สิ่งพึ่งหวัง 17 อย่าง จากพระไตรปิฏก






















พระไตรปิฎก
เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์


๖. อากังเขยยสูตร
ว่า
ด้วยข้อที่พึงหวังได้ ๑๗ อย่าง


[๗๓]
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี.


ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระ
เจ้าข้า.


พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์
มีปาติโมกข์อัน
สมบูรณ์อยู่เถิด จงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจรอยู่เถิด
จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณ
น้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.


-------------------------------------

[๗๔]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอ
เราพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ
และเป็นผู้ควรยกย่องของ
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเถิด


ดังนี้ ภิกษุนั้น
พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๗๕]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอเราพึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำ
ฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๗๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของเทวดาหรือมนุษย์เหล่าใด
สักการะเหล่านั้นของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นพึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด
ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๗๗]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ญาติ
และสาโลหิตของเราเหล่าใด ล่วงลับทำกาละไปแล้ว มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงอยู่
ความ
ระลึกถึงด้วยจิตอันเลื่อมใส ของญาติและสาโลหิตเหล่านั้น
พึงมีผลใหญ่
มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์
ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๗๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีและความยินดีได้
อนึ่ง
ความไม่ยินดีอย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำย่ำยี
ความไม่ยินดีอันเกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับ
จิต
ของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๗๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นผู้ข่มความกลัวและความขลาดได้
อนึ่ง ความกลัวและความขลาด
อย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำ ย่ำยี
ความกลัวและความขลาดที่เกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูน
สุญญาคาร.

-------------------------------------



[๘๐]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวัง
ว่า
เราพึงเป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อันเกิดขึ้นเพราะจิตยิ่ง
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนาพึงได้ไม่ยาก
ไม่ลำบากเถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๘๑]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงถูกต้องด้วยกายซึ่งวิโมกข์อันก้าวล่วงรูปาวจรฌานแล้ว
เป็นธรรมไม่มี
รูปสงบระงับอยู่เถิด ดังนี้ ภิกษุนั้น

พึงเป็นผู้กระทำ
ให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหิน
ห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๘๒]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นโสดาบันเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
พึงเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงมีอันตรัสรู้เป็นเบื้องหน้าเถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌาน ให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.


-------------------------------------

[๘๓]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นพระสกทาคามี เพราะความ สิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓ [และ]
เพราะราคะ
โทสะ โมหะ เป็นสภาพเบาบาง พึงมาสู่โลกนี้ เพียงครั้งเดียว
แล้วพึงทำที่
สุดทุกข์ได้เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ทำให้
บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๘๔]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นอุปปาติกสัตว์
เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
พึงปรินิพพานในพรหมโลกนั้น
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้
กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้
เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร

-------------------------------------

[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึง
บรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวพึงเป็นหลายคนก็ได้
หลายคนพึงเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง
ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด
เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ พึงผุดขึ้น ดำลง
แม้ในแผ่นดิน เหมือนในน้ำก็ได้
พึงเดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดิน
ก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์
ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก
ก็ได้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคา
ร ๑


-------------------------------------

[๘๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงได้ยินเสียงทั้ง ๒
ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์
ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้
ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------
[๘๗]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ
คือ จิตมีราคะ
ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ
ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
จิตมี
โมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
จิต
หดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็น
มหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
จิต
มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตเป็น
สมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
จิต
หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้นเถิด
ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่างประกอบด้วย
วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร

-------------------------------------

[๘๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงระลึกชาติก่อนได้
เป็นอันมาก คือ พึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง
สี่
สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง
ตลอด
สังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง

ตลอดสังวัฏ
วิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น
เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหาร
อย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้น
จุติจากภพ นั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อม
ทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.


-------------------------------------


[๘๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่
กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาถึงเข้าอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต
ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดังนี้

เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน

ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนาพอกพูนสุญญาคาร.


-------------------------------------


[๙๐]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้ง
หลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตนไม่ทำ
ฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

คำใดที่เรากล่าวแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันถึงพร้อม
มีปาติโมกข์อันถึงพร้อมแล้วอยู่เถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้สำรวมด้วยความ
สำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่เถิด

เธอทั้ง
หลายจงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้ง
หลายเถิด ดังนี้

คำนั้น อันเราอาศัยอำนาจประโยชน์นี้
จึงได้กล่าวแล้ว ฉะนี้แล.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุ
เหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.




ลาน
ธรรมจักร









Free TextEditor







































































































Create Date : 26 เมษายน 2553
Last Update : 26 เมษายน 2553 11:24:32 น. 0 comments
Counter : 299 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.