Group Blog
มิถุนายน 2552

 
5
9
11
12
13
22
27
29
30
 
 
All Blog
“ไกรสร” ร่ำไห้ ยันฟ้อง “เพชร” เพราะปักใจเชื่อลูกจิตไม่ปกติ ซัดเพราะ “อ้อย” ทำให้เพชรเสียคน ด้าน “นที
"ไกรสร" ยืนยัน "เพชร" หนีออกจากบ้าน-เสียคนเพราะ "อ้อย" ซัด คอยแต่เสี้ยมสอนให้เพชรทำสิ่งที่ผิด เผย ที่ฟ้องเพราะได้หมอจากโรงพยาบาลรามาฯ กับหมอที่จังหวัดเชียงใหม่ให้ความช่วยเหลือ พร้อมอ้อนวอนทั้งน้ำตา ขอให้ช่วยรักษาลูกชายให้หายเป็นปกติ ด้าน “เกย์นที” หนุนเต็มที่ ยัน “ไกรสร” ไม่ได้เป็นเกย์

เรื่องราวยังดำเนินไม่จบไม่สิ้น โดยการออกมาเปิดใจแถลงข่าวอีกครั้งสำหรับ “ไกรสร แสงอนันต์” ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ที่จังหวัดเชียงใหม่เมื่อช่วงเช้าวันนี้ (22 มิ.ย.) ร่วมกับประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทย และเลขาธิการกลุ่มเชียงใหม่อารยะอย่าง “นที ธีระโรจนพงษ์” พร้อมด้วยภรรยาคนปัจจุบัน “โอ๊ต สิริพร อินทร์พรหม” ออกมาเปิดใจเรื่องที่ว่าจะฟ้องลูกชายคนเดียว “เพชร สรภพ ลีละเมฆินทร์” เพื่อให้หมอทางจิตวิทยาพาตัวไปรักษา พร้อมเผยถึงความรู้สึกที่ต้องฟ้องลูกทั้งน้ำตา

ไกรสร “สวัสดีทุกท่าน เพื่อนๆ พี่น้องที่ให้กำลังใจ ที่รู้จักกับผมมาพอสมควรนะครับ ที่รู้จักนิสัยใจกันมาพอสมควร ขอบคุณพี่น้องสื่อมวลชน ที่ติดตามข่าวมาตั้งแต่กรุงเทพ ความจริงจะให้ผมแถลงข่าวที่กรุงเทพ ก็มีคุณหมอจากกรุงเทพโทรมาหาผม บอกได้เลยครับว่าหมอจากโรงพยาบาลรามาฯ ต้องขอตรงประเด็นอีกเช่นกันว่า ถ้าคุณหมอไพรัตน์กับคุณเพชรราพูดได้ พูดแบบวิชาการ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่าหลายท่านในที่นี้ก็ต้องการตรงประเด็นว่า ที่ผมจะพูดต่อไปนี้ก็คือน้องเพชรโดยตรง ก็คือลูกชายของผม หลายๆ ท่านก็คงจะคิดด้วยเช่นเดียวกันครับ”

“ถามผม ถามเพชร ถามทุกคน และทุกคนก็คงไม่รู้จริงที่จะตอบปัญหานี้ เริ่มตั้งแต่เด็กๆ เล็กๆ ผมเลี้ยงลูกมาอย่างทะนุทนอม ก็มีคุณผึ้งอยู่ คุณผึ้งก็จะทำงานเป็นส่วนใหญ่ ร้องเพลง กลับมาดึกๆ ดื่นๆ ถึงแม้ว่าผมเองก็ขับรถบ้าง ไม่ได้ขับรถบ้าง ผมก็จะตื่นแต่เช้า ดูแลลูกซะส่วนใหญ่ เอาเป็นว่าผมสนิทลูกมากกว่าแม่เขาด้วยซ้ำไปก็เลี้ยงลูกมาแบบนี้ตลอด ก็ให้ความรัก ความเอ็นดู การดูแล”

“ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ทั้งญาติผม พ่อแม่ปู่ย่าตายาย หรือญาติคุณผึ้งทั้งหมด ก็ดูแลน้องเพชรมาด้วยความรัก ก็ไม่มีปัญหา จะมีปัญหาตรงที่ว่าเราดูแลดีเกินไป อันนี้ผมมาว่าวิเคราะห์ตัวเอง วิเคราะห์คนข้างเคียงทุกคน ลุกพุ่มพวง ลูกไกรสร ก็ต้องดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ ผมเองก็ทำเช่นนั้นด้วย อาจเป็นความผิดของผมส่วนหนึ่ง ความผิดของญาติส่วนหนึ่งที่ช่วยกันประคบประงมกันมาแบบผิด แต่ก็เรียกว่าทำผิดอย่างบริสุทธิ์ใจ เราไม่รู้ว่าทำอย่างนี้แล้วจะเป็นผลเสียต่อลูกในอนาคตหรือป่าว หรือไม่”

“พวกเรารู้แต่ว่าผมมีลูกคนเดียว ทุกคนมีหลานคนเดียว ลูกพุ่มพวงก็มีคนเดียว เพราะฉะนั้นเราก็ดูแลกันเป็นอย่างดี ตั้งแต่เล็กๆ จนกระทั่งเรียนโรงเรียนที่เซนต์คาเบรียล ตั้งแต่อนุบาลเลยละกัน ก็ส่งให้เรียนโรงเรียน อนุบาลก็สุดยอดของเมืองไทยเหมือนกัน อยู่ที่กรุงเทพจนประถมก็ส่งให้เรียนที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล ทุกคนก็รู้ว่าเป็นโรงเรียนอันดับหนึ่งเหมือนกัน คือเราจะหาทุกสิ่งทุกอย่างที่ดีที่สุดสำหรับลูกเราเสมอ ไม่ว่าแม่เขาจะอยู่หรือใครอยู่หรือไม่ก็ตาม ก็ผ่านไปพ้นไปด้วยดี”

“จนกระทั้งลูกจบป.6 อายุ 11-12 ผมก็ไปต่างประเทศ ก็พาลูกไปเรียนอีกเหมือนกัน ไปปีแรกเราก็ไม่รู้จักถิ่นฐานอะไร มีเพื่อนอยู่ก็ไปเรียนอยู่ใกล้ๆ กับที่ทำงาน ก็ปรากฏว่าถิ่นฐานนั้นมีไอ้มืดเยอะ พวกแม็กซิกัน ก็เพิ่งรู้ทีหลัง ผมก็หาอีกเหมือนกันว่าถิ่นนี้ไม่ใช่ถิ่นฝรั่งหัวขาว ก็อีกปีหนึ่ง ผมก็เสาะแสวงหาถิ่นที่ดีที่สุดสำหรับลูก”

“ทำไมไปต่างประเทศ ทั้งที่ทำไมไม่ไปอยู่กับฝรั่งละประมาณนี้ ก็ไปอยู่ถิ่นที่ดีๆ อาจจะขับรถทำงานขับรถไปประมาณ 5-10 นาที แต่นี่ผมต้องย้ายเมืองจากเมืองไปอีกเมือง ขับรถไปประมาณ 45 นาที ทุกวัน ผมก็ยอม ยอมเพื่อลูก จะได้ไปอยู่ในถิ่นที่ดีๆ มีฝรั่งเยอะๆ คนไทยน้อยๆ ให้สุดยอดว่างั้นเหอะ จะได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี”

“ก็ไม่มีปัญหา ก็อยู่กันมา 5-6 ปี เดี๋ยวผมจะมีหลักฐานให้สื่อมวลชนทั้งหมด ความจริง ผมเป็นพ่อไม่ละเอียดอ่อนไม่ค่อยจะมี ด้วยความรักลูก แต่ว่าผมชอบถ่ายรูปลูก ทุกอย่างมันอยู่ในนี้หมด นี้เป็นเพียงแค่ส่วนน้อยนิด เอาเป็นว่าคือที่ผมจะเล่า ลูกยังปกติอยู่ อยู่กับผมก็ไม่มีอะไรที่บอกว่าผิดปกติเลยแม้แต่น้อย”

“ลูกโตมาก็กลับมาเมืองไทยประมาณ 17 ปี ไปประมาณ 5-6 ปีก็กลับมาเรียนที่เชียงใหม่ ผมเห็นว่ากรุงเทพฯ วุ่นวายการจราจรติดขัด ต้องตื่นแต่ตั้งตี 4-5 ผมมีบ้านอยู่เชียงใหม่ เคยพาเพชรมาอยู่เชียงใหม่อยู่ช่วงหนึ่งของชีวิตก่อนที่คุณผึ้งจะเสีย ก็มาอยู่เชียงใหม่กัน”

“โดยที่ว่าเขาเรียนเมืองนอกมา ผมก็พาไปเรียนที่โรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดเหมือนกัน โรงเรียนนานาชาติแห่งแรก คือเชียงใหม่นานาชาติของเชียงใหม่ หลายท่านก็คงจะทราบดี นี่คือความพยายามที่จะสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกเสมอ ก็ปีแรกอายุ 17 ก็เรียนไป”

วางแผนถ้าลูกเรียนจบจะให้เป็นนักร้องทันที เพราะลูกร้องเพลงเก่ง และเสียงดี

“ตอนนั้นอยู่ไฮสคูลเกรด11 ความจริงเรียนอีก 2 ปีก็จบทรานสคูลจากเมืองนอกมาก็ไม่ได้ตัดสินใจตอนนั้น เราว่าคุยกับลูก ลูกฝึกร้องเพลงทุกวัน ลูกอยากเป็นนักร้อง ลูกอยากไปอยู่ในวงการ ลูกร้องเสียงดี ผมกลับมาจากกรุงเทพฯ ทุกครั้ง ผมก็เอาซีดีมาฝากลูกเสมอ เพื่อให้ลูกจะได้เรียนร้องเพลง สิ่งที่ลูกชอบ”

“เป็นอย่างนี้อยู่เมืองนอกมาทุกอย่างจะบอกได้ ผมกลับมาก็วางแผนตั้งแต่อยู่อเมริกา ว่าจะเข้าพบใคร พบคนไหนจะทำอย่างไรให้ลูกได้เข้าวงการนี้ได้ แล้วมาเรียนอยู่ที่เชียงใหม่ หลังจากที่เข้ามา ผมก็ติดต่อบริษัท อาร์เอสฯ ผมก็ไปติดต่อพูดคุยกับผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ให้น้องเพชรเข้ามาฝึกปรือ ฝึกมาแล้วจากต่างประเทศ แต่ก็ไม่เข้าขั้นถึงสามารถอัดแผ่นเสียง ก็ต้องมีการเทรนนิ่ง ต้องเรียนฝึกอีกพอสมควร ก็เรียนอยู่ที่เชียงใหม่ไป ปิดเทอมก็เข้ามากรุงเทพฯ มาอยู่บ้านปู่บ้านย่า สอนร้องเพลง ไปอาร์เอส ทุกวันๆๆๆ ทำอย่างนี้มาตลอด”

“จนดีขึ้น จนเซ็นสัญญากันขึ้น น้องเพชรก็ขึ้นปีสุดท้ายคือเกรด 12 ปี ก็เรียนหนังสือตามปกติ แต่ในช่วงเวลานั้นก็มีเหตุการณ์ตัวแปรมาในชีวิตน้องเพชร ช่วงที่เกรด 12 น้องเพชรได้เป็นนักร้องประสานเสียง น้องเพชรได้เป็นตัวแทนของโรงเรียนที่ฝาง 1 ที่เชียงราย ก็ปกติดี ลูกพุ่มพวงร้องเพลงเก่ง ร้องเพลงฝรั่ง ร้องเพลงพระเจ้า เพราะที่โรงเรียนเป็นโรงเรียนคริสต์ จนไปร้องที่เชียงราย โชว์เพลงของโรงเรียนเขาก็มีแฟนคลับเด็กๆ แฟนเพลง ตามปกติ”

เผยถึงเหตุที่ “เพชร” ได้รู้จักกับ “อ้อย” เพราะหลานของฝ่ายหญิงเป็นคนติดต่อให้

“ทีนี้ที่เชียงรายก็มีแฟนคลับคนหนึ่งอายุน้อยกว่าเขา เข้ามาพุดคุยได้ ก็มีคนรู้จักหลายคน ก็ไม่ต้องเอ่ยชื่อเขาละกัน เป็นแฟนคลับก็มาติดต่อน้องเพชร คุยโทรศัพท์ แชตกัน อินเตอร์เนตบ้างตามสมควร ก็ไม่มีปัญหา อยู่วันหนึ่ง แฟนคลับของน้องเพชรคนนี้ได้มาบอกเพชรว่า มีน้าสาวของเขาต้องการรู้จักกับน้องเพชร แก่กว่าเพชร 4-5 ปี อยากรู้จักกับเพชร แฟนคลับจึงให้อีเมล์ของเพชรให้กับน้าสาวเขาไป น้าสาวคนนี้ก็คือคนที่มีข่าวอยู่ปัจจุบันนี้ ก็พอที่จะประติดประต่อกันได้ แต่มันจะมีหลักฐานตรงนี้ทั้งหมด”

“หลังจากที่แชทกันไปแชตกันมา แลกเบอร์โทรศัพท์กันไปมาประมาณ 2-3 เดือน แต่ผมก็ไม่ได้จำอะไรรายละเอียดขนาดนั้น เดี๋ยวมันจะมีช็อตเด็ด ก็ปรากฏว่าคุยกันไปคุยกันมาก็เกิดปัญหาที่โรงเรียน ครูมาบอกว่า เพชรอยู่ที่โรงเรียนคุยโทรศัพท์ทุกวัน เด็กสมัยนี้โรงเรียนอินเตอร์จะคุยโทรศัพท์ก็ไม่เป็นไร”

“แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้คุยตอนพักกลางวันอย่างเดียว โทรศัพท์ในห้องเรียน พี่ๆ อยู่เชียงใหม่ทุกคนไปถามที่โรงเรียน ถามครูคนนั้นได้ ไปถามใครก็ตามที่สามารถตอบเหตุผลนี้ได้ ไม่ต้องให้ผมมาพูด คืออยู่ห้องเรียนก็จะโทรศัพท์บ่อย คุณครูมาฟ้อง แล้วทุกวันก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด”

“ที่บ้านครูโน้ตก็เป็นพยานได้ว่า ดึกๆ ตี 2-4 บางทีเราจะมาดึกแล้วตื่นมากินน้ำ ผ่านห้องเขาไป ก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์อยู่ เอาละคิดว่าลูกนอนไม่เป็นไรน่ะ ก็แอบว่าไอ้ลูกบ้าอะไรอย่างเนี้ย ที่ผมพูดเนี่ยมันเจ็บปวดนะ เอาเรื่องความลับของลูกมาพูด หรือว่ามาซ้ำเติมลูก มันเจ็บปวดมาก ใครไม่รู้การเป็นพ่อเป็นแม่มันเจ็บปวดมาก พอผมไปพบครูที่โรงเรียน ครูก็บอกผมอย่างนี้ ผมก็โอเค”

“วันนึงตอนเย็นผมก็ไปพบครู แล้วก็เรียกเพชรมาคุย บางทีผมก็คุยกับเพชรที่บ้านว่าทำไมอยู่โรงเรียนไม่ตั้งใจเรียนล่ะลูก ครูเขามาบอกว่าลูกโทรศัพท์ตลอด เขาก็เถียงแบบธรรมดานะ ว่าโทรที่ไหน โทรเวลาพักอะไรแบบนี้ ก็ไม่เป็นไรนะ คือเด็กเขาก็เถียงของเขาได้ พูดได้ แต่พอไปเจอครู ต่อหน้าครู ครูก็พูดต่อหน้า ก็เหมือนตำหนิลูกต่อหน้าครู ครูก็ตำหนิลูกต่อหน้าผม อันนี้มันก็เป็นผลที่ไม่ดีนะ ไม่รู้นักจิตวิทยาว่ายังไง ก็เหมือนเอาความผิดลูกมาคุยกัน ลูกก็ชักไม่พอใจโรงเรียน”

“ทีนี้เรื่องไปโรงเรียนก็อยากไปมั่ง ไม่อยากไปมั่ง พอกลับมาถึงบ้านก็บอกว่าไม่อยากเรียนโรงเรียนนี้แล้วล่ะ ครู เพื่อนๆ ไม่เห็นดีกับเพชรเลยอะไรก็แล้วแต่ที่เขาจะแอบอ้างขึ้นมานะครับ ผมก็บอกอีกนิดเดียวลูก เพราะตอนนั้นเริ่มเรียนปีสุดท้ายก็เหลืออีกประมาณ 6 เดือนจะจบ ก็คือจบไฮสคูล จบเกรด 12 ก็คือจบม.6 เหลืออีกครึ่งปีเองจะจบอยู่แล้ว เพชรก็บอกไม่เอา ไม่อยากเรียนไม่อยากอะไร ผมก็บอกว่าอีกนิดเดียวน่ะ”

“ตอนนั้นเราก็ยังไปอาร์เอสฯอยู่นะ ยังไปฝึกร้องอยู่ประจำ ตอนนั้นเซ็นสัญญาเรียบร้อย เพลงก็แต่งเสร็จมาแล้ว เหลือทำดนตรีอีกนิดเดียว อีก 2-3 เพลงก็จะอัดเทปได้แล้ว ทางอาร์เอสฯก็บอกว่ารอทางเพชรจบมาแล้วก็ค่อยมาทำเพลงหลังจากเรียนจบ มันจะได้สะดวกสบายกันทั้ง 2 ฝ่าย เพชรก็บอกไม่เอาจะเรียนทางอินเตอร์เน็ตดีกว่า เขามาบอกกับผมนะ เขาก็ติดต่อทางอินเตอร์เน็ตติดต่อไปโรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้โดยที่ไม่ต้องไปโรงเรียน อยู่กับบ้านก็เรียนได้”

“ก็ต้องเข้าใจว่าสมัยนี้ ฝรั่งเขาไม่ต้องไปโรงเรียนกันแล้วอยู่ที่บ้านก็เรียนได้ ผมก็บอกกับลูกว่าขนาดอยู่ที่โรงเรียนลูกยังไม่เรียนเลย แล้วจะเรียนทางอินเตอร์เน็ตมันจะไหวเหรอลูก เขาก็บอกโห ป๊าเขาไปบอกกับคุณครูแล้ว คุณครูก็หาให้เรียบร้อยแล้ว แล้วปาป๊ามาเบี้ยวก็เหมือนเขาจะเสียหน้าว่า ให้ครูไปหาโรงเรียนแล้ว แล้วผมไม่ให้ลูกเรียนทางอินเตอร์เน็ตอย่างเนี้ย เขาก็เสียหน้า”

“ผมก็บอกเอาน่าอดทนอีกนิดเดียวน่าอยู่ที่นี่แหละแล้วเดี๋ยวไปเรียนต่อกรุงเทพฯ ต่อยังไงก็ได้ มหาวิทยาลัยจะไม่เรียนก็ได้ผมก็บอกลูกไป แต่เพชรเป็นคนดีไงครับ ไม่เถียงอะไร ไม่ได้ดื้อตาใสอะไรอย่างเนี้ย ผมก็คิดว่าตรงนี้เขาคงจะมีอะไรอยู่ในใจเขาบ้างเหมือนกันนะ”



ที่มา //www.manager.co.th



Create Date : 23 มิถุนายน 2552
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 8:37:04 น.
Counter : 1102 Pageviews.

0 comments

Mimi-jaiko
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]