จัตุรัสเทียนอันเหมิน พระราชวังต้องห้าม พระราชวังฤดูร้อน หอฟ้าเทียนถาน @ Beijing China
อีกครั้งกับเมืองจีน ทริปส้มหล่นจากที่ทำงานเดิม ให้ไปดูแลสมาชิกชมรมธนาคารจังหวัดเชียงใหม่ ที่ไปประชุมสัญจร ณ กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ในเดือนพฤศจิกายน 2555
พูดถึง ปักกิ่ง ก็นึกถึง กำแพงเมืองจีน 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก รออยู่ที่นั่น ใจมันก็เต้นตึกตัก กระชุ่มกระชวย อย่างบอกไม่ถูก
ฝันอยากจะไปเหยียบ กำแพงเมืองจีน สักครั้งในชีวิต แต่ก็ไม่ถึงกับดั้นด้นหาทางไปเหมือน นครวัด นครธม กัมพูชา และแล้วก็ได้ไปจนได้ ดีใจ ดีใจ ^^
เป็นครั้งสองที่หนีเจ้าตัวเล็กไปเที่ยว เอ๊ย มาทำงาน ส่วนเจ้าคนโตไม่นับ ชินกับพ่อแม่ที่หนีเที่ยวละ ไว้โตค่อยเอาคืนนะลูก :-D
มาถึงแล้ว ท่าอากาศยานนานาชาตินครปักกิ่ง เป็นสนามบินที่ใหญ่มาก สามารถบรรจุคนได้ถึง 43 ล้านคน ใหญ่โตกว่าแพนตากอนของสหรัฐอเมริกาอีก
พอเหยียบสนามบินปุ๊บ ก็คว้ากล้องมาคล้องคอเตรียมเก็บภาพ เสียงไกด์กระซิบเตือนอย่าถ่ายรูปนะคะ เค้าห้าม กฎหมายแรง จำต้องเก็บกล้องใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายแอบเอาน้องไอซี่แอบบันทึกภาพ นิ๊สนุงน่า^^
ทริปนี้ มีคนให้ยืม Canon 60D เลนส์ 17-50 mm. มาลองใช้ จากที่รบเร้าอยากได้ DSLR ตัวใหม่ แต่ไม่ผ่านการอนุมัติ กลับโยนเจ้านี่ให้แทน มีแผนไรป่าวว๊า..
ทั้งใหญ่ ทั้งหนัก ลูบ ๆ คลำ ๆ ทำความคุ้นเคยตอนอยู่บนเครื่องแล้ว ก็ลงภาคสนาม เก็บภาพแบบมั่ว ฟ้าก็ดันไม่เป็นใจอีก ภาพที่ได้ก็เป็นฉะนี้ (อะ อะ ว่าเค้า รำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง ใช่ม๊า 55 อ่านะ..)
จัตุรัสเทียนอันเหมิน เป็น จัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก ท่านประธานาธิบดี เหมา เจ๋อ ตุง ได้ใช้เป็นสถานที่ประกาศก่อตั้ง สาธารณะรัฐประชาชนจีน ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1959 อีกด้วย
ว่ากันว่า จัตุรัสแห่งนี้ สามารถบรรจุคนได้ถึง 1,000,000 คน เลยทีเดียว รอบ ๆ จัสตุรัส เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ และ สุสานของท่านประธานเหมา
ภาพด้านบนเป็น อนุสาวรีย์วีรชน ที่รำลึกถึงผู้ปฏิวัติที่เสียชีวิต ส่วนภาพล่าง เป็นภาพผู้คนที่มาต่อแถว เคารพศพ ท่านประธานเหมา
จำนวนผู้คนที่แถวยาวสุดลูกหูลูกตา ทำเอาตะลึง อึ้งไปนานเลยค่ะ ไกด์บอกว่า บางคนมาตั้งแต่โก่ยังไม่ทันจะโห่ กว่าจะถึงคิวได้เข้าไปเคารพศพ ปาเข้าไปเกือบเที่ยงแต่ก็ยอม เค้าคงรักและเคารพของเค้าเนอะ
ฝูงชนที่ จัสตุรัสเทียนอันเหมิน ทำให้ใจนึกกลัวขึ้นมา กลัวว่าจะหลงจากคณะค่ะ เพราะถ้าหลงไม่สนุกแน่ นึกภาพไม่ออกเลยว่า จะหากันเจอได้อย่างไร
นี่ขนาดไม่ใช่ช่วงเทศกาล คนยังเที่ยวกันขนาดนี้ เก็บภาพไป ตาก็ลอกแล่กไป คอยจิกตามองสมาชิกร่วมทริปว่าเดินไปทางไหน หวาดระแวงยังไงไม่รู้
หลังจากชม จัสตุรสเทียนอันเหมิน แล้ว เราจะไปชม พระราชวังต้องห้าม หรือ พระราชวังกู้กง กัน
โดยทางเข้าชม ต้องผ่าน ประตูเมืองเทียนอันเหมิน ที่มีรูปท่านประธานเหมาอยู่ด้านหน้าประตูเมือง
จากจัตสุรัสเทียนอันเหมิน เราต้องข้ามถนนค่อนข้างกว้าง (ถนนหนทางในกรุงปักกิ่งกว้างและมีหลายเลนส์มาก) เราต้องเดินลอดอุโมงค์เพื่อทะลุไปยัง ทางเข้าประตูเมืองเทียนอันเหมิน
คนเยอะมาก อเมซิ่งสุด ๆ ก็อีตรงคนมันมาเที่ยวมหาศาลอย่างนี้ จัสตุรัสที่ว่าจุคนได้เป็นล้าน ไม่ยังตื่นตาที่เห็นผู้คนเรือนหมื่นเรือนแสนมาเที่ยวในครั้งนี้
จะว่าไปไม่น่าแปลกสำหรับเมืองจีน แต่ ณ กรุงปักกิ่ง นาทีนี้ มันเยอะว่าที่เคยเห็นทุกครั้งที่มาเยือนจีนจริง ๆ
ไกด์ให้แวะเข้าห้องน้ำก่อนที่จะเข้าชมพระราชวัง ห้องน้ำจะอยู่ด้านขวามือของประตูทางเข้า แม้จะรู้สถานการณ์ของห้องน้ำในเมืองจีนดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่วายหัวเสีย
อีตอนต้องเอาร่างบอบเอวเบียดจ่อคิวเข้าห้องน้ำอย่างไม่เป็นระเบียบ เมื่อความบึกบึนของร่างกายสู้ไม่ไหว ก็เลยต้องใช้เสียงช่วยข่มคนเบียดและพยายามแซง ส่วนกลิ่นไม่ต้องพูดถึง มีให้เลือกอยู่สองอย่าง ทนเหม็น กับ ทนอั้น เลือกเอา
เลือกมุมถ่ายที่ปลอดหัวคน ยากเย็นแสนเข็ญ นาทีที่ต้องเบียดเสียดผู้คนหลายร้อยคนเข้าประตู
ไกด์เตือนอย่ามองว่าธงคนนำที่เป็นรูปธงไทย เพราะทัวร์ไทยที่มาวันนี้เยอะมาก แต่ละทัวร์ก็ใช้ธงไทยนำลูกทัวร์ เหมือน ๆ กัน อาจจะหลงไปทัวร์ไทยกรุ๊ปอื่น ดังนั้น ต้องมองว่าธงไทยกรุ๊ปเรา มีริบบิ้นสีเขียวควบคู่ไปด้วย
ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซะหน่อย เป็นหลักฐานปักหมุดว่า ครั้งหนึ่ง ได้มาที่ตรงนี้ครั้งหนึ่งแล้วนะ คนไม่ค่อยได้เที่ยว พอได้มาก็หน้าบานชะนี้ อิอิ
ผ่านประตูเมืองเทียนอันเหมินเข้ามาแล้ว ก็จะเจอประตูนี้ค่ะ ประตูอู่เหมิน หลังจากเดินเข้าประตูอู่เหมินนี่แล้ว ก็จะเป็นเขตพระราชวังกู้กง
ประตูอู่เหมิน เป็น ประตูหน้าด่านของพระราชวังต้องห้าม หรือ หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า พระราชวังกู้กง เป็นสถานที่ว่าราชการ และ ที่ประทับของจักรพรรดิ์ 24 พระองค์ ในสมัยราชวงศ์ หมิง และ ชิง
พระราชวังแห่งนี้ ในอดีตถือเป็นสถานที่ต้องห้ามสามัญชนทั่วไปเข้าไปเด็ดขาด อันเป็นที่มาของชื่อ พระราชวังต้องห้าม นั่นเอง
แต่เมื่อจีนได้เปิดประเทศ รัฐบาลจึงทำการเปิดให้ประชาชน และนักท่องเที่ยวเข้าชมพระราชวังแห่งนี้ได้ แต่ก็ไม่ได้เปิดให้เข้าชมทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่ยังคงเป็นเขตหวงห้าม
ทำเอาตะลึงอีกรอบค่ะ ครั้งนี้ตะลึงกับความงดงามของพระราชวัง ที่ติดที่อันดับ 1 ใน 10 ของ พระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลก สวยงามจริง ๆ ค่ะ
พระราชวังแห่งนี้ ใช้เวลาสร้างถึง 14 ปี ใช้แรงงานคนถึง 200,000 กว่าคน กว่าจะมาเป็น ศูนย์กลางการปกครองของเหล่าจักรพรรดิ์ในราชวงศ์จีน
นี่เป็น แผนผังของพระราชวังต้องห้าม ที่มีพื้นที่ถึง บนพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร มีอาคารเครื่องไม้ที่ประกอบด้วยห้องหับต่างๆถึง 9,999 ห้อง
เราจะต้องเดินผ่าน พระตำหนักว่าราชการ พระตำหนักชั้นใน ห้องบรรทมของจักรพรรดิ์ และห้องว่าราชการหลังมู่ลี่ไม้ไผ่ของพระนางซูสีไทเฮา
ที่เห็นเบื่องหน้านี่คือ พระตำหนักไท่เหอ เป็นพระตำหนักทีสำคัญและใหญ่ที่สุดของพระราชวังต้องห้าม
ตำหนักนี้ ใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ ของราชวงศ์หมิงและชิง ด้านในพระตำหนักยังมี บัลลังก์ไม้จันทร์แกะสลักลายมังกรสูงถึง 2 เมตรกลางตำหนัก เป็นบัลลังก์ที่สูงที่สุดของพระราชวังต้องห้ามค่ะ
อากาศเริ่มร้อน ไหนจะเบียดเสียดผู้คน ทำให้อารมณ์ในการถ่ายรูป เก็บพระราชวังแห่งประวัติศาสตร์ น้อยลงเรื่อย ๆ ความเหนื่อยเข้ามาแทนที่ แต่ก็ยังชื่นมื่นที่ได้สัมผัสที่แห่งนี้
ตำหนักไหนที่เกี่ยวกับจักรพรรดิ์จะมีสีเหลือง ตรงชายคาพระตำหนักจะมีลูกหลานมังกร จำนวน 10 ตัว แต่ละตัวไม่เหมือนกัน และมีความหมายต่างกัน
ตัวสุดท้ายจะเป็น ผีซิ่ว หรือที่เรียกกันอีกอย่างว่า ปี่เซี่ย ตัวที่สิบ หรือ ผีซิ่ว นี้ จะมีแต่เฉพาะตำหนักไท่เหอเท่านั้น มีหัวเป็นมังกร ตัวเป็นม้า เท้าเป็นกิเลน หนวดเครายาว มีปีก แต่ไม่มีก้น
คนจีนจึงมีความเชื่อว่า ถ้าได้บูชาผีซิ่วแล้ว จะมีเงินทองไหลมาเทมา ไม่ไหลออก ไหน ๆ เข้าเมืองตาหลิวก็ต้องหลิวตาตาม อยากรวยกะเค้ามั้ง แอบบูชาผีซิ่ว ที่ประตูชัย ไว้ 2 ตัว อิอิ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟัง ว่าทำไมต้องเป็นผีซิ่วที่ประตูชัย ในตอนหน้าค่ะ^^
เต่าแกะสลักใหญ่ตัวนี้ ไม่แน่ใจว่าจะเป็น ปิชิ รึเปล่า ปิชิ คือ รูปร่างคล้ายเต่ายักษ์ และสามารถแบบหินหนัก ๆ ได้ มีความเชื่อว่า หากสัมผัส จะมีแต่ความโชคดี
อีกซักภาพกับ ลูกมังกร บนชายคาพระตำหนัก (ไหนจำไม่ได้แล้ว) ตำหนักไหน ห้องไหน ปล่อยพี่ไกด์บรรยายไป ของเล็งกล้องอย่างเดียวละ ขออย่าหลุดจากคณะเป็นใช้ได้ เพราะเดินไกลมาก ใช้เวลาเดินชมครึ่งวันได้
อีกอย่าง ดูไปดูมาชักตาลาย เพราะสถาปัตยกรรมคล้ายคลึงกัน อยู่แต่ขนาดของตำหนัก ใหญ่ เล็ก ลดหลั่นกันไปแค่นั่นเอง
ถ้าจำไม่ผิดนี่เป็น พระตำหนักจงเหอ ที่ทรงงานของพระจักรพรรดิ์ ส่วนตำหนักด้านหลัง เป็น พระตำหนักเปาเหอ เป็นห้องเปลี่ยนเครื่องทรง ของพระจักรพรรดิ์ก่อนที่จะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ
ในที่สุด เราก็เดินมาถึง สวนวี่ฮวาหยวน ที่สวนที่จักรพรรดิ์ใช้พักผ่อนในปั้นปลายของชีวิต มีต้นไม้ร่มรื่น มีต้นสนมากมาย แต่ถูกฝูงชนแย่งความงามไปหมด
จุดเด่นของสวนนี้ก็คือ สนคู่ มีอายุราว 400 ปี กิ่งก้านของสนสองต้นเกี่ยวพันกัน เหมือนคู่รัก อันเป็นสัญญลักษณ์ ความปรองดองระหว่างจักรพรรดิ์กับฮองเฮา
ปิดไฮไลท์ครึ่งวันแรกด้วยภาพสนคู่นะคะ ขาเดินออกจากพระราชวังต้องห้าม ไม่คิดถงคิดถ่ายอะไรแล้ว เหนื่อยกายไม่เท่าไหร่ แต่สู้เบียดคนไม่ไหว อยากจะเดินออกประตูหลังเร็ว ๆ
ครึ่งวันแรก ก็เดิน เดิน เดิน จนแทบจะหมดแรง จาก @จัสตุรัสเทียนอันเหมิน ต่อด้วย @พระราชวังต้องห้าม จบ ก็มาต่อที่ @หอฟ้าเทียนถาน กันเลย
เนื่องจากลูกทัวร์เหน็ดเหนื่อยจากการเดินชมพระราชวัง ที่ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลกแล้ว จึงพาเดินชม หอฟ้าเทียนถาน ด้านหลังเอา เพราะเดินใกล้และทางร่มรื่น ไม่เหนื่อยมาก
มีกูรูแนะนำว่า ถ้าเดินชม หอฟ้าเทียนถาน จากด้านหน้าจะสวยงามมาก ๆ เพราะจะมองเห็นวิวทิวทัศน์ ทางเดินจากด้านหน้าไปถึงหอฟ้าเทียนถานเลย ถ้าให้ทัวร์เค้าพาไปปล่อยลงเดินด้านหน้า ก็จะขอกัดฟันเดินชมอยู่
ไหน ๆ ก็มาถึงที่แล้ว ไม่ได้มากันบ่อย ๆ ด้วย แต่เราไม่ได้คนเดียว ทำไรตามใจไม่ได้ ขนาดปล่อยเดินเข้าทางด้านหลัง มีหลายคนที่ยอมแพ้ขอนั่งรอทีสวนด้านนอก ได้แต่เสียดายแทน อุตส่าห์นั่งเครื่องมาตั้งหลายชั่วโมงแล้วเนอะ
หอฟ้าเทียนถาน เป็น สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ ที่ในอดีต องค์จักรพรรดิ์จีนต้องมาบูชาเทพเจ้า บวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน เพื่อขอให้ฝนตกตามฤดูกาล มีความสมบูรณ์ทางพืชพันธุ์ธัญญาหาร หรือทำพิธีขอบคุณสวรรค์ในทุกปี
อิอิ ไม่พลาด ขอถ่ายรูปเป็นหลักฐานอีกหนึ่งแชะ ขอบพระคุณผู้จัดการจีรวัฒน์ ที่เห็นเดินเล็งกล้องคนเดียว เลยอนุเคราะห์ถ่ายรูปให้ ไม่งั้นก็คงไม่มีภาพตัวเองยืนยิ้มแป้น เพราะก๊วนที่เกาะกลุ่มด้วยไม่ยอมเดินเข้ามา
หอบูชาเทียนถาน สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1420 ช่วงเวลาเดียวกันกับพระราชวังต้องห้าม และใช้เวลาในการสร้างถึง 14 ปี มีสถาปัตยกรรมที่สง่างาม มีความสูง 38 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 30 เมตร
ด้านในหอฟ้าเทียนถาน สวยงามมากค่ะ ว่ากันว่า เป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมแห่ง ราชวงค์หมิง เลยก็ว่าได้
พระตำหนักนี้ ไม่ใช่ตะปูซักตัว แถมแต่ละเสามีความหมายแตกต่างกันออกไป เสาสี่ต้นตรงกลางใหญ่ที่สุด เปรียบเสมือนฤดูกาลทั้ง 4 อีก 12 ต้นด้านใน หมายถึง 12 เดือน และอีก 12 ต้นด้านนอก หมายถึง 12 ชั่วยาม
เลื้อยด้านในซักพัก แอบเหล่มองทางเดินด้านหน้ามายังหอฟ้าเทียนถาน ทางเดินตรงดิ่ง สวยงามมาก แหม..อยากเดินชมจากด้านหน้าจริง ๆ แต่เอาเถอะ แค่นี้สังขารขาก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือละ
ภาพล่างนี้ ตั้งอยู่สวนด้านหลังสุดของ หอฟ้าเทียนถาน ค่ะ
เป้าหมายหลักของวันที่สอง เป็น @พระราชวังอวี้เหอหยวน หรือ พระราชวังฤดูร้อน เป็นที่ประทับของ พระนางซูสีไทเฮา
นอกจากนี้ ยังเป็นที่กักขังของ พระจักรพรรดิกวางซี แห่งราชวงศ์ชิง ที่ต้องการปฏิรูปเมืองจีนให้แข็งแกร่งต่อการรุกรานของต่างชาติ แต่ล้มเหลวและถูกจับกุม ถูกตั้งข้อหาทรยศ ไม่เชือฟังคำสั่งของพระนางชูสีไทเฮา เลยถูกจองจำที่นี่จนสวรรคคต
ตรงนี้ เป็นอาณาบริเวณด้านหน้าพระตำหนัก คนเยอะเช่นเคย ทำให้หมดอารมณ์สุนทรีในการถ่ายรูปจริง ๆ
พระราชวังฤดูร้อน "อวี้เหอหยวน" ซึ่งตั้งอยู่ ในเขตชานเมืองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง มีเนื้อที่ทั้งหมดถึง 2.9 ตารางกิโลเมตร
อันที่จริง พระราชวังแห่งนี้ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัย จักรพรรดิเฉียนหลง แห่งราชวงศ์ชิง ก่อนที่พระพันปีหลวง หรือ พระนางชูสีไทเฮา จะเอางบประมาณแผ่นดิน มาใช้ทุ่มเทปรับปรุงครั้งใหญ่ แล้วใช้ชื่อว่า อวี้เหอหยวน
ไม่ค่อยมีภาพนะคะ เพราะไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปจริง ทั้งยังอดเห็นเรือหินอ่อน ที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม เป็นสถานที่ พระนางชูสีไทเฮา ใช้เป็นที่จิบน้ำชาและชมทิวทัศน์
ภาพด้านล่างคือ ต้นไม้ที่มีรูปร่างเหมือนมังกร แต่ถูกสั่งตัด เพราะไม่ให้มังกรอยู่เหนือหงษ์ นั่นเอง
พระราชวังอวี้เหอหยวน แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ เขาว่านโซ่วซาน และ ทะเลสาบคุนหมิง เป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง
บนเขาว่านโซ่วซาน ได้สร้างวิหาร ตำหนัก พลับพลา และเก๋งจีนอันงดงามไว้หลายรูปหลายแบบตั้งอยู่ลดหลั่นรับกันกับภูมิภาค ที่เชิงเขามีระเบียงทางเดินที่มีระยะทางไกลถึง 728 เมตร
มาเมืองจีนทริปไหน ๆ ก็ไม่พลาดการแสดงกายกรรมที่อึ้ง ทึ่ง เสียว หลายคนหลับเพราะความเพลีย แล้วได้แอร์เย็น ๆ ในโรงละคร
แม้กระทั่งฉันที่พยายามเบิ่งตา ถ่ายวีดีโอบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เผลอหลับบ้าง การแสดงโชว์ของคนจีน งดงาม อ่อนช้อย และนักแสดงแต่ละคนเก่ง มีความสามารถเฉพาะตัวจริง ๆ ค่ะ
เมืองจีน จะกี่ครั้งกี่หน ก็ไม่เคยประทับใจสักครั้ง ด้วยผู้คนที่เยอะยังกะมด และเต็มไปทุกแหล่งท่องเที่ยวของจีน
ทั้งอาหารการกินที่จืดสนิท ความสะอาด และนิสัยใจคอของผู้คนที่นั่น และทัวร์บังคับของรัฐบาลจีน อย่างน้อยจะต้องมี 5 อย่าง ที่เราต้องเสียเวลาไป เช่น นวดแผนโบราณ ไข่มุก ชาจีน ผ้าไหม หยก ผีเซียะ บัวหิมะ
แต่ต้องยอมรับว่า เมืองจีนมีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามไม่แพ้ใครเลย แหล่งท่องเที่ยวหลายที่ถึงกับขึ้นชื่อว่า เป็นสวรรค์บนดิน นอกจากนี้ ยังมีประวัติศาสตร์การปกครองที่ยาวนานหลายสมัย รวมทั้งสถาปัตยกรรมที่งดงามที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เดี๋ยวตอนหน้าจะพาไปชม กำแพงเมืองจีน 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกกันค่ะ
|