ถ้ารู้จักโลกชีวิตจะไม่แปรปรวน













































ประวัติ
ศาสตร์ ได้สอนให้รู้ความเกิด ความเจริญ และความเสื่อมของชาติและบุคคลต่าง ๆ
ในอดีตที่สืบมาจนถึงปัจจุบัน คราวนี้กลับมานึกถึงประวัติชีวิต
ทุก ๆ คนมีชีวิตดำเนินมาถึงปัจจุบัน

เหมือน
หนึ่งได้ยืนอยู่ในจุดปัจจุบันของชีวิต เมื่อระลึกย้อนไปในอดีตก็จะเห็นว่า
ชีวิตได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามาก ถ้าเป็นเด็กก็อาจจะยังผ่านมาน้อย
เพราะเป็นระยะตั้งต้นซึ่งกำลังจะเริ่มเจริญ
ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็ย่อมจะต้องผ่านมามาก
เหตุการณ์เหล่านี้เมื่อสรุปลงแล้วก็ได้แก่
โลกธรรม (ธรรมคือ
เรื่องสำหรับโลก) ต่าง ๆ ได้แก่ ลาภ ความเสื่อมลาภ ยศ ความเสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์

โลกธรรมเหล่านี้เป็นอารมณ์ที่น่า
ปรารถนาก็มี ไม่น่าปรารถนาก็มี แต่ทุก ๆ คนก็ต้องประสบมาโดยลำดับ
แม้ในชีวิตปัจจุบัน ทุก ๆ คนก็กำลังประสบอยู่ คือกำลังประสบในส่วนได้ (ลาภ
ยศ สรรเสริญ สุข) บ้าง ในส่วนเสีย (เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์) บ้าง
ในชีวิตอนาคตก็ต้องประสบเช่นเดียวกัน ฉะนั้น ทุก ๆ คน
จึงยิ้มย่องผ่องใสบ้าง เศร้าหมองบ้าง อยู่ตลอดไป
และบางคนเมื่อได้หรือเมื่อขึ้นก็มัวเมาโลดขึ้นไปอย่างลืมตัว
เมื่อเสียหรือเมื่อตก ก็เหมือนตกเหว คือรู้สึกว่าตกเอาจริง ๆ
ถึงตายหรือเกือบตาย

นึกถึงคนไข้ ปรอทฉูดขึ้นฉูดลง แสดงว่าไข้หนัก
น่าอันตราย คนที่มีจิตใจขึ้นลงเพราะโลกธรรมก็เช่นเดียวกัน
เว้นไว้แต่ผู้ที่ได้สดับธรรมของพระพุทธเจ้า
และรักษาจิตใจไว้ได้ไม่ให้หวั่นไหวไปตามโลกธรรมจนเกินสมควร
ถึงจะหวั่นไหวไปบ้างเหมือนอย่างเป็นไข้ธรรมดาก็ยังไม่เป็นไร

พระ
พุทธเจ้าได้ตรัสรู้โลกธรรม คือเรื่องของโลกตามความเป็นจริงว่า
เป็นสิ่งที่พึงเกิดแก่บุคคลทุกทั่วหน้า แม้พระอรหันต์ก็ไม่พ้นไปจากโลกธรรม
ดังเช่นพระพุทธองค์เอง บางคราวก็ถูกพวกมิจฉาทิฏฐิ ด่าว่ากล่าวหาต่าง ๆ
แต่พระพุทธองค์ได้ทรงเห็น ตระหนักในความเป็นจริงของโลกธรรมว่า ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่
เที่ยง ไม่ยั่งยืน มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
จึงไม่ทรงข้อง
ติดอยู่ในโลกธรรมทุกอย่าง
และโลกธรรมทุกอย่างก็ไม่สามารถครอบงำพระทัยพระองค์ได้
พระอรหันต์ทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ทั้งทรงสั่งสอนให้ทุก ๆ คนทราบตระหนักว่า
เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ทั้งที่น่าปรารถนา
และไม่น่าปรารถนาเป็นโลกธรรม ซึ่งอาจครอบงำใจของคนเขลา เพราะทำให้ฉูดขึ้น
ฉูดลง ผลก็คือต้องเสียหายเพราะโลกธรรมทั้งขึ้นทั้งลง
แต่ไม่อาจครอบงำใจของผู้มีสติรู้เห็นตามเป็นจริงได้

ความเปลี่ยนแปลง
ของเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ส่วนตนและส่วนรวม
ตลอดถึงที่เรียกว่าเหตุการณ์ของโลก ได้เกิดขึ้นบางทีก็รวดเร็วอย่างไม่นึก
ถึงกับทำให้คนทั้งปวงพากันตะลึงงันก็มี เหตุการณ์ในวันนี้เป็นอย่างนี้
แต่วันพรุ่งนี้เล่า ยากที่จะคาดว่าจะเป็นอย่างไร วันนี้ยังอยู่ดี ๆ
พรุ่งนี้มีข่าวออกมาว่าสิ้นชีพเสียแล้วก็มี เมื่อวานนี้ระเบิดกันตูมตามอยู่
วันนี้ประกาศออกไปว่าหยุดระเบิดส่วนใหญ่ก็มี
วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรอีกก็ยากที่จะทราบ ความเปลี่ยนแปลงของโลกดังนี้
ผู้ที่ศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้าย่อมไม่เห็นเป็นของแปลก
ถ้าโลกจักหยุดเปลี่ยนแปลงนั่นแหละจึงจะแปลก ซึ่งไม่เป็นฐานะที่จะมีได้
เพราะ
ขึ้นชื่อว่าโลกแล้วต้องเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ


ที่เรียก
ว่า ความเปลี่ยนแปลง นั้น คือเหตุการณ์อย่างหนึ่งดับไป
เหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งก็เกิดขึ้นแทน ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงก็คือ ความดับ -
เกิด หรือ ความเกิด - ดับ ของสิ่งทั้งหลาย นี้เป็นวิบากคือเป็นผล
ถ้าเป็นผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็มีคำเรียกว่า ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ
ซึ่งจะยกไว้ไม่พูดถึงในที่นี้ จะพูดถึงแต่ที่เกี่ยวกับบุคคล
คือที่บุคคลก่อขึ้นเอง

อันเหตุการณ์ที่คนก่อให้เกิดขึ้นนั้น
นับว่าเป็น กรรมของคน หมายความว่า การที่คนทำขึ้น
ไม่ใช่หมายความว่ากรรมเก่าอะไรที่ไม่รู้ กรรมคือการกระทำที่รู้ ๆ
อยู่นี่แหละ เมื่อก่อขึ้นด้วยกิเลส ก็เป็นเหตุทำลายล้าง
แต่เมื่อก่อขึ้นด้วยธรรม ก็เป็นเหตุเกื้อกูลให้เกิดความสุข
เหตุการณ์ส่วนใหญ่ของโลกนั้น มีขึ้นด้วยกิเลสหรือกรรมของคนไม่มากคนนัก
แต่มีผลถึงคนทั้งปวงมากมาย ถ้าจะถามว่า กิเลสซึ่งนับว่าอธรรมกับธรรม นั้น
ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างกัน ตรงกันข้ามกัน ใคร ๆ ก็น่าจะมองเห็น
แต่ไฉนจึงยังใช้กิเลสกันอยู่ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาอื่น ๆ
จะช่วยให้คนใช้ธรรมกันให้มากกว่านี้มิได้หรือ ถ้ามีคำถามมาดังนี้
ก็น่าจะมีคำถามย้อนไปบ้างว่า
เมื่อเป็นสิ่งที่น่ามองเห็นกันง่ายดังนั้นทำไมใคร ๆ
จึงไม่สนใจที่จะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้ากันให้มากขึ้นเล่า

พระพุทธศาสนาพร้อมที่จะ
ช่วยทุก ๆ คนอยู่ทุกขณะ แต่เมื่อใครปิดประตูใจไม่เปิดรับธรรม
พระพุทธศาสนาก็เข้าไปช่วยไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้
โลกจึงต้องปราบกันลงไปด้วยกำลังต่าง ๆ แม้ฝ่ายถูกก็ต้องใช้กำลังแก่ฝ่ายผิด
นับว่าเป็นเรื่องของโลก ซึ่งมีวุ่นวายมีสงบสลับกันไป และมนุษย์เรานั้น
แม้มีกำลังกายด้อยกว่าช้าง ม้า เป็นต้น แต่มีกำลังปัญญาสูงกว่า
กำลังปัญญานี้เองที่สร้างแสนยานุภาพได้ยิ่งใหญ่
ทั้งสร้างระบอบธรรมอย่างดีวิเศษขึ้นด้วย ฉะนั้น
ในขณะที่มีจิตใจได้สำนึกได้สติขึ้น แม้จะหลังที่ตีกันมาพักใหญ่แล้ว
ก็จะเป็นโอกาสที่มีปัญญา มองเห็นธรรม
และกลับมาใช้ธรรมสร้างความเจริญและความสุขกันต่อไป..........



(บางส่วนของบทความ
โลกและชีวิตในพุทธธรรม จากหนังสือ สิริมงคลของชีวิต ...สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)











ธรรมจักร






Free TextEditor







































































































Create Date : 12 เมษายน 2553
Last Update : 12 เมษายน 2553 22:59:57 น. 0 comments
Counter : 282 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.