับที่ 350 จุด และแนวต้าน 400 จุด ด้านกลยุทธ์การลงทุนแนะนำการชะลอการลงทุน

นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ มีปัจจัยสำคัญเรื่องดอกเบี้ย ถ้าเฟดลดตามที่ตลาดคาดการณ์ ตลาดหุ้นก็น่าจะปรับฐานลงมา เพราะขายหุ้นเมื่อข่าวดีออก แต้ถ้าเฟดลดมากกว่า 0.5% คือลด 0.75% ตลาดหุ้นอาจจะตอบสนองในทิศทางที่เป็นบวกได้ หลังจากนั้นก็อาจจะลงต่อ เพราะการลดดอกเบี้ยลงไปเยอะๆ ถ้าจะมองอีกแง่มุมหนึ่ง ก็แสดงว่าเศรษฐกิจแย่กว่าที่คิดไว้มาก ก็จะกดดันตลาดหุ้นต่อไป ประเมินแนวรับแรก 393 จุด แนวต้าน 407 จุด

. . .


“เอสเอ็มอีแบงก์ ควบ บสย.”

นายประดิษฐ์ ภัทรประดิษฐ์ รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังเปิดโครงการ “ช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ช่วยเหลือตัวเองได้” หรือ sme POWER ว่า คณะทำงานศึกษาปัญหาของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้ปฏิเสธคำขอเพิ่มทุนของสองสถาบันการเงิน จำนวน 2,100 ล้านบาท เพราะเห็นว่า ไม่ได้แก้ปัญหาอย่างแท้จริงในระยะยาว พร้อมกับเห็นชอบให้ควบรวมสถาบันการเงินทั้งสองเข้าด้วยกัน และให้มีการปรับโครงสร้างผู้บริหารใหม่

ทั้งนี้ การควบรวมสององค์กรดังกล่าว จะช่วยสร้างองค์กรการเงินใหม่ที่มีงบดุลการเงินแข็งแกร่งขึ้น มีสินทรัพย์รวมประมาณ 54,000 ล้านบาท โดยมาจากเอสเอ็มอีแบงก์ ราว 48,000 ล้านบาท และจาก บสย. ประมาณ 6,000 ล้านบาท มีหนี้สินรวมกว่า 46,000 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้น 8,800 ล้านบาท

ซึ่งภายหลังการควบกิจการ เอสเอ็มอีแบงก์ จะมีเงินกองทุนกว่า 9,000 ล้านบาท สามารถขยายการให้สินเชื่อและออกหนังสือค้ำประกันเงินให้สินเชื่อวงเงินกว่า 30,000 ล้านบาท โดยไม่ต้องขอเงินเพิ่มทุนจากรัฐบาลแต่อย่างใด

“ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีต เกิดจากการใช้เงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพของสถาบันการเงินทั้ง 2 แห่ง ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียมูลค่าสูง และมีการขอเพิ่มทุน ผมจึงปฏิเสธไม่ให้มีการเพิ่มทุน พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่เข้าไปทำงาน ซึ่งเชื่อได้ว่ามีความเชี่ยวชาญและโปร่งใสตรวจสอบได้ โดยการควบรวมกิจการจะทำให้ประสิทธิภาพขององค์กรดีขึ้น และการพิจารณาการปล่อยสินเชื่อใหม่จะพิจารณาถึงการปล่อยกู้ที่มีประสิทธิภาพ” รมช.คลังกล่าว

การควบกิจการยังลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนอนุมัติสินเชื่อ ซึ่งจะสามารถทำงานได้รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้ง ประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ระบบไอที เงินเดือนพนักงาน เป็นต้น

ด้านการปรับโครงสร้างองค์กรหลังควบรวมแล้ว บสย.จะเข้ามาเป็นหน่วยงานหนึ่งของเอสเอ็มอีแบงก์ เบื้องต้นยังไม่มีแผนปรับลดพนักงานแต่อย่างใด ส่วนผู้จะมาดำเนินตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเอสเอ็มอีแบงก์คนใหม่นั้น ทางคณะกรรมการสรรหาซึ่งมีนายพิชิต อัคราทิตย์ เป็นประธานจะดำเนินการสรรหาต่อไป

ทั้งนี้ ได้เสนอแผนควบรวมให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นชอบในวันที่ 28 ต.ค.51 หลังจากนั้น ส่งให้คณะกรรมการกฤษฏีกาตีความ พิจารณาแก้กฎหมาย คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในระยะเวลา 6-9 เดือนข้างหน้า

นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ ในฐานะที่ปรึกษา รมช.คลัง อธิบายว่า เดิมการช่วยเหลือเอสเอ็มอีจะกระจัดกระจายอยู่หลายหน่วยงาน การรวบกิจการจะมาช่วยแก้ปัญหาให้เอสเอ็มอีอย่างครบวงจร รวมถึง แก้ปัญหาภายในของทั้งสององค์กรด้วย เพราะถ้าปล่อยให้ดำเนินการอย่างเดิมต่อไป รัฐบาลจะต้องเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มทุนไปเรื่อยๆ แต่การมาควบรวม ช่วยเพิ่มศักยภาพให้เป็นสถาบันการเงินที่มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น

ส่วนการแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอล ซึ่งปัจจุบัน เอสเอ็มอีแบงก์ มี NPL สูงกว่าร้อยละ 46.85 ส่วน บสย. มีประมาณร้อยละ 10 เมื่อรวมกันแล้วจะมีมูลค่ารวม 20,000 ล้านบาทหรือร้อยละกว่า 50 ทางคณะกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ชุดใหม่ ซึ่งมีนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ เป็นประธาน จะเข้ามาวางแผนสะสาง เช่น อาจจะขายเอ็นพีแอล หรือดำเนินการรูปแบบต่างๆ เป็นต้น ตั้งเป้าจะลดเอ็นพีแอลที่ไม่นำสินเชื่อใหม่มาเฉลี่ยรวม ให้เหลือร้อยละ 15 ภายใน 4 ปี

นายประดิษฐ์ เปิดเผยถึงความช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ระยะเร่งด่วนซึ่งดำเนินการได้ทันที เพื่อรับมือวิกฤตการเงินโลก ภายใต้โครงการ sme POWER แบ่งเป็น 2 ด้าน คือ ด้านการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และด้านเสริมศักยภาพความรู้ และเทคโนโลยี

ในด้านแหล่งเงินทุน ประการแรก จะมีเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเอสเอ็มอี จำนวน 10,000 ล้านบาท โดยคิดอัตรา MLR หรือร้อยละ 7.25 ซึ่งถูกว่าอัตราสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอีของธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ที่จะมีอัตราที่ MLR + 1 หรือ + 2
อีกทั้ง จะขยายระยะเวลาชำระหนี้คืน จาก 5 ปีเป็น 7 ปี และสำหรับเอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีปัญหาสภาพคล่อง ขาดเงินทุน แต่ธุรกิจยังพอดำเนินการต่อไปได้ จะมีสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้ในวงเงินตั้งแต่ 3 แสนถึง 10 ล้านบาท

ประการที่สอง ให้บริการเงินร่วมลงทุนแก่เอสเอ็มอี โดยจัดสรรเงินจำนวน 500 ล้านบาท เพื่อร่วมลงทุนแก่เอสเอ็มอีในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ หรือกำลังขยายกิจการ ซึ่งต้องการเงินลงทุนเพิ่ม แต่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันไม่เพียงพอที่จะกู้ยืม

ทั้งนี้ เอสเอ็มอีแบงก์จะเข้าถือหุ้นเป็นส่วนน้อยในกิจการเพื่อแลกกับการอัดฉีดเงินร่วมลงทุนเข้าไปในวิสาหกิจนั้นๆ หลังจากที่ธุรกิจประสบความสำเร็จแล้ว ธนาคารจะขายหุ้นและปล่อยให้ผู้ประกอบการเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มตัว

ประการที่สาม คือ การค้ำประกันสินเชื่อให้แก่สถาบันการเงินอื่นๆ ที่พิจารณาปล่อยสินเชื่อให้เอสเอ็มอี โดยเอสเอ็มอีแบงก์จะค้ำประกันให้ผู้ประกอบการในส่วนที่หลักทรัพย์ค้ำประกันไม่เพียงพอ ซึ่งบริการนี้จะจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ ปล่อยสินเชื่อให้แก่เอสเอ็มอีขนาดเล็กที่มีความเสี่ยงสูงมากยิ่งขึ้น และยังช่วยระดมทุนจากธนาคารพาณิชย์ต่างๆ มาช่วยเอสเอ็มอี ทั้งนี้ ได้จัดสรรเงินทุนสำหรับค้ำประกัน จำนวน 4,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะขยายวงเงินสินเชื่อสู่เอสเอ็มอีได้กว่า 12,000 ล้านบาท

ในด้านเสริมศักยภาพความรู้ และเทคโนโลยี โครงการ smePOWER จะเน้นเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ผ่านการช่วยเหลือทางเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ โดยส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ ไปเยี่ยมกิจการเอสเอ็มอี เพื่อให้คำแนะนำถึงเทคโนโลยี หรือกระบวนการทำงานเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มมูลค่าสินค้า หรือลดต้นทุนการผลิต เป็นต้น

ทั้งนี้ จะให้หน่วยงานของรัฐอย่างสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มาเป็นกำลังขับเคลื่อน ซึ่งขณะนี้ สวทช. กำลังดำเนินโครงการยกระดับเทคโนโลยีและประสิทธิภาพของเอสเอ็มอีอยู่แล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง สามารถช่วยผู้ประกอบการได้ปีละแค่ 250 คน ดังนั้น จะยกระดับโครงการนี้ อีกสิบเท่าเป็น 2,500 คนต่อปี

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือในโครงการ sme POWER ดังกล่าว เบื้องต้นต้องเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีตามข้อกำหนดของกฎหมาย ส่วนรายละเอียด และเงื่อนไขต่างๆ นั้น ทางคณะกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ ซึ่งมีนายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ เป็นประธาน จะประกาศภายในอีก 2-3 วันข้างหน้า

โครงการ sme POWER จะสามารถให้บริการแก่ผู้ประกอบการได้ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน 2551 เป็นต้นไป

. . .




 

Create Date : 29 ตุลาคม 2551
2 comments
Last Update : 29 ตุลาคม 2551 19:52:15 น.
Counter : 1542 Pageviews.

 



...เอาความสุขมาฝากปู่ชิว

 

โดย: ดราก้อนวี 30 ตุลาคม 2551 15:16:52 น.  

 

. . .



xie xie ni ja pavee...
ขอให้มีความสุขมากๆเช่นกันจ้า..



. . .

 

โดย: loykratong 30 ตุลาคม 2551 19:34:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


loykratong
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]






ไม่มีอะไรขึ้นตลอด
ไม่มีอะไรลงตลอด
...ไม่มี the end of the world ...

Web Site Hit Counters

ราคาทองคำ
 

ราคาทองคำต่างประเทศ



Friends' blogs
[Add loykratong's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.