พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 45 ข้อความบางตอนจาก รัฐปาลสูตร
บุคคลย่อมไม่ได้อายุยืนด้วยทรัพย์ และย่อมไม่กำจัดชรา ได้ด้วยทรัพย์
นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวชีวิตนี้ ว่าน้อยนัก ว่าไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ทั้งคนมั่งมี ทั้งคนยากจน ย่อมกระทบผัสสะ ทั้งคนพาล ทั้งนักปราชญ์ ก็กระทบผัสสะเหมือนกัน แต่คนพาล ย่อมนอนหวาดอยู่ เพราะความที่ตนเป็นพาล
ส่วน นักปราชญ์ อันผัสสะถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว เพราะเหตุนั้นแล ปัญญาจึงประเสริฐกว่าทรัพย์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค๓ตอน๓-หน้าที่ 286 บุคคลผู้มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้
ส่วนบุคคลถึงจะมีทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ได้ปัญญา ชื่อ ว่า ผู้มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้
คือถึงทรัพย์จะหมด สิ้นไป แต่ก็ยังมีปัญญา
สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ เลี้ยง ชีวิตด้วยการงานที่ปราศจากโทษอย่างเดียวนี้ ชื่อว่า ชีวิตของบุคคลผู้มีปัญญา.
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นักปราชญ์ทั้งหลาย กล่าวความเป็นอยู่ด้วยปัญญาว่า เป็นชีวิตที่ประเสริฐสุด.
ส่วน บุคคลผู้มีปัญญาทราม ถึงจะมีทรัพย์ ก็ทำทรัพย์ที่เป็นทิฏฐธรรมและสัมปรา ยิกธรรมให้ล้มเหลวไป เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ได้ปัญญา
คือจะ ชื่อว่าเป็นอยู่ด้วยความเป็นไปแห่งถ้อยคำมีคำครหาเป็นต้น หามิได้ แต่ กลับทำทรัพย์ที่ได้แล้วให้พินาศไป แม้ชีวิตก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ เพราะ ค่าที่ตนไร้อุบาย
|