คติธรรมประจำใจ










































คติธรรมประจำใจ

ผู้สร้าง
ความดีไว้ในแหล่งหล้า บุญย่อมพาใจเพลินเจริญศรี
ย่อมเพลิดเพลินคราตายวาย
ชีวี ทั้งโลกนี้โลกหน้าบุญพาเพลิน
ย่อมเพลิดเพลินว่าฉันสรรค์กุศล
จึงได้ดลแดนสวรรค์น่าสรรเสริญ
ผลของบุญกูลเกื้อดีเหลือเกิน
ให้จำเริญเพลินจิตนิรันดร์ ฯ

จากพระพรหมจริยาจารย์
-----
คติธรรมประจำใจ

อย่า
ดูหมิ่นบุญกรรมจำนวนน้อย จะไม่ต้อยตามต้องสนองผล
แม้ตุ่มน้ำเปิดหงายรับ
สายชล ย่อมเต็มล้นด้วยอุทกที่ตกลง
อันนักปราชญ์สิ่งสมบ่มบุญบ่อย
ทีละน้อยทำไปไม่ใหลหลง
ย่อมเต็มล้นด้วยบุญนั้นเป็นมั่นคง
บุญย่อมส่งสู่สถานวิมานทอง

ที่มา หนังสือสวดมนต์
ทำวัตรเช้า-เย็นของพระภิกษุสามเณร
 และอุบาสกอุบาสิกา
วัดเจ้าพระยา
ยมราช(วัดพะยอม)

จาก  ธรรมะดิลิเวอร์ลี่






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 19:23:28 น.
Counter : 386 Pageviews.  

"เป็นอะไรกันล่ะ จึงมานั่งร้องไห้"













































วันหนึ่ง ขณะที่ธุดงค์ไปพักที่วัดถ้ำแสงเพชร
ซึ่งอยู่ไกลจากอำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ พอสมควร

 ปรากฏ
ว่า มีโยมอุปัฏฐากที่เป็นผู้มีหน้า มีตา ของอำเภอ
และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ นักปฏิบัติ มานั่งร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ

หลวงพ่อก็ยังคงนั่งเฉยอยู่ จนเมื่อโยมได้สร่างโศกลงบ้าง ท่านก็ถามว่า "เป็นอะไรล่ะ จึงนั่งร้องไห้" โยมผู้นั้นเล่าว่า รถที่เพิ่งซื้อมาใหม่ถูกขโมยไปแล้ว แต่
หลวงพ่อก็นั่งเงียบ เผอิญก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมกับญาติ
พอกราบหลวงพ่อเสร็จก็ร้องไห้ เป็นวรรคเป็นเวรเช่นกัน
หลวงพ่อนั่งคอยจนเขาพอพูดได้ ก็ถามด้วยคำถามเดิมว่า "เป็น
อะไรไปล่ะ"

เขาก็ตอบว่า

"เมียตายสองคน ลูกตายสองคน"
(เผอิญชายคนนี้มีภรรยาสองคนอยู่ในบ้าน เดียวกัน) หลวงพ่อก็ถามต่อว่า "เป็นอะไรตายล่ะ" โยมผู้ชายก็ตอบว่า "กินเห็ดเบื่อตาย" หลวงพ่อหันไปถามโยมผู้หญิงที่ยัง
น้ำตาซึม แต่ก็นั่งเงียบฟังโยมผู้ชายเล่าอยู่ด้วยและพูดว่า "แลกกันไหมล่ะ ดูซิ ของเขาลูกเมียตายตั้งสี่คน
ของโยมรถหายคันเดียว โลกนี้เป็นอย่างนี้ แหละ
มีความปรารถนาอะไรแล้วไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่อยากให้รถหาย มันก็หาย
ไม่ อยากให้ลูกเมียตาย ก็ตาย ใครจะห้ามได้ ชีวิตทุกชีวิตเป็นอย่างนี้แหละ
ใครอยากล่ะ โยม อยากให้รถหายไหม โยมอยากให้ลูกเมียตายไหม"
ทั้งคู่ก็
ตอบรับหลวงพ่อว่า "ไม่อยากค่ะ (ครับ)"

หลวงพ่อกล่าวต่อไปว่า

 "เป็นอย่าง
นี้แหละ ความโศก ความร่ำไรรำพัน ให้เราพิจารณาดู ทุกสิ่งทุกอย่าง
ถ้าเราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา คนก็เหมือนกัน เราไม่จากเขา เขาก็จากเรา
มันอยู่ที่ ใครไปก่อนใครเท่านั้นเอง บางทีวัตถุก็ไปก่อนเรา
บางทีเราก็ไปก่อนวัตถุ บางทีคนใกล้ชิดเราเขา ก็ไปก่อน บางทีเราไปก่อนเขา
มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของกรรม ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เราย่อมมีกรรมเป็นทายาท
มีกรรมเป็นผู้ติดตาม ให้ผล ไม่ว่าบุญหรือบาป ดีหรือชั่วก็ตาม
เราจะต้องรับกรรมนั้นโดยแน่นอน

สำหรับโยมผู้ชายนั้นโยมผู้หญิงกับลูกเขาทำกรรมกับเรามาแค่
นี้

เขาตายไปเขาก็ไม่ขอ อนุญาตเรา ไม่บอกเรา
ไม่ได้เขียนใบลา เขาก็ตายไป โยมผู้หญิงก็เช่นกัน รถคันนี้มันทำกรรมกับ
โยมมาแค่นี้ รถมันก็ไม่บอกเราก่อนว่ามันจะถูกขโมยแล้วนะ อยู่ ๆ มันก็หายไป
ดังนั้นให้เราเห็นว่า เป็นธรรมดาของทุกสิ่งทุกอย่าง
เราไม่หนีมัน มันก็หนีเรา เราเกิดมาเป็นอะไร เกิดที่ไหน เกิดมากี่ ครั้ง ๆ
โลกก็เป็นเช่นนี้
เราเองต่างหากที่ไปอุปาทานว่า นี่รถของเรา
นี่ลูกนี่เมียของเรา รถมันไม่เคย บอกนะว่ามันเป็นของเรา
เราไปซื้อมันมาตกแต่ง มารักมันเอง ที่จริงรถมันไม่ได้เป็นของใคร มันเป็น
ของธรรมชาติที่ไหลไปตามเหตุปัจจัย มนุษย์ไปสมมุติขึ้นมา
แล้วยึดว่าเราเป็นเจ้าของ เมื่อมันหาย ไปให้เราคิดว่า
นั่นเป็นการคืนกลับสู่ธรรมชาติ โยมผู้ชายก็เหมือนกัน ลูกเมียก็เสียไปแล้ว
พิจารณา มองให้เห็นว่าเป็นทุกข์ ไม่ใช่พอสร่างโศกก็ไปหามาใหม่
เป็นการเพิ่มทุกข์ขึ้นมาอีก เราควรทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล ทำภาวนา
แผ่ให้ผู้ตายบ้าง เราเองก็ต้องตาย ไม่แน่ว่าเมื่อไร ขอให้เข้าใจสัจธรรม
ของธรรมชาติ"

หลวงพ่อกล่าวเป็น
สังเขปพอให้โยมสร่างทุกข์

 หน้าที่ของพระก็คือ
แก้ไขทุกข์ โดยคิดว่า ทุกคนเป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ
ตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น เมื่อกล่าวไปแล้วก็ไม่ได้คิดปรุงว่า จะแก้
ได้หรือไม่ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมีคำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว
ผู้มีปัญญาก็จะค้นหาคำตอบ ของปัญหาของเขาเองได้ในที่สุด

ที่มา : คุณ sawaddee
จาก ลานธรรมเสวนา







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 19:06:49 น.
Counter : 325 Pageviews.  

ผู้ประเสริฐสุด












































" ทรัพย์ทั้งหลาย
ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์ประเสริฐสุด

ห้วงน้ำทั้งหลาย
ฝนเป็นห้วงน้ำประเสริฐสุด

ทานทั้งหลาย ธรรมทานเป็นทานประเสริฐสุด

รส
ทั้งหลาย รสพระธรรมเป็นรสประเสริฐสุด

ความยินดีทั้งหลาย
ความยินดีในธรรมเป็นความยินดีประเสริฐสุด

นาบุญทั้งหลาย
ภิกษุสงฆ์เป็นนาบุญประเสริฐสุด

ในบรรดาสัตว์ทั้งหลาย
ผู้มีศีลประเสริฐสุด

ในบรรดาสัตว์สองเท้าทั้งหลาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุด

เราเรียกผู้ตั้งอยู่ในศีลว่า
"บัณฑิต" ผู้ประเสริฐสุด

เจริญในธรรมเจ้าค่ะ.
.


ที่มา : เว็ปธรรมะไทย








Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 19:04:03 น.
Counter : 272 Pageviews.  

แทบทุกสิ่งที่เราทำได้













































เรา
ล้วนทำได้แต่สิ่งที่เป็น “เหตุ”
ดังนั้น เมื่อเริ่มคิดหวังถึง “ผล”
อันใด
แทบทุกสิ่งที่เราทำได้
ก็คือทำ “เหตุ” เพื่อไปสู่ “ผล” นั้น
ใช่...
ทั้งหมดเริ่มที่การกระทำ
แต่ทุกการกระทำเริ่มที่ “ใจ”

ใจ...เป็น
ใหญ่
ใจ...เป็นประธาน
ใจ...คือจุดเริ่มต้น
ใจ...คือจุดสุดท้าย
ใจ...คือ
ความสุข
ใจ...คือความทุกข์
ใจ...คือทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อมีใจ
...ก็มีทุกสิ่ง
เมื่อไม่มีใจ...มันก็ไม่มีอะไร

รอวันใด
ที่ตัวเรา
...เข้า...ถึง...ใจ...ตนเองเมื่อไหร่
เราย่อมพบความจริงอัน
ยิ่งใหญ่
อันเป็น “เหตุ” และ “ผล”
ของสรรพสิ่งในชีวิต
ว่าจริงๆ
แล้ว นั้น
ทุกอย่างทุกอย่าง
มันล้วน...มี...และ...ไม่มี...อยู่จริง


จาก ธรรมะดิลิเวอร์ลี่






Free TextEditor







































































































 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:47:22 น.
Counter : 255 Pageviews.  

ใช้ชีวิตอย่าง "เพียงพอ" เพื่อความสุขที่ "พอเพียง"










































แก่นแท้ของชีวิตที่พอเพียงหาใช่การ
ถอยหลังเข้าคลอง


หาใช่นิยามความเชย
ที่คนรักวัตถุนิยมแอบคิดอยู่ในใจ หากแต่คือการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผล
และพอประมาณเพียงความสุขขั้นพื้นฐาน  บางครั้งคนที่ได้ครอบครองกระเป๋าใบละ 5
หมื่น  ก็ไม่ได้บ่งบอกอะไรนอกจากรสนิยมของเจ้าของ
(ที่ดีหรือเปล่า?คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ผู้คนเดินขวักไขว่สวนกันไปมาอย่างรีบเร่งจนลืมมองท้องฟ้า
ลืมมองคนที่เดินผ่าน มองเข้าไปลึก ๆ แล้ว
คนเราก็เพียงแค่วิ่งตามความสุขที่อยู่บั้นปลายชีวิตเท่านั้น
ด้วยความเชื่อที่ถูกฝังแน่นอยู่ในหัวว่า
ชีวิตที่ต้องทำงานและดิ้นรนแก่งแย่งเท่านั้นจึงจะอยู่รอดปลอดภัยในภายภาค
หน้า

บางคราวัตถุที่เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่ง
ความสุขที่มนุษย์อุปโลกน์ขึ้นมา ก็เป็นเพียงแค่ความฉาบฉวยครั้งคราว

ลมพัดก็ปลิวไปตามลม นอกจากจะไม่ยั่งยืนอยู่ทนยังมาเอาจิตวิญญาณเราไปด้วย
ความสุขที่ยั่งยืนไม่ได้อยู่ไกลจนถึงขนาดต้องวิ่งตาม ทุกอย่างอยู่ที่ใจ
เพียงแค่เก็บเกี่ยวและเดินช้า ๆ  เพื่อลองฟังเสียงหัวใจเต้นดูบ้าง
ชีวิตที่  ฟูฟ่าที่ว่าดีนักหนานั้น
ไม่ใช่วิถีดีที่เหมาะสมอย่างยั่งยืนแต่อย่างใด สุขแบบตูมตามครั้งเดียว
แล้วหาไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต หรือจะสู้สุขทีละนิด แต่สุขนาน ๆ ได้ 
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เคยหรูหรา มาสู่วิถีสามัญที่ยั่งยืนดีกว่า....

โดยสารอย่างหรูหรา
หรือแค่ถึงที่หมาย

หลายคนมีรถยนต์ไว้ใช้งานจริง  ๆ
แต่ก็มีอีกหลายคนมีรถยนต์เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ประดับบารมี 
ประโยชน์ของมันที่แท้แค่เพียงส่งเราถึงที่หมายในแต่ละวัน
แต่สิ่งที่ต้องแลกคือน้ำมันอันแพงประหนึ่งทองกับมลพิษที่ต้องพ่นระบายออกไป
ในอากาศ หากมองถึงเพียงประโยชน์และหน้าที่ของรถยนต์ 
นั่งรถโดยสารประจำทางก็เหมือนกัน ถึงที่หมายได้เหมือนรถยนต์ 
แม้จะต้องแลกด้วยเหงื่อเพียงเล็กน้อย  และอาจต้องตื่นเช้ามากกว่าเดิม
ได้เดินมากขึ้น  แต่สิ่งที่ได้คือ แข็งแรงขึ้น เห็นโลกมากขึ้น
เพราะบนรถเมล์มีผู้คนทุกระดับประทับใจ ประหยัดขึ้น
ทำให้การจราจรในเมืองหลวงแออัดน้อยลง มลพิษน้อยลง  ขึ้นรถเมล์
รถไฟฟ้าไม่ได้ลำบากยากเข็ญเกินกว่าแรงเราจะรับไหว
เป็นเพียงหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่ต้องพบเจอทุกวันเป็นเรื่องธรรมดา


กินแค่อยู่
หรือมีชีวิตอยู่เพื่อเอาแต่กิน

บางคนมีความสุขกับ
การได้กินของแพง  กินของนอก ทั้งที่รสชาติและคุณค่าไม่ได้แตกต่างกัน
ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกินเพียงอิ่ม
แต่ครบถ้วนไปด้วยคุณค่าสารอาหารที่จำเป็นในชีวิต บริโภคอย่างพอเพียง
เพื่อให้ชีวิตอยู่ได้อย่างเพียงพอ ของแพงไม่ได้แปลว่าอร่อย
ภัตตาคารหรูไม่ได้แปลว่าสะอาดกว่าฝีมือของแม่
ลองปลูกพืชผักสวนครัวกินเองดูบ้าง คุณอาจพบว่า เวลากินผลผลิตจากมือตัวเอง
ความภาคภูมิใจนั้น เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดที่หากินที่ไหนไม่ได้ในโลก

ช้อปปิ้งคือชีวิต คิดผิดมหันต์

แต่
ละเดือน ๆ ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเติมมาในบัตรเครดิต คือการรูดซื้อเสื้อผ้า
ของประดับที่ไม่จำเป็นเลย    ในชีวิต ลองพินิจดู 
รางวัลชีวิตที่แท้จริงที่คุณควรปรนเปรอตัวเอง
ไม่ได้มีอยู่แค่ในห้างสรรพสินค้า ตัดค่าใช้จ่ายในชีวิตที่ไม่จำเป็น
ที่รังแต่จะทำให้ชีวิตคุณรกรุงรัง ซื้อของเท่าที่    จำเป็น
ไม่ใช่เพียงในยุคน้ำมันแพง แต่ทุกยุคทุกสมัย
เรื่องประหยัดเป็นเรื่องฉลาดที่คนเราควรหัดไว้ให้เป็นนิสัย ใช้เงินประหยัด
ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใช้ แต่หมายถึงใช้เงินให้คุ้มค่า
และมีประโยชน์สูงสุด

กลับ
สู่ธรรมชาติ

ชีวิตฟู่ฟ่าในสังคมเมือง
เป็นความโหวกเหวกท่ามกลางความโดดเดี่ยว ต่างคนต่างทำหน้าที่
ขวนขวายแก่งแย่งได้มาแทบบ้าตาย หลายครั้งหลายคนอาจฉุกคิดได้ว่า
ตัวตนของคุณไม่ใช่แบบนี้ มองซ้ายเป็นตึก มองขวาเป็นถนนที่เต็มไปด้วยควัน
กลับคืนสู่ถิ่นฐานบ้านเกิด หรือลองศึกษาธรรมชาติดูบ้าง แรงบันดาลใจดี ๆ
ในการใช้ชีวิตอาจมีมากขึ้น มีคนเคยกล่าวไว้ 
มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ กลับคืนเมื่อไหร่ก็ไม่มีวันขวยเขิน

ใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์

มี
ความคิดสร้างสรรค์เป็นอาวุธทางปัญญา เทรนด์การตลาดที่ร้อนแรง
ก็ไม่อาจพรากเอาตัวตนของคุณกลมกลืนไปเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดได้
มีวิจารณญาณในการบริโภค พูดง่าย ๆ คือ เลือกในสิ่งที่ชีวิตคุณต้องการ
ไม่ใช่มีคนบอกว่า ชีวิตคุณต้องมีแบบนั้น ต้องการแบบนี้

‘พอใจ’ แล้ว ใจจะพอเพียง

 ภาคภูมิ
ใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ คนไทยมีอะไรหลายอย่างที่ต่างชาติไม่มี
แม้ในทางกลับกัน เราก็อาจจะไม่มีในสิ่งที่เขาครบครัน
ความไม่มีไม่ได้หมายความว่าขาด  บางคราก็อาจจะไม่เหมาะกับวิถีของเรา
ระเบิดจากภายใน มองเรื่องเล็ก ๆ ใกล้ตัว แล้วขยายวงสู่เรื่องใหญ่ ๆ
ระดับชาติ ชีวิตก็ดำรงอยู่ได้อย่างที่ควรจะเป็น ไม่แก่งแย่ง ไม่แข่งขัน
เพียงช่วยเหลือเกื้อกูลกัน บ้านเราทำน้ำพริกอร่อย ก็แบ่งปันให้ข้างบ้าน
ขณะที่ป้าข้างบ้าน แกงรสชาติดี ก็แบ่งให้บ้านเราช่วยชิมบ้าง
หรือบางทีที่ไม่มีรถยนต์ขับ อาจเป็นเพราะคุณไม่เหมาะกับการขับรถด้วยตัวเอง
สินค้าแบรนด์เนมก็อาจไม่เหมาะกับบุคลิกของคุณก็เป็นได้

แก่นแท้ของ
ความสุข ไม่มีขายที่ห้างสรรพสินค้า สั่งซื้อทางอินเทอร์เน็ตก็ไม่ขาย
หัวใจที่เหนื่อยล้า เพราะมัวแต่วิ่งตามหาวัตถุ ก็ไม่มีบริการสปาไว้บำบัด 
หากแต่ต้องปลูกรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย
แล้วความสุขที่แท้และยั่งยืนจะงอกงามตามวิถีธรรมชาติในหัวใจของคุณเอง.

ที่
มา ผู้หญิงนะคะดอทคอม








Free TextEditor

























 

Create Date : 19 เมษายน 2553    
Last Update : 19 เมษายน 2553 18:27:43 น.
Counter : 235 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.