การทำอะไรลงไปย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน



อุบาสกหนุ่มคนหนึ่ง เลี้ยงมารดาอยู่ในเมืองสาวัตถี
ประเทศอินเดียสมัยพุทธกาล เขาเคารพมารดาเหมือนเทพเจ้า จัดแจงน้ำล้างหน้า
น้ำบ้วนปาก ไม้สีฟัน น้ำอาบ น้ำล้างเท้า น้ำมันสำหรับนวดเท้า ข้าวต้ม
ข้าวสวย พร้อมบริบูรณ์

มารดาก็รักเขาประดุจแก้วตา ยาใจ มีความสุข
เมื่อได้มองลูก ได้อยู่กับลูก วันหนึ่งนางพูดกับลูกว่า

"ลูกรัก เจ้าทำงานเหน็ดเหนื่อยทั้งในบ้าน นอกบ้าน
แม่คิดว่า น่าจะมีใครสักคนหนึ่ง มาช่วยทำงานในบ้าน บำรุงเลี้ยงแม่แทนลูก
ลูกเองจะได้ทำงานนอกบ้านโดยไม่ต้องกังวล
ลูกจะทำงานเพื่อความเจริญมั่นคงของตระกูลเพิ่มขึ้นได้อีกไม่น้อย"


ชายหนุ่มมองดูแม่อย่างเข้า
ใจ แต่แย้งว่า

"แม่
ลูกทำให้แม่ด้วยความเต็มใจ มีความสุขใจที่ได้ทำ
ลูกหวังประโยชน์สุขสำหรับตน
และบุญกุศลอันเกิดจากการบำรุงเลี้ยงมารดาอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
ลูกอยากทำ แม่อย่าได้กังวลเรื่องนี้เลย อนึ่งเล่า ลูกไม่ต้องการครองเรือน
เมื่อแม่หาชีวิตไม่แล้วลูกจะบวช"

มารดาอ้อนวอน
เรื่องนี้บ่อย ๆ แต่ไม่สำเร็จ ชายหนุ่มคงยืนยันเหมือนเดิม
นางจึงทำไปโดยพลการ คือไปนำหญิงคนหนึ่งซึ่งมีตระกูลเสมอกันมาเป็นสะใภ้
ชายหนุ่มไม่ได้คัดค้าน เพราะความเกรงใจมารดา

หญิงสะใภ้
เห็นสามีเคารพนบนอบบำรุงเลี้ยงมารดาด้วยอุตสาหะอย่างยิ่ง ก็ทำเช่นนั้นบ้าง
อย่างสม่ำเสมอ จนสามีรักใคร่เห็นใจ เมื่อได้ของกินที่อร่อยมา
ได้เสื้อผ้าที่ดีมา ก็มอบให้ภรรยาทั้งสิ้น ด้วยหวังว่าภรรยาจะให้ของนั้น ๆ
แก่มารดาเอง

นานวัน หญิงที่เป็นภรรยาเข้าใจผิดคิดว่า
สามีรักตนแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้รักแม่เลย เขาจึงต้องการขับไล่มารดา
นางจึงเริ่มวางแผนที่จะไล่แม่ผัวออกจากบ้าน

"พี่ เมื่อพี่ไม่อยู่ วันนี้แม่เขาด่าฉัน"
นางฟ้องสามี

แต่อุบาสกผู้หนักแน่น เคารพมารดาและรู้จักมารดาของตนดี
นิ่งเสีย ทำให้นางผิดหวังมาก

หลังจากวันนั้น นางก็ทำอุบายอื่น ๆ
เพื่อใส่โทษผิดแก่แม่ผัว เช่น ให้ข้าวต้มที่ร้อนเกินไป
เมื่อแม่ผัวบอกว่าร้อนเกินไป นางก็เติมน้ำเย็นลงไปเกินประมาณ จนเย็นเกินไป
แม่ผัวก็บ่นว่าเย็นเกินไป

แล้วนางก็โกรธว่า
ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ถูกใจ เรื่องอาบน้ำก็เช่นกัน เรื่องความเค็ม
ความจืดของอาหารก็เหมือนกัน นางทำให้เอียงสุดไปข้างใดข้างหนึ่ง
เพื่อหาเรื่องแม่ผัว ออกจากบ้านเที่ยวพูดให้เพื่อนบ้านฟังว่า
แม่ผัวของตัวเอาใจยากแสนยาก

วันหนึ่งแม่ผัวบอกว่า "ที่เตียงของแม่มีเรือดชุกชุม" นางก็ทำทีไปรื้อเตียงเคาะเตียง แต่เป็นเตียงของนางเอง
แล้วบอกว่าทำเรียบร้อยแล้ว
คืนนั้นแม่ผัวผู้เป็นอุบาสิกาต้องนั่งตลอดทั้งคืน ไม่อาจนอนได้
พอนอนบนเตียงก็ถูกเรือดกัด วันรุ่งขึ้นนางบอกกับลูกสะใภ้
แต่ลูกสะใภ้เถียงว่า เมื่อวานก็ทำให้เรียบร้อยแล้ว นางก็นิ่งเสีย

แผน
สุดท้าย ของลูกสะใภ้ ในวันหนึ่ง คือแกล้งบ้วนน้ำลาย สั่งน้ำมูก
ให้เลอะเทอะทั่วบ้าน เมื่อสามีกลับมา ถามว่า

"ทำไม น้ำลาย น้ำมูก
จึงเลอะบ้านอย่างนี้"

"ก็แม่ของพี่นะซิ ทำไว้
ห้ามอย่างไรก็ไม่เชื่อ"


ชายหนุ่ม มองอย่างสงสัย

"พี่
เลือกเอาก็แล้วกัน จะให้แม่อยู่บ้านนี้หรือจะให้ฉันอยู่ ถ้าแม่อยู่
ฉันไม่อยู่ ถ้าจะให้ฉันอยู่ แม่ต้องไม่อยู่"


นิ่ง
อยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงกล่าวว่า

"เธอยังสาว ยังสวย จะไปอยู่ที่ไหน
หรือหาสามีใหม่ก็คงได้ แต่แม่ของฉันแก่แล้ว จะไปไหนได้ เพราะฉะนั้น
เธอนั่นแหละควรจะไป"


เมื่อได้ฟังสามีพูดจริงเช่น
นั้น นางลูกสะใภ้ก็เกิดความกลัวขึ้น คิดว่าสามีรักแม่เขามาก
ถ้าเราไปเราต้องเป็นหม้าย คงได้รับความทุกข์อื่น ๆ อีกหลายอย่าง

ตั้งแต่
วันนั้นมา นางก็เลิกกลั่นแกล้งแม่ผัว ปฏิบัติตัวเป็นลูกสะใภ้ที่ดีอย่างเดิม
ครอบครัวก็อยู่กันเป็นสุขตลอดมา

วันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้เป็นอุบาสก
ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่วัดเชตวัน พระศาสดาตรัสถามว่า ไม่ประมาทในบุญอยู่หรือ
ยังบำรุงเลี้ยงมารดาอยู่หรือ เขากราบทูลว่า ยังทำอยู่
และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ทรงทราบ

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"เดี๋ยวนี้เธอไม่เชื่อคำของภรรยา
แต่ในชาติหนึ่งในอดีตเธอเคยเชื่อ เคยไล่มารดาออกจากบ้าน แต่ได้อาศัยเรา
จึงได้นำมารดากลับมาสู่เรือนบำรุงเลี้ยงอย่างเดิม"

ตรัส
เล่าเรื่องในอดีต ตอนต้น ๆ ก็เหมือนเรื่องในปัจจุบัน
แต่พอภรรยายื่นคำขาดว่าให้เลือกเอาระหว่างแม่กับนาง สามีได้เลือกภรรยา
แต่ไล่มารดาของตนออกจากเรือน

หญิงชราออกจากบ้านลูกชายไปแล้ว
ไปอาศัยอยู่บ้านเพื่อนแห่งหนึ่ง ทำงานรับจ้างเลี้ยงชีพด้วยความยากลำบาก
ฝ่ายหญิงสะใภ้เมื่อแม่ผัวออกจากบ้านไปแล้วก็ตั้งครรภ์

นางได้พูดกับ
สามีและเพื่อนบ้านว่า แม่ผัวเป็นกาลกรรณี เพราะเมื่ออยู่
นางไม่ได้ตั้งครรภ์ พอแม่ผัวออกจากบ้านไป นางก็ตั้งครรภ์
ต่อมานางได้คลอดบุตรก็ได้เที่ยวพูดเช่นนั้นเหมือนกัน

ฝ่ายหญิงชราผู้
น่าสงสาร ได้ทราบข่าวเช่นนั้นรู้สึกสังเวชสลดใจคิดว่า

"ธรรมคงได้ตายไปจากโลกนี้เสียแล้ว
ไม่เช่นนั้นหญิงผู้โหดร้ายอย่างลูกสะใภ้ของเรา
จะมีบุตรและมีความสุขในการครองเรือนได้อย่างไร"


วัน
หนึ่ง นางได้ถืองา แป้ง ข้าวสาร ทัพพี และถาด เข้าไปในป่าช้า
เอาศีรษะมนุษย์ที่ตายแล้ว 3 ศีรษะมาทำเตาไฟ ก่อไฟแล้ว ลงน้ำ สระผม บ้วนปาก
สยายผม มาที่เตาไฟ เริ่มซาวข้าว เพื่อถวายมตกภัตต์ (อาหารเพื่อผู้ตาย) แก่ธรรม

ครั้ง
นั้น พระพุทธเจ้าของเรา เสวยพระชาติเป็นเทพ ทรงทราบว่า หญิงชรากำลังมีทุกข์
ต้องการช่วยเหลือด้วยความกรุณา จึงแปลงเพศเป็นพราหมณ์
ผู้เดินทางไกลเดินเข้าไปในป่าช้า ยืนอยู่ใกล้ ๆ ถามนางว่า

"กัจจานี
ท่านสระผมนุ่งผ้าห่มผ้าขาว ยกภาชนะขึ้น สู่เตาอันทำด้วยกะโหลกศีรษะมนุษย์
ยีแป้ง ล้างงา ซาวข้าวสาร จะทำข้าวสุกคลุกงาเพื่ออะไรกัน"


"ข้าว
สุกคลุกงานี้ เราไม่ทำเพื่อกินเอง แต่เพื่ออุทิศให้ธรรม ธรรม คือ
ความเคารพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ ธรรม คือ สุจริต 3(กาย วาจา ใจ)
ได้สูญหาย
ไปจากโลกนี้เสียแล้ว"

เทพผู้แปลงกายเป็น
พราหมณ์ยืนยันว่า ธรรมไม่ตาย ไม่หายสาบสูญไปไหน ธรรมยังมีอยู่
ธรรมนั้นอานุภาพหาที่เปรียบไม่ได้ ธรรมไม่เคยตายและจะไม่ตาย

นางกัจ
จานี ตอบว่า "ที่ว่าธรรมสูญเสียแล้วนั้น
ข้าพเจ้านึกมั่นใจเอาเอง ข้อที่ท่านว่า ธรรมยังไม่สูญนั้น
ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ เพราะเดี๋ยวนี้คนใจบาป มีชีวิตอย่างเป็นสุขได้


ดู
แต่หญิงสะใภ้ของข้าพเจ้าเถิด นางไม่มีบุตร แต่พอทุบตี
ไล่ข้าพเจ้าออกจากบ้านได้


กลับมีบุตรและมีความสุขเป็นใหญ่ในตระกูล
บัดนี้ข้าพเจ้าถูกทอดทิ้งไม่มีที่พึ่ง ต้องอยู่คนเดียว"

เทพกล่าว
ว่า
"หญิง
สะใภ้คนใด ทำเช่นนั้นแก่ท่าน
ข้าพเจ้าจะทำให้หญิงนั้นพร้อมทั้งบุตรของนางเป็นขี้เถ้าทีเดียว"

"ท่านผู้กรุณา" นางกัจจานีกล่าว
"ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ให้ท่านไป
เบียดเบียนเขาหรอก เพียงแต่ถ้าข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปอยู่ร่วมกับลูกชาย
ลูกสะใภ้และหลาน ข้าพเจ้าก็พอใจแล้ว"

พราหมณ์
(คือเทพผู้แปลงกายมา)
กล่าวว่า
"ถ้าท่านพอใจเช่นนั้นก็ตามใจเถิด ท่านถูกทุบตี
ถูกขับไล่เช่นนี้แล้ว ก็ยังไม่ละทิ้งธรรมของผู้ใหญ่ คือเมตตากรุณา
ขอให้ท่านพร้อมด้วยบุตรหลานจงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขเถิด"

ด้วย
อานุภาพของเทพ ดลใจให้ลูกและลูกสะใภ้ของนางกัจจานีระลึกถึงนาง
เที่ยวเสาะแสวงหา ไปเจอนางที่ป่าช้า
ร้องไห้คร่ำครวญขอโทษที่ประพฤติผิดต่อแม่ ให้แม่ยกโทษให้
และพาไปเลี้ยงดูอย่างดีเหมือนเดิม

พระศาสดาตรัสว่า เทพในครั้งนั้น
คือพระองค์เอง ส่วนลูก ลูกสะใภ้ และแม่ในครั้งนั้น ก็คือแม่ลูกในบัดนี้
ทรงเป็นที่พึ่งของครอบครัวนี้ ทั้งในบัดนั้นและบัดนี้

ในชีวิตจริงของคนเราแม้ในปัจจุบัน
ก็มีเรื่องทำนองนี้อยู่ไม่ใช่น้อย ลูกสะใภ้ก็ไม่ดี
สามีเชื่อภรรยาที่ใส่ร้ายแม่ตัว เพราะไม่อยากเลี้ยง หรือริษยาแม่ที่สามีรัก
อยากให้ทุ่มเทความรักมาให้ตัวคนเดียว


แต่พอมีลูกขึ้นเองบ้าง ตัวรักลูกอย่างไร
ก็อาจทำให้หวนระลึกถึงพ่อแม่ว่า คงรักตัวเช่นนั้นเหมือนกัน
จึงเคารพพ่อแม่ซาบซึ้งในน้ำใจของพ่อแม่


อนึ่งเกรงไปว่า
เมื่อตนปฏิบัติต่อพ่อแม่ไปดีเช่นนั้น ต่อไปภายหน้า ถ้าลูกของตัว
ทำกับตนเช่นนั้นบ้าง จะระทมสักเพียงใด
เรื่องแบบนี้มักเป็นกำกงกำเกวียนอยู่ด้วย
ในชีวิตของคนเรานั้น
มีบ่อยไปที่คนซึ่งเราหวังว่า จะพึ่งได้ กลับไม่ได้พึ่ง
คนที่หวังว่าจะนำความชื่นชมโสมนัสมาให้ กลับนำแต่ความทุกข์โทมนัสมาให้
คนที่เราหวังมาก รักมาก ทุ่มเทให้เราแต่ความผิดหวัง ซ้ำซอก

แต่ใน
ทางกลับกัน คนที่เราไม่เคยหวังว่าจะได้พึ่ง กลับให้ที่พึ่ง
เราไม่เคยหวังว่าจะได้รับความชื่นใจจากเขา เขากลับนำแต่ความชื่นใจมาให้

มี
บ่อยไป ที่เราดูคนผิด แล้วเราต้องเสียใจไปนาน เราคบคนผิด
บางทีทำให้เราก้าวพลาด กว่าจะก้าวกลับคืนต้องใช้เวลานานแสนนาน
ตรงกับสุภาษิตภาษาอังกฤษที่ว่า

A
stitch in time saves mines แปลว่า สิ่งที่ส่องแสงแวววาว ไม่ใช่ทองเสมอไป
(All that glitters is not gold)


สิ่งที่ปรากฏให้เห็นมักหลอกลวงเราได้เสมอ (Appearances are often deceptive)

ทางที่ดีก็คือ อย่าประมาท อย่ามั่นใจอะไรนัก
จิตใจของคนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
แม้ใจของเราเองก็ไม่ได้ต่างไปจากใจของคนอื่น คนที่เคยรักเคารพนับถือเรามาก ๆ
เขาอาจโกรธ เกลียดเรา เลิกเคารพ นับถือเราเมื่อไรก็ได้

ประวัติ
ศาสตร์โลก และข่าวต่าง ๆ ของโลก
ที่แพร่ออกมาทางวิทยุหรือโทรทัศน์ทุกวันนั้น มีไว้เพื่อความสังเวชสลดใจ
เพื่อปลงนั่นเอง

เห็น
คนจนแล้ว ก็หมดความอยากที่จะรวย เห็นคนแก่แล้ว
ก็สูญสิ้นความภูมิใจในความเป็นหนุ่มสาวเพราะถึงอย่างไร
เราก็ต้องแก่อย่างนั้นแน่นอนถ้ามีชีพยืนยาวไป

เห็นคนแย่งชิง
ผลประโยชน์กัน ทำลายล้างกันด้วยวิธีต่าง ๆ แล้ว
ไม่อยากเข้าไปแตะต้องสังคมใด ๆ เลย





คติธรรม : การทำอะไรลงไปย่อมได้
สิ่งนั้นตอบแทน เพราะชีวิตเป็นวัฎจักร กำกงกำเกวียนของชีวิต
ตามผลบุญและผลบาปที่ได้ก่อขึ้น


ความกตัญญูต่อผู้
ให้กำเนิด เป็นเรื่องที่ลูก ๆ ทุกคนสมควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง


กลับไปทด
แทนพระคุณที่ท่านได้เลี้ยงดูเราให้เติบใหญ่
ไม่มีใครดีไปกว่าพ่อแม่ของเราเป็นแน่แท้



จากหนังสือเพื่อเยาวชน สำนักพิมพ์คนรู้ใจ





Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:36:55 น.
Counter : 376 Pageviews.  

เกิดมาทั้งทีทำดี 3 กรรม (พระพิพิธธรรมสุนทร)

































เกิดมาทั้งทีทำดี 3 กรรม (พระพิพิธธรรมสุนทร)



ทุก
ท่านที่เกิดมาเป็นคนนั้นจะทำอะไรถึงจะดี
ก็จะขอสรุปว่า
การที่เราเกิดมาเป็นคนนั้นไม่ใช่ดีเฉพาะโลกเดียว
ดีมันต้องดี 2 โลก
โลกที่แล้วไม่ต้องไปพูดถึง แต่ว่าโลกนี้และโลกหน้า
"สุขในโลกนี้
และดีในโลกหน้า" จะทำอย่างไร เรื่องนิพพานก็ยังไม่อยากพูดถึง


"สุขในโลกนี้ และดีในโลกหน้า" ขอสรุปว่า "เกิดมาทั้งทีทำดี 3
กรรม
เป็นทุนหนุนนำตายแล้วไปสวรรค์" นี่คือ "สุขในโลกนี้
และดีในโลกหน้า"



"ดี 3
กรรม" คืออะไร 1. กรรมกิจ 2. กรรมบท 3 . กรรมฐาน



"กรรมกิจ"
ได้แก่ หน้าที่การงานต้องดี
ต้องมีความรู้ รู้แล้วเป็น
คือ ไม่ใช่รู้แล้วไม่เป็น
ประเภทความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
เมื่อเราทำกรรมกิจในฐานะที่เราเป็น
กรรมกร
คือ ทำหน้าที่การงาน ก็ต้องทำให้ประสบความสำเร็จ
คนที่ประสบ
ความสำเร็จในอาชีพการงานนั้น
ก็มีเงินมีทองใช้จ่ายใช้สอยเป็นทุน
อย่าง
นี้ "อยู่ก็ไม่ร้อน นอนก็ไม่ทุกข์"
ลูกเมียก็สบาย ลูกผัวก็สบาย
ดัง
นั้นเรื่องกรรมกิจนี้ก็หมายถึงว่า
" ทำแล้วมีเงินทองอย่างสมบูรณ์ "
ก็มีความสุข


"กรรมบท"
ข้อนี้เป็นข้อที่
พัฒนาตนเองไปสู่ความเคารพนับถือ ได้แก่ มีศีล
กรรมบทไม่ต้องไปพูดถึง
อะไรมาก คือพูดถึง "ศีล" อย่างเดียว
อย่างไรก็ตามไม้มีดอกผล
คนต้องมีศีล เราจึงเห็นว่าศีลนั้นสำคัญ

1. ศีลส่งทำให้สูง

2.
ศีลปรุงทำให้สวย

3. ศีลนำทำให้รวย

4. ศีลช่วยทำให้รอด

นี่
ก็คือการเกิดมาเป็นคนต้องมีศีล เพราะศีลเป็นบันไดทองของชีวิต
ทำให้เรา
ได้รับความเคารพนับถือ คนไม่มีศีลนั้นใครจะไหว้
การจัดลำดับของคนนั้น
เขาเรียกจัดลำดับตามศีล
ไม่มีศีล เขาก็เรียก "ไอ้" เรียก "อี"
แต่
มีศีลเขาก็เรียก "พ่อ" เรียก "แม่" เรียก "คุณ"
ดังนั้น กรรมบทเรื่อง
"ศีล" เป็นเรื่องสำคัญ เป็นขั้นที่ 2


และสุดท้ายอีกกรรม
คือ

"กรรมฐาน"
กรรมฐานคือ "สมถกรรมฐาน"
ใจต้องนิ่ง ใจต้องแน่ ใจจะได้ไม่เน่า
และเรื่องของวิปัสสนากรรมฐาน
ต้องสว่างไม่ใช่มืดบอด
เมื่อเรารู้เรื่องกรรมฐาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
"ไตรลักษณ์" ให้เห็นว่า
"อนิจจัง….ไม่เที่ยง"
"ทุกขัง….คงสภาพอยู่ไม่
ได้"
"อนัตตา….ไม่ใช่ของเรา ต้องแตกสลายหายไปทุกคน"

ถ้า " 3 กรรม" นี้แล้ว "กรรมกิจ กรรมบท กรรมฐาน"
ถือว่าเป็น
"กรรมที่สมบูรณ์แบบ" อยู่ก็สบาย ตายก็ไปสู่สุคติ
พระพุทธเจ้าสรรเสริญ
สำหรับบุคคลที่ทำ 3 กรรมนี้
จึงขอฝากให้ท่านทั้งหลายเอาไว้เป็นข้อคิด
ข้อปฏิบัติ



โดย : พระพิพิธธรรมสุนทร
วัดสุทัศนเทพวราราม






ขอบคุณบทความจาก
ธรรมะไทย









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:32:58 น.
Counter : 578 Pageviews.  

เจ้าหญิงทั้งห้า

















































เจ้าหญิงองค์โตขอแบ่งดินแดนกึ่งหนึ่งเมื่อครบ 18 ชันษาบริบูรณ์
เจ้า
หญิงองค์โตขอแบ่งดินแดนกึ่งหนึ่งเมื่อครบ 18 ชันษาบริบูรณ์

เจ้าหญิงทั้งห้า



กาลครั้ง
หนึ่งนานมาแล้ว มีกษัตริย์เกาหลีผู้มีราชธิดาห้าองค์
แต่ละองค์จะได้รับ
พรพิเศษจากพระบิดาเมื่ออายุครบ 18 ชันษาบริบูรณ์





















อยู่มาวันหนึ่ง กษัตริย์ชราสิ้นพระชนม์ด้วยอาการสงบ
อยู่มาวันหนึ่ง
กษัตริย์ชราสิ้นพระชนม์ด้วยอาการสงบ




















อยู่มาวันหนึ่ง ราชินีมีคำบัญชาให้เจ้าหญิงองค์สุดท้องเข้าเฝ้า
อยู่
มาวันหนึ่ง ราชินีมีคำบัญชาให้เจ้าหญิงองค์สุดท้องเข้าเฝ้า




















เจ้าหยิงหวาดกลัวแทบขาดใจ หวีดร้องออกมาสุดเสียง
เจ้าหยิงหวาดกลัวแทบขาดใจ
หวีดร้องออกมาสุดเสียง




















เจ้าหญิงจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง สัตว์ประหลาดให้สัญญาว่า
เจ้า
หญิงจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง สัตว์ประหลาดให้สัญญาว่า




















เมื่อราชินีใจโหดทราบข่าวว่าน้องสุดท้องยังมีชีวิตอยู่ <br>จึงเรียกประชุม
เมื่อราชินีใจโหดทราบข่าวว่าน้องสุดท้องยังมีชีวิตอยู่
จึงเรียกประชุม




















แผ่นดินเกาหลีจึงปลอดภัยจากราชินีใจโหด
แผ่นดินเกาหลีจึงปลอดภัยจากราชินีใจ
โหด




















ที่มา : <br>กาลครั้งหนึ่ง  นิทาน, นิทานพื้นบ้าน, นิทานนานาชาติ,สุภาษิต คำพังเพย
ที่
มา : กาลครั้งหนึ่ง นิทาน, นิทานพื้นบ้าน, นิทานนานาชาติ,สุภาษิต คำพังเพย







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:11:44 น.
Counter : 721 Pageviews.  

ไม่ยุติธรรม

แม่ไก่สองตัวทะเลาะกันเพราะแย่งข้าวโพด
หนึ่งเมล็ด
เมื่อตกลงกันไม่ได้แม่ไก่ก็วิ่งไปฟ้องไก่โต้งให้ช่วยตัดสิน
"ไปนำข้าวโพดมาให้ฉันซิ"
  ไก่โต้งสั่ง

แม่ไก่ทั้งสองก็
เชื่อฟัง   คาบเมล็ดข้าวโพดมาวางตรงหน้า
ผู้ตัดสินความแต่ไก่โต้งกลับรีบ
จิกข้าวโพดกินอย่างรวดเร็ว
"เอ๊ะ
ไม่ยุติธรรม"
 
แม่ไก่ท้วงเสียงแหลมแล้ววิ่งเข้าป่าไปร้องทุกข์หมาจิ้งจอก

"พาไก่โต้งมาพบฉันหน่อย"
  หมาจิ้งจอกสูดปาก

แม่ไก่กลับ
มาหลอกล่อไก่โต้งให้เข้าไปในป่า   หมาจิ้งจอกงับไก่โต้งทันที
"ไม่ยุติธรรมเลยนะ"
 
แม่ไก่บ่นและพากันไปหาความยุติธรรมจากหมาป่าอีก

"ทำอย่างนี้ไม่ถูกเรื่อง   ไปตามเจ้าหมาจิ้งจอกมาซิ"
  หมาป่าคำราม
แกล้งทำเป็น
โกรธแค้นแต่เมื่อแม่ไก่หาอุบายหลอกลวงหมาจิ้งจอกมาจนถึงถ้ำของหมาป่า
หมา
จิ้งจอกก็ตกเป็นเหยื่อของหมาป่าอีกเช่นกัน
"โอ๊ย
ไม่ยุติธรรม"
 
แม่ไก่ตะโกนวิ่งเตลิดหนีไปพึ่งหมีเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง

"ตอนแรกเราก็ทะเลาะแย่งข้าวโพดกัน  
แล้วก็ไปขอให้ไก่โต้งช่วยตัดสิน
ไก่โต้งกลับกินข้าวโพดของเรา  
ไปฟ้องหมาจิ้งจอก   หมาจิ้งจอกก็กินไก่โต้ง   ไปร้องทุกข์
หมาป่า  
หมาป่าก็กินหมาจิ้งจอกอีกเห็นมั๊ย   ไม่ยุติธรรมเลย"
  แม่ไก่บ่น

"เอาละไปพาเจ้าหมาป่ามาพบข้า"
  หมีออกคำสั่ง
แล้วเรื่องก็ลงรอย
เดิม   หมาป่าตกเป็นเหยื่อของหมี
"ตอนนี้
ก็ถึงคราวเจ้าละ   ข้าจะกินเจ้าด้วย"
  หมีหันมาขู่ตะคอกแม่ไก่ทั้งสอง

แม่ไก่จึง
วิ่งหนีสุดฝีเท้า   พอรอดพ้นอันตรายแล้ว   ก็หันหน้าเข้าปรับทุกข์กัน

"ดูซิ  
ข้าวโพดเพียงเมล็ดเดียวทำให้สัตว์ทั้งหลายอิ่มหนำสำราญไปตามๆกัน
มีแต่
สองเราเท่านั้นที่ทะเลาะแย่งข้าวโพด   กลับหิวโหยไม่ยุติธรรมเลยนะ"






จากหนังสือ   "นิทานก่อนนอน"
แปลจาก
เรื่อง  "
The Two Hens"
ผู้
แปล  "ต้อยติ่ง"







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 17:08:29 น.
Counter : 352 Pageviews.  

ทุกข์ที่ดับด้วยปัญญา...ทุกข์นั้นไม่ เกิดอีก





























วิธี
แก้กิเลสทุกประเภท
รวมทั้งโทสะ ให้ลดน้อย
ถึงให้หายขาดไปได้นั้น
พระ
พุทธองค์ทรงสอนให้ใช้เหตุผล
คือใช้ปัญญา
พิจารณาลงไปเป็นเรื่องๆ
ว่า
อะไรเป็นอะไร
ทำไมจึงเกิดขึ้น
ควรปล่อยให้เกิดอยู่ต่อไป
หรือ
ควรแก้ไขอย่างไร
ควรปล่อยวางอย่างไร


พิจารณาด้วยปัญญา
ดังกล่าวนี้ในเรื่องใดก็ตาม
หาก
ทำให้เรื่องนั้นคลี่คลายลงได้
เช่น กำลังเกิดโทสะในเรื่องใดอยู่
ทำ
ให้หายได้ด้วยเห็นตามปัญญาพิจารณา
โทสะในเรื่องนั้นจะไม่กลับมาเกิดอีก
เรียก
ว่าใช้ปัญญาถอนรากถอนโคนให้เด็ดขาดไป



: พุทธวิธีไม่ให้เกิดโทสะ
: สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก










แหล่งที่มาจาก : ธรรมจักรดอทเน็ต






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 23 เมษายน 2553    
Last Update : 23 เมษายน 2553 0:09:59 น.
Counter : 260 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.