พุทธะ เกิดที่ใจ เกิดจากใจ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)











































พุทธะ เกิดที่ใจ เกิดจากใจ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)


มูล
ของศาสนาเบื้องต้นเกิดจากจิตจากใจ จิตใจเป็นบ่อเกิดของพุทธศาสนา


โลก
อันนี้เป็นของวุ่นวี่วุ่นวายแต่ไหนแต่ไรมา พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาที่ใจ พุทธะเกิดที่ใจ ใจ
มันเข้าถึงผู้รู้แล้วก็เข้าถึงพุทธะ พุทธะ คือผู้รู้คือผู้เห็น
เห็นเหตุเห็นผลเห็นเรื่องราวต่างๆ เห็นสิ่งแวดล้อมเรื่องใจนั้น เช่น
เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง มันเกิดจากใจนั้น

เมื่อความโลภ
ความโกรธ ความหลง มันเกิดขึ้นมาแล้ว พระพุทธเจ้าก็เกิดขึ้นมาจากความโลภ
ความโกรธ ความหลง อันนั้นละ เห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง
จึงค่อยเป็นพุทธะกิเลสมันเกิดจากนั้น ไม่ใช่เกิดที่อื่น

เราปฏิบัติ
ฝึกหัดตามพระองค์ ครั้นไปเห็นเรื่องใจ คือบ่อเกิดแห่งพุทธศาสนา
คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็ละความโลภ ความโกรธ ความหลงได้ไม่มีอะไร
กิเลสทั้งหลาย อายตนะ ขันธ์ห้า ทั้งปวงหมด มันออกไปจากนั่นทั้งนั้น

ไม่มีใจแล้ว ไม่มีขันธ์ห้าที่จะต้องชำระหรอก
กิเลสทั้งหลายร้อยแปดพันประการมันเกิดจากใจอันเดียว กิเลสมันเกิดที่ใจ
พระพุทธเจ้าก็ชี้ลงที่ใจน่ะซี
ที่พระองค์ทรงรู้ก็รู้ที่ใจ
ครั้นรู้ใจแล้วก็รู้กิเลสทั้งปวงหมด
ของพรรค์นั้นจะไปถืออะไรของภายนอกถือภูตผีปีศาจ เชื่อมนต์คาถาอาคมทั้งปวง ครั้น
ถ้าเกิดจากใจแล้วมันจะไปถืออะไรนอกจากใจนั่น จับเอาที่ใจนั่นให้มันแน่นแฟ้น
มันก็รู้ขึ้นมาน่ะซี


อันนี้ใจก็ยังไม่รู้จัก
ไม่ทราบว่าอะไร ไปค้นคว้าหาที่ไหนก็ไม่ทราบ ไม่เห็นตัวใจสักที
ไม่เห็นตัวใจก็ไม่เห็นพุทธศาสนา เหตุนั้นศาสนาอย่าเข้าใจว่าอยู่ในที่อื่น
ตัวพระสงฆ์ ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา
ครั้นถ้าไม่มีใจแล้วมันก็ไม่มีทั้งนั้นแหละ

มีใจมันจึงค่อยแต่งให้
เป็นรูป กรรมตกแต่งขึ้นมาให้เป็นรูปหญิง รูปชาย
รูปพระรูปเจ้าตกแต่งให้เป็นภิกษุสามเณร กรรมมัน
ตกแต่งให้เป็นต่างๆ นานา ก็เพราะใจมันเข้าไปครอบครองในรูปอันนั้น
เมื่อกิเลสมันครอบงำแล้วก็ไม่เห็นใจน่ะซี จึงต้องบุกเบิกเข้าไปหาใจ
เห็นใจแล้วก็เห็นของพวกนั้น

แต่
ว่าศาสนาตั้งอยู่ที่ใด ? ตั้งอยู่ที่ใจ
ถ้า
หากไม่มีกิเลสก็ไม่มีพระพุทธเจ้าหรอก
เมื่อมีกิเลสจึงค่อยมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมา
จึงควรเพิกถอนกิเลสนั้นออกจากใจพระพุทธเจ้าเกิดที่นั่น พุทธะ ความเป็นจริง
ไม่ใช่พุทธะ เจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร

เมื่อเกิดความรู้ขึ้นมาทีแรก
เขาถึงเรียกว่า พุทธะ ชาวโลกเขาเรียกว่า พุทธะ
มันมีหลายเรื่องหลายชื่อพระชินสีห์ พระศากยมุนี พระโคดมบรมครูฯ อะไรต่างๆ
หลายเรื่อง เรื่องพระเจ้าสิทธัตถะเดิมก็เลยหายไป
เพราะความตรัสรู้อันนั้นนั่นเอง
เบิกบานขึ้นมาจากใจแล้วก็ให้นามสมัญญาไปต่างๆ นานา

แต่พระ
พุทธะเจ้าท่านทรงเรียกว่า เราคถาคต
ไม่ได้เรียกอื่นไกลตามสมมติบัญญัติที่โลกเขาเรียกพระองค์


แท้
ที่จริงพุทธะ ก็เกิดที่ใจ เกิดจากใจ เพราะการปฏิบัติบำบัดเรื่องต่างๆ
ออกจากใจ ทำให้ผ่องใสสะอาด ชำระให้หมดจดจากใจ เหตุนั้น
ใจจึงเป็นของสำคัญที่สุด ถ้าปฏิบัติเข้าถึงใจเมื่อไรจึงจะเห็นใจเมื่อนั้น
เป็นพุทธะเมื่อนั้น ถ้าไม่ถึงใจแล้วยังไม่ถึงพุทธะหรอก เอาละ

:
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี










Free TextEditor







































































































 

Create Date : 12 เมษายน 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2553 23:01:52 น.
Counter : 258 Pageviews.  

ถ้ารู้จักโลกชีวิตจะไม่แปรปรวน













































ประวัติ
ศาสตร์ ได้สอนให้รู้ความเกิด ความเจริญ และความเสื่อมของชาติและบุคคลต่าง ๆ
ในอดีตที่สืบมาจนถึงปัจจุบัน คราวนี้กลับมานึกถึงประวัติชีวิต
ทุก ๆ คนมีชีวิตดำเนินมาถึงปัจจุบัน

เหมือน
หนึ่งได้ยืนอยู่ในจุดปัจจุบันของชีวิต เมื่อระลึกย้อนไปในอดีตก็จะเห็นว่า
ชีวิตได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามาก ถ้าเป็นเด็กก็อาจจะยังผ่านมาน้อย
เพราะเป็นระยะตั้งต้นซึ่งกำลังจะเริ่มเจริญ
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ย่อมจะต้องผ่านมามาก
เหตุการณ์เหล่านี้เมื่อสรุปลงแล้วก็ได้แก่
โลกธรรม (ธรรมคือ
เรื่องสำหรับโลก) ต่าง ๆ ได้แก่ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ ความเสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์

โลกธรรมเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่น่า
ปรารถนาก็มี ไม่น่าปรารถนาก็มี แต่ทุก ๆ คนก็ต้องประสบมาโดยลำดับ
แม้ในชีวิตปัจจุบัน ทุก ๆ คนก็กำลังประสบอยู่ คือกำลังประสบในส่วนได้ (ลาภ
ยศ สรรเสริญ สุข) บ้าง ในส่วนเสีย (เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) บ้าง
ในชีวิตอนาคตก็ต้องประสบเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ทุก ๆ คน
จึงยิ้มย่องผ่องใสบ้าง เศร้าหมองบ้าง อยู่ตลอดไป
และบางคนเมื่อได้หรือเมื่อขึ้นก็มัวเมาโลดขึ้นไปอย่างลืมตัว
เมื่อเสียหรือเมื่อตก ก็เหมือนตกเหว คือรู้สึกว่าตกเอาจริง ๆ
ถึงตายหรือเกือบตาย

นึกถึงคนไข้ ปรอทฉูดขึ้นฉูดลง แสดงว่าไข้หนัก
น่าอันตราย คนที่มีจิตใจขึ้นลงเพราะโลกธรรมก็เช่นเดียวกัน
เว้นไว้แต่ผู้ที่ได้สดับธรรมของพระพุทธเจ้า
และรักษาจิตใจไว้ได้ไม่ให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรมจนเกินสมควร
ถึงจะหวั่นไหวไปบ้างเหมือนอย่างเป็นไข้ธรรมดาก็ยังไม่เป็นไร

พระ
พุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลกธรรม คือเรื่องของโลกตามความเป็นจริงว่า
เป็นสิ่งที่พึงเกิดแก่บุคคลทุกทั่วหน้า แม้พระอรหันต์ก็ไม่พ้นไปจากโลกธรรม
ดังเช่นพระพุทธองค์เอง บางคราวก็ถูกพวกมิจฉาทิฏฐิ ด่าว่ากล่าวหาต่าง ๆ
แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเห็น ตระหนักในความเป็นจริงของโลกธรรมว่า ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่
เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
จึงไม่ทรงข้อง
ติดอยู่ในโลกธรรมทุกอย่าง
และโลกธรรมทุกอย่างก็ไม่สามารถครอบงำพระทัยพระองค์ได้
พระอรหันต์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ทั้งทรงสั่งสอนให้ทุก ๆ คนทราบตระหนักว่า
เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ทั้งที่น่าปรารถนา
และไม่น่าปรารถนาเป็นโลกธรรม ซึ่งอาจครอบงำใจของคนเขลา เพราะทำให้ฉูดขึ้น
ฉูดลง ผลก็คือต้องเสียหายเพราะโลกธรรมทั้งขึ้นทั้งลง
แต่ไม่อาจครอบงำใจของผู้มีสติรู้เห็นตามเป็นจริงได้

ความเปลี่ยนแปลง
ของเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ส่วนตนและส่วนรวม
ตลอดถึงที่เรียกว่าเหตุการณ์ของโลก ได้เกิดขึ้นบางทีก็รวดเร็วอย่างไม่นึก
ถึงกับทำให้คนทั้งปวงพากันตะลึงงันก็มี เหตุการณ์ในวันนี้เป็นอย่างนี้
แต่วันพรุ่งนี้เล่า ยากที่จะคาดว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้ยังอยู่ดี ๆ
พรุ่งนี้มีข่าวออกมาว่าสิ้นชีพเสียแล้วก็มี เมื่อวานนี้ระเบิดกันตูมตามอยู่
วันนี้ประกาศออกไปว่าหยุดระเบิดส่วนใหญ่ก็มี
วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรอีกก็ยากที่จะทราบ ความเปลี่ยนแปลงของโลกดังนี้
ผู้ที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นเป็นของแปลก
ถ้าโลกจักหยุดเปลี่ยนแปลงนั่นแหละจึงจะแปลก ซึ่งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เพราะ
ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ


ที่เรียก
ว่า ความเปลี่ยนแปลง นั้น คือเหตุการณ์อย่างหนึ่งดับไป
เหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นแทน ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงก็คือ ความดับ -
เกิด หรือ ความเกิด - ดับ ของสิ่งทั้งหลาย นี้เป็นวิบากคือเป็นผล
ถ้าเป็นผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็มีคำเรียกว่า ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ซึ่งจะยกไว้ไม่พูดถึงในที่นี้ จะพูดถึงแต่ที่เกี่ยวกับบุคคล
คือที่บุคคลก่อขึ้นเอง

อันเหตุการณ์ที่คนก่อให้เกิดขึ้นนั้น
นับว่าเป็น กรรมของคน หมายความว่า การที่คนทำขึ้น
ไม่ใช่หมายความว่ากรรมเก่าอะไรที่ไม่รู้ กรรมคือการกระทำที่รู้ ๆ
อยู่นี่แหละ เมื่อก่อขึ้นด้วยกิเลส ก็เป็นเหตุทำลายล้าง
แต่เมื่อก่อขึ้นด้วยธรรม ก็เป็นเหตุเกื้อกูลให้เกิดความสุข
เหตุการณ์ส่วนใหญ่ของโลกนั้น มีขึ้นด้วยกิเลสหรือกรรมของคนไม่มากคนนัก
แต่มีผลถึงคนทั้งปวงมากมาย ถ้าจะถามว่า กิเลสซึ่งนับว่าอธรรมกับธรรม นั้น
ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างกัน ตรงกันข้ามกัน ใคร ๆ ก็น่าจะมองเห็น
แต่ไฉนจึงยังใช้กิเลสกันอยู่ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่น ๆ
จะช่วยให้คนใช้ธรรมกันให้มากกว่านี้มิได้หรือ ถ้ามีคำถามมาดังนี้
ก็น่าจะมีคำถามย้อนไปบ้างว่า
เมื่อเป็นสิ่งที่น่ามองเห็นกันง่ายดังนั้นทำไมใคร ๆ
จึงไม่สนใจที่จะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ากันให้มากขึ้นเล่า

พระพุทธศาสนาพร้อมที่จะ
ช่วยทุก ๆ คนอยู่ทุกขณะ แต่เมื่อใครปิดประตูใจไม่เปิดรับธรรม
พระพุทธศาสนาก็เข้าไปช่วยไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
โลกจึงต้องปราบกันลงไปด้วยกำลังต่าง ๆ แม้ฝ่ายถูกก็ต้องใช้กำลังแก่ฝ่ายผิด
นับว่าเป็นเรื่องของโลก ซึ่งมีวุ่นวายมีสงบสลับกันไป และมนุษย์เรานั้น
แม้มีกำลังกายด้อยกว่าช้าง ม้า เป็นต้น แต่มีกำลังปัญญาสูงกว่า
กำลังปัญญานี้เองที่สร้างแสนยานุภาพได้ยิ่งใหญ่
ทั้งสร้างระบอบธรรมอย่างดีวิเศษขึ้นด้วย ฉะนั้น
ในขณะที่มีจิตใจได้สำนึกได้สติขึ้น แม้จะหลังที่ตีกันมาพักใหญ่แล้ว
ก็จะเป็นโอกาสที่มีปัญญา มองเห็นธรรม
และกลับมาใช้ธรรมสร้างความเจริญและความสุขกันต่อไป..........



(บางส่วนของบทความ
โลกและชีวิตในพุทธธรรม จากหนังสือ สิริมงคลของชีวิต ...สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)











ธรรมจักร






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 12 เมษายน 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2553 22:59:57 น.
Counter : 282 Pageviews.  

จิตที่ไม่ประมาท
















































กุศลกรรมทั้งหลายมีความไม่ประมาท
เป็นมูล


วิชชาเป็นหัวหน้าในการยังกุศลกรรม
ทั้งหลายให้เกิด ยังกุศลกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วให้บริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น

อวิชชา
เป็นหัวหน้าในการยังอกุศลกรรมทั้งหลายให้เกิด
ยังอกุศลกรรมทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้วให้บริบูรณ์ยิ่งๆ ขึ้น

ชาวพุทธ
ทั้งหลายจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด

อย่าง
ไร จิต จึงจะถือว่า ไม่ประมาท มีสติสัมปชัญญะทุกเมื่อ?


จิต
ที่ประมาท คือ จิตที่หลงไปตามความพอใจ ไม่พอใจ มีผลเป็น อวิชชา (โลภะ โทสะ
โมหะ) เมื่อเราประมาท อวิชชาที่ถูกสะสมมาก่อนหน้า
จะสั่งบุคคลผู้นั้นให้เกิดความพอใจไม่พอใจตอบสนองต่อสิ่งที่เข้ามากระทบ
สัมผัส (ผัสสะ) ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ (อินทรีย์ ๖) เป็นอัตโนมัติ
เรียกว่าติดจนเป็นนิสัย (นิสยปัจจัย) โดยมีรูป รส กลิ่น เสียง และจินตนาการ
เป็นจุดเริ่มต้น (อารัมปัจจัย) การหลงไปตามความพอใจ ไม่พอใจนี้
จึงเป็นต้นเหตุของทุกข์ทั้งปวง

การทำจิตให้ไม่ตกอยู่ในความประมาท ก็คือ
การไม่หลงไปตามสิ่งที่มากระทบสัมผัส ไม่ให้เกิดความพอใจ ไม่พอใจ
จนกลายเป็นหลง การที่จะดับความพอใจไม่พอใจและความหลง
ได้นั้นต้องดับด้วยความจริง เพราะความพอใจไม่พอใจเป็นความเห็น
ความจริงที่จะนำมาดับความพอใจไม่พอใจได้นั้น คือ ความจริงของโลกและชีวิต
กฎธรรมชาติ ๒ กฎ ได้แก่ กฏไตรลักษณ์ และ กฏอิททัปปัจนายตาปกิจจสมุปาท

ใน
ทางปฏิบัติ เมื่อตาเห็นรูป ให้นึกคิดพิจารณาตามความเป็นจริงว่า รูปที่เห็น
(อายะตนะภายใน) ไม่เที่ยง เกิดขึ้น คงอยู่ และก็ต้องดับไป สิ่งที่เห็น
(อายะตนะภายนอก หรือ วัตถุ) ใหม่ เก่า และก็ต้องแตกสลาย
พิจารณาเพียงเท่านี้ทุกครั้งให้เท่าทันปัจจุบัน (ปัจจุบันอารม)
ความอยากได้วัตถุก็ถึงกาลต้องดับไป (ดับทุกข์ ดับอวิชชา)
เมื่อสามารถปฏิบัติได้ตลอด ด้วยความไม่ประมาท ความกำหนัดในวัตถุกาม
ก็จะถึงจุดที่ดับไปสิ้นไปในที่สุด

เช่นเดียวกันกับรูป
เมื่อหูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส และใจคิดนึก
ก็ให้พิจารณาในลักษณะเช่นเดียวกัน
การพิจารณาโดยใช้ความจริงไปดับความเห็นนี้ (วิปัสสนา)
ดับความพอใจไม่พอใจและความหลงได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังเครียดเรื่องงาน
เรื่องหนี้สิน ให้พิจารณาว่า ความนึกคิดไม่เที่ยง ติดๆ กัน ๕ นาที ๑๐ นาที
ความเครียดจะหายไป ไม่ต้องกินยา กินเหล้า ยังมีกำลังนึกหาทางออก
หาทางแก้ไขปัญหาชีวิตได้อีกอย่างสบาย

จิต
ที่ไม่ประมาท จึงนับเป็นจิตที่ยิ่งใหญ่ ด้วยประการเช่นนี้











ธรรมจักร







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 12 เมษายน 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2553 22:58:21 น.
Counter : 242 Pageviews.  

ปีติหล่อเลี้ยงใจ















































รหัสชีวิต
มนสิกุล
โอวาทเภสัชช์


ปีติ
หล่อเลี้ยงใจ



เกสรี บุลสุข วัย 79 ปี เจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัด “เกสรี”
ที่
มีโรงเรียนเสริมสวยเกสรี และร้านเสริมสวยเกสรีในเครือ

เพิ่ง
เลิกกิจการไปเมื่อ 3-4 ปีก่อน
จากที่กำเนิดธุรกิจมาได้เกือบ 50 ปี


“ก็สมควรแก่เวลา ไม่อยากให้อะไรมันวุ่นวายไปมาก
ทำเท่าที่เราดูแลได้”

คุณยายเกสรีเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา


หลัง
บ้านของโรงเรียนเสริมสวยปรุงแต่งสังขารแห่งนี้
กลับเป็นโรงเรียนสอน
ธรรมะให้กับลูกหลาน
เป็นโรงพยาบาลดูแลพระสงฆ์อาพาธ
ยังมีที่พัก
สำหรับพระภิกษุสงฆ์นานาชาติหลายรูป
ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ชาที่เดิน
ทางมาจากทั่วโลก
ก่อนไปแสดงธรรมตามสถานที่ต่างๆ
และเธอยังเคยติดตาม
ไปช่วยบุกเบิกวัดในอังกฤษ
สมัยที่หลวงปู่ชาเดินทางไปครั้งแรกเมื่อหลาย
สิบปีก่อน
แม้จะทำบุญกุศลมามากมาย
แต่
คุณยายเกสรียังอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ โดยเฉพาะเรื่องธรรมะ



"ยังเรียกว่าเป็นนักเรียนธรรมะอยู่
ยังไม่กล้าอ้างว่าเข้าใจ 100%"



นักเรียนธรรมะรุ่น
ใหญ่เริ่มปฏิบัติธรรมครั้งแรก
ตั้งแต่ช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
คุณ
ยายเกสรีเล่าว่า คุณแม่พาข้ามฟากไปปฏิบัติธรรมที่วัดระฆัง
พอตอนสงคราม
โลกครั้งที่สองต้องอพยพไปอาศัยวัดนั้นวัดนี้
เลยได้ปฏิบัติธรรมไปโดย
ปริยาย


“ตอนสงครามใกล้จะเลิกไปอยู่วัดประดู่ เวลาเขายิงกัน
ดิฉัน
เห็นหน้านักบินเลย เราอยู่ในเรือ ก็กลัวสงสัยว่า
ทำไมคนเราต้องมาทำร้าย
กันด้วย แต่เมืองไทยแม้ว่ามีสงคราม
ก็ยังไม่อดอาหาร
ไม่เหมือนยุโรปที่ขาดแคลนอาหารมาก
ลำบากกว่าเราเยอะ
การศึกษาช่วงนั้นก็ขาดตอน
ถ้าระเบิดที่ไหนลง ก็ต้องไปหาวัดอยู่
เพราะโรงเรียนปิด
ก็เลยรู้ถึงความลำบากพอสมควรในชีวิต
ก็ได้เจอลูก
ศิษย์หลวงปู่มั่นหลายองค์ เช่น หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่เทสก์
หลวงพ่อชา
ตอนที่หลวงพ่อชาป่วย เราก็พยายามที่จะไปดูแลท่าน
ก็เลยได้รู้จักกับลูก
ศิษย์ท่านหลายรูป


เห็นความรักของบรรดาลูก
ศิษย์ที่เป็นพระอุปัฏฐากหลวงปู่ชา
แล้วก็ซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
และก็ได้พบกับพระอาจารย์พรหมวังโส
หรือพระอาจารย์พรหม ชาวอังกฤษ
ตั้งแต่วัยหนุ่ม
คิดดูว่าท่านเป็นพระต่างประเทศ
ฟังภาษาไทยก็ไม่รู้เรื่อง
แต่ท่านก็มีความเพียรในการปฏิบัติ
แสดง
ว่าท่านต้องวางจิตวางใจได้ดีมาก



ตอนหลวง
พ่อชาท่านอาพาธ ท่านอดทนขนาดไหน
เป็นตัวอย่างให้เราดูว่าการอาพาธก็
เพียงร่างกายเท่านั้น
ดิฉันรีบไปสร้างกุฏิพยาบาลเพื่อให้ท่านไปอยู่
โดย
เฉพาะที่วัดหนองป่าพง ฉันคิดว่า เราเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ถ้าเราป่วยอยู่
อย่างไรจึงจะสบาย
บอกให้สถาปนิกที่เป็นเพื่อนช่วยเขียนรายละเอียดให้
แล้ว
ก็มีพระต่างประเทศมาอาสาไปดูการก่อสร้างให้
อีกรูปหนึ่งไปดูเรื่องไฟฟ้า
ให้ พระทั้งสองรูปไปทำกุฏิให้ดีกว่าที่คิด
พอเราไปดูงานแต่ละครั้ง
ก็ปลื้มใจ คือเหมือนเป็นโรงพยาบาลอยู่ที่นั่น

และเมื่อตอนที่หลวงพ่อ
ชาออกจากโรงพยาบาลกลับวัด
ท่านต้องฉันอาหารทางสายยาง
ดิฉันไปวัดหนองป่าพง
ก็สงสัยว่าทำไมพระลูกศิษย์บางรูป
จึงเอาท่อสาย
ยางใส่อาหารสอดทางจมูกตนเอง
พอสอบถามดู พระท่านตอบว่า
เวลาไปพยาบาล
ถวายอาหารทางสายยางให้หลวงพ่อ
จะได้รู้ว่าจะทำอย่างไรที่ไม่ทำให้ท่าน
เจ็บ
พระทุกรูปที่ดูแลท่านทำอย่างนี้กันหมด


การทดลองกับตัว
เองอย่างนี้ พระลูกศิษย์เล่าว่า
ไม่มีใครสั่งท่านทำ แต่ท่านทำกันเอง
ท่านบอก
ว่า การที่เราได้ดูแลพระอาพาธ ก็เหมือนการดูแลพระพุทธเจ้า
ทำให้นึกถึง
ตอนที่หลวงพ่อชาจะเจ็บหนัก
หลังจากที่ท่านได้รับนิมนต์ไปอังกฤษกลับมา
แล้ว
ท่านก็ดูว่าจะส่งพระรูปใดไปต่างประเทศบ้าง
ท่านก็ให้พระ
อาจารย์สุเมโธไปบุกเบิกที่อังกฤษก่อน
เดี๋ยวนี้ก็เลยมีวัดอมราวดีใน
อังกฤษ



ตอนแรกๆ ที่มีพระไปอยู่ ก็ถูกคนที่นั่นต่อต้าน
ร้องเรียน
เป็นคนแต่งตัวประหลาดๆ เขาหมายถึงพระสงฆ์น่ะ
ในที่สุด
นานๆ ไป คนอังกฤษก็รู้ว่าเขาโชคดีที่มีบุคคลกลุ่มนี้มาอยู่
เพราะทำให้
คนที่นั่นมีความสงบสุขมาก อย่างท่านพรหมวังโส
หลวงพ่อชาก็ให้ไปบุกเบิก
ที่ออสเตรเลีย
สถานการณ์ก็ไม่ต่างจากอังกฤษเท่าไหร่
แต่ท่านพรหมมี
วิธีการสอนให้เข้าถึงธรรมง่ายๆ
คนก็เริ่มสนใจและศรัทธากันมาก
คนสิงคโปร์บินมาไม่รู้กี่หน
มาเข้ากรรมฐานกับท่าน
เขาเป็นนักธุรกิจและเครียดมาก
พอมาเข้ากรรมฐาน จิตก็ปล่อยวาง
มีแรงทำงานมากขึ้น


ท่านสุเมโธและลูกศิษย์ท่านก็สอนธรรมะง่ายๆ
เหมือนกัน
ท่านไปสอนกรรมฐานให้คนอังกฤษที่เครียดๆ
พอคนเครียดๆ
มาเข้ากรรมฐาน ก็รู้จักปล่อยวางมีแรงทำงานมากขึ้น
ดิฉันเองก็ดีใจที่ได้
รับใช้ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อชามาจนถึงลูกศิษย์ท่าน
เห็นความกตัญญูของพระ
ลูกศิษย์ท่านก็ชื่นใจ“


ในวัยเกือบ 80 ปี
คุณยายเกสรีเล่าว่า ดีใจที่สุดคือได้พบพุทธศาสนา
เพราะทำให้เข้าใจว่า
เวลาเจ็บป่วยอย่างไรก็รู้ว่าเป็นอย่างนั้นเอง


“เมื่อมีชาติ
ก็มีชรา ตามมาด้วยโรคาพยาธิ ยอมรับว่าเซลล์มันกำลังจะยึด
จวนจะหมด
หน้าที่ทำงานของมันอยู่แล้ว เราจะเข็นมันอะไรนักหนา
ในที่สุดก็ต้องคืน
ให้กับธรรมชาติไป ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น


ลูกหลานไม่มีอะไรเป็น
ห่วงกังวลแล้ว งานอดิเรกเมื่อก่อนชอบปลูกต้นไม้
เดี๋ยวนี้ปลูกไม่ไหว
ก็ได้แต่นั่งดูด้วยความปีติ
ศึกษาธรรมะจากต้นไม้ได้เหมือนกัน
ต้นไม้บางอย่างไปขึ้นตรงไหนขึ้นได้ดี
เวลาไปย้ายมัน มันจะเฉา
บางทีเราจึงเอาสิ่งสวยงามมาเป็นสิ่งแรกไม่ได้
ต้องตามใจเขา
การจัดต้นไม้ ก็เลยดูลงตัวบ้างไม่ลงตัวบ้าง
เลยมาดูว่านี่ไง ธรรมชาติ
ดูต้นไม้ก็มีความสุข
กลางวันเขาปล่อยออกซิเจนออกมา
กลางคืนก็คลาย
คาร์บอนไดออกไซด์ เราเองก็เช่นกัน


เดี๋ยวนี้ไปไหนไม่ค่อยได้
ก็อาศัยปีติหล่อเลี้ยง
ต้องพยายามไม่คิดอะไรที่เป็นมิจฉาทิฐิ
ตัว
มิจฉาทิฐิคิดแล้วจะดึงดูดเราลงไป
ถ้าช่วงไหนไม่มีปีติ
ให้อยู่กับอุเบกขาไป ไม่เอาจิตไปปรุงต่อ
เมื่อมีมิจฉาทิฐิ
ข้อสำคัญคือต้องวางทิ้ง ตัดทิ้ง
อย่าเข้าไปอยู่ในโลกของความคิดที่ไม่ดี
นานๆ
หรือความคิดที่ดีๆ ก็ตามเถอะ ไม่ว่าเรื่องอะไร
เพราะถึงที่สุด
เราต้องปล่อยหมดทุกอย่าง
แม้แต่ชีวิตเรา แสดงว่ามันไม่ใช่ของเรา"



“มี
ลูกสองคน เสียไปหนึ่งคน เหลือคนที่สองเป็นลูกชาย เป็นวิศวกร
เขาเป็นคน
ที่มีจิตใจเป็นธรรมะมาก สนใจพุทธศาสนาแบบคนสมัยใหม่
มีเมตตาจิตเป็นพื้น
เยอะ มีอยู่ครั้งหนึ่ง
มีขอทานไปขอสตางค์คนคนหนึ่งก็ถูกไล่ไป
ลูก
ชายดิฉันเห็น ก็เข้าไปหา แล้วควักสตางค์ให้
บอกขอทานว่า ลุง ค่ำๆ
อย่างนี้ เดินข้ามถนนต้องระวัง
ลุงขอทานก็ตอบว่า
ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครเมตตาและพูดเพราะๆ อย่างนี้กับผมเลย
ลูกชายก็
พาลุงขอทานข้ามถนน
ลูกชายเขามีจิตเมตตาอย่างนี้
ดิฉันก็ไม่เป็นห่วงแล้ว”


























บทความจากลานธรรมจักร







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 12 เมษายน 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2553 22:41:39 น.
Counter : 524 Pageviews.  

วิธีการดับทุกข์เพราะ...เพื่อน
















































สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิคมของชาวศักยะ
ในแคว้นสักกะ
ครั้งนั้นท่านพระอานนท์
ได้เข้าไปเฝ้าแล้วกราบทูลพระพุทธองค์ว่า

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี และมีเพื่อนที่ดีนั้น
นับว่าเป็นครึ่ง
หนึ่ง ของพราหมจรรย์ทีเดียวนะ พระเจ้าข้า"

พระพุทธองค์
ได้ตรัสค้านขึ้นว่า

"พระอานนท์ ! เธออย่าได้พูดอย่างนั้น
เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น
ก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี
และมีเพื่อนที่ดีนั้น
นับว่าเป็นพราหมจรรย์หมดทั้งสิ้นทีเดียว

อานนท์
! อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี
และมีเพื่อนที่ดีก็เป็นอันหวังได้แน่นอนว่า
จะได้เจริญอริยมรรคประกอบ
ด้วยองค์ ๘
จะกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘…."

(อุ
ปัฑฒสูตร ๑๙/๒)


......................................................

ได้
ยกเอาพระสูตรสำคัญที่สุด ที่พระพุทธองค์ได้ตรัสคัดค้านพระอานนท์
ที่
กราบทูลว่า การมีเพื่อนดี เป็นเพียงครึ่งหนึ่งของพรหมจรรย์เท่านั้น
แต่
พระพุทธองค์ทรงเห็นว่าเป็นทั้งหมดที่เดียว

ข้อนี้เป็นที่รับรองของ
ท่านผู้รู้ อย่างชนิดไม่ต้องสงสัยเลย
เพราะมีสุภาษิตรับรองอยู่ทั่วไป
เช่น คนคนเช่นใด ย่อมเป็นเช่นคนนั้น
คบคนเลวย่อมเลวตาม
และคบคนดีย่อมดีขึ้นในทันที เป็นต้น

ในมงคล ๓๘ ท่านจึงได้วาง หรือจัดวางไม่คบคนพาล ไว้เป็นข้อแรก
และ
จัดการคบกับบัณฑิตไว้เป็นข้อที่ ๒
ทั้งนี้ก็เพราะการคบเพื่อนเหมือนกับ
การเริ่มต้นของการเดินทาง
การคบเพื่อนที่ไม่ดี ก็เหมือนการเดินทางผิด
ยิ่งเดินก็ยิ่งผิด
ทางที่ถูกก็คือ ต้องตั้งต้นเดินใหม่
นั่นคือการเลือกคบแต่คนดี


ปัญหา
มีต่อไปว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เพื่อนคนไหนดีหรือไม่ดี ?
การคบกัน
ใหม่ ๆ ย่อมจะดูยาก ไม่เหมือนการดูสัตว์บางประเภท
เช่น
เสือมันก็ยังมีลายหรือสีที่ขนพอให้แยกได้ว่า
เป็นเสือหรือสัตว์ประเภท
อะไร ? เป็นต้น

การดูคนดี
หรือชั่ว เรามีจุดที่จะดูอยู่ ๓ จุด
คือ ที่กาย วาจา และที่ใจของเขา
โดย
มีศีลและธรรม เป็นมาตรวัดดังนี้


ทางกาย ๔ คือ
– ไม่ฆ่าสัตว์ –
ไม่ลักทรัพย์ – ไม่ประพฤติผิดในกาม
และ – ไม่ดื่มสุราเมรัย

ทาง
วาจา ๔ คือ
- ไม่พูดปด – ไม่พูดคำหยาบ – ไม่พูดส่อเสียด และ –
ไม่พูดเพ้อเจ้อ

ทางใจ ๓ คือ – ไม่โลภอยากได้ในทางที่ผิด
-
มีจิตเมตตาไม่ปองร้ายหรือพยาบาท
และ –
มีความเห็นชอบและถูกต้องตามทำนองคลองธรรม


มีข้อที่ดูยากก็คือทางใจ แต่ก็พอจะดูได้
เพราะเมื่อใจคิดแล้ว
มักก็ต้องพูดหรือทำ ไม่ช้าก็เร็วออกมาจนได้
การคบกันนาน ๆ
จึงจะรู้ธาตุแท้หรือสันดานของคนได้แท้จริง


ในอกิตติชาดก (๒๗/๓๓๗) ท่านแนะให้ดูคนพาล
หรือ
คนชั่วที่ ๕ จุด นับว่าเข้าทีและเป็นไปได้ คือ
-
คนพาลชอบชักแนะนำในทางที่ผิด
-
คนพาลมักชอบทำในสิ่งที่ไม่ใช่ธุระหน้าที่ของตน
-
คนพาลมักจะเห็นผิดเป็นชอบ
- คนพาลแม้เราหรือใคร ๆ พูดดี ๆ ก็โกรธ
-
คนพาลไม่ยอมรับรู้ระเบียบวินัยหรือกฎหมาย

เป็นอันว่า เราได้ทั้งหลัก
และแนวทางของการดูคน ว่าดีหรือชั่วแล้ว
ทีนี้ก็อยู่ที่ว่า
เราจะเลือกคบกันคนดี หรือคนชั่ว
ถ้าเราเลือกคบคนดี
และนึกรังเกียจคนชั่ว ก็แสดงว่าพื้นจิตของเรามีสัมมาทิฐิ

แต่ถ้าจิต
ของเรา เกิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว คือเห็นผิดเป็นชอบ
รังเกียจคนดี
แส่เที่ยวหาคบแต่คนชั่ว
ก็แสดงว่าพื้นจิตของเราเป็นมิจฉาทิฐิ
นับว่าเป็นอันตรายมาก
ควรรีบแก้ไขเสียโดยด่วน ถ้าขืนปล่อยไปตามนั้น
อนาคต
ที่มองเห็นก็คือ ไม่ตายตอนแก่แน่ ๆ
ขนาดเบาก็มีคุกเป็นบ้านถาวร


คน
เราเป็นสัตว์สังคม จึงจำเป็นต้องคบหาเพื่อนฝูง
ไม่มีเพื่อนมากก็ต้องมี
น้อย เพราะไม่มีใครจะอยู่คนเดียวในโลกได้

การคบเพื่อนที่ดี
ย่อมจะนำแต่ความสุข และความเจริญมาให้
ในทางตรงข้าม
ถ้าคบเพื่อนชั่วหรือพาล
ย่อมจะนำแต่ความทุกข์เดือดร้อน
และความเสื่อมนานาประการมาให้

ดังนั้น ใครมีเพื่อนที่ดีอยู่แล้ว
ก็ควรจะถนอมน้ำใจ
ด้วยการปฏิบัติตาม "สังคหวัตถุ ๔" อย่างสม่ำเสมอ
ก็
ย่อมจะผูกน้ำใจเพื่อนที่ดี ไว้ได้ตลอดกาล

ถ้ามีเพื่อนเป็นคนชั่ว
ก็ควรเร่งถอนตัว ตีจากเสียให้เร็จที่สุด
เพื่อป้องกันทุกข์ภัย
ที่จะมีในปัจจุบัน และในอนาคต

ทางแก้

๑.
พิจารณาให้เห็นโทษ ของการคบกับคนชั่ว
และคุณของการคบกับคนดี
อย่างแจ่มแจ้งชัดเจน
และต้องตัดใจเลิกคบกับคนชั่วให้ได้ด้วยวิธีการต่าง
ๆ เช่น

ก. เลิกคบกันทันทีทันใด
ถ้าคิดว่าทำแล้วจะไม่เกิดมีทุกข์หรือภัยตามมาภายหลัง

ข. ค่อย ๆ
แยกหรือปลีกตัวออกมา โดยที่ไม่ให้เขารู้ตัว

ค. ตัดสายสัมพันธ์
ที่เป็นสื่อเชื่อมโยงออกให้หมด

๒. ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกัน
หรือทำงานร่วมกัน
ก็อาจขอย้ายห้อง ย้ายโรงเรียน หรือเปลี่ยนงานใหม่
ก็แล้วแต่กรณี

๓. ย้ายบ้าน อย่าอยู่ใกล้ชิดกันอีกต่อไป

๔.
เลือกคบหาคนดีไว้ทดแทน
เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคมไม่อาจจะอยู่โดดเดี่ยว
ได้


เป็นธรรมดาอยู่เอง เมื่อเราคบกับคนชั่ว
คนดีก็ย่อมรังเกียจไม่คบหาด้วย
และเมื่อเราเลิกคบกับคนชั่ว
คนดีก็ย่อมคบหาด้วย
อย่ากลัวเลยว่า จะหาคนดีคบไม่ได้
ขอแต่ว่าให้เรา
เป็นคนดีจริง ๆ เถอะ
อย่าเป็นคนประเภท "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ"
ก็แล้วกัน

ทุกวันนี้ โลกเราหนาแน่นไปด้วยคนมีความรู้
มีดีกรีสูง
แต่ขาดแคลนคนดีหรือบัณฑิต (ผู้มีปัญญา) ยิ่งนัก.


ที่มา..."
บันทึกธรรม ฉบับดับทุกข์" เรียบเรียงโดย ธรรมรักษา








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 12 เมษายน 2553    
Last Update : 12 เมษายน 2553 22:39:42 น.
Counter : 266 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.