ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน

ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน


ดังนั้นขอให้พุทธบริษัททั้งหลายรู้ความจริงสักทีว่า
ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน
เงินเหลือด้วย
ส่วนความสุขที่หลอกลวงมันต้องใช้เงิน เงินไม่พอ ความสุขที่แท้จริง มันหยุด
มันเย็นมันไม่โลดเต้น ความสุขทางกามารมณ์ มันโดดโลดเต้น มันเหนื่อย มันร้อน
กระวนกระวาย ถ้าเป็นพุทธบริษัท มันควรจะได้รับความสุขที่แท้จริง
แต่ถ้าความสุขไม่แท้จริง มันก็ตื่นไม่ได้ รู้ไม่ได้ มันหลับตลอดเวลา มันโง่
เป็นอวิชชาตลอดเวลา ควรเริ่มศึกษา รู้ และเข้าใจ ธรรมะชนิดนี้
ซึ่งเป็นธรรมะอันแท้จริงที่จะเป็นที่พึ่งไปจนตายตามพระบาลีที่ว่า
เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่งคือมีธรรมะเป็นที่พึ่งดังนี้ ถ้าเรามีทุกข์
เราต้องช่วยเหลือตนเอง แก้ไขตนเอง เอาธรรมะเข้ามาปฏิบัติ
แล้วความทุกข์ก็จะหายไป


ให้ทุกคนตั้งใจ ปฏิบัติธรรมะตามหน้าที่ของแต่ละคน เป็นเด็ก
ก็ทำตามธรรมะของเด็ก เป็นลูก เป็นพ่อแม่ เป็นภรรยา เป็นสามี
ก็มีธรรมะเป็นของตนเอง อาตมากล้าพูดว่าไม่ต้องมาวัดก็ได้
การปฎิบัติธรรมะไม่ต้องมาวัดก็ได้
มีหน้าที่การงานอยู่ที่ไหนการมีธรรมะก็อยู่ที่นั่น
ข้าราชการก็มีธรรมะอยู่ที่โต๊ะทำงานนั่น
คนถีบสามล้อก็มีหน้าที่ตรงกลางถนนนั่น มีธรรมะคือหน้าที่ มีหน้าที่คือธรรมะ
ถ้าจริง จิตใจมันรู้จริง มันก็จะพอใจทันทีว่ามีธรรมะ
มีพอใจมันก็เป็นสุขทันทีด้วยเหมือนกัน ทุกคนจะเห็นได้ว่า
ความสุขนั้นเกิดมาจาดความพอใจเสมอไป
และมันก็ต้องรู้ว่าความพอใจในบางทีมันก็โง่ พอใจอย่างโง่ หลอกลวง
ก็เหมือนกับมีความสุขอย่างโง่ อย่างหลอกลวง เมื่อคนพอใจในความเลว ความชั่ว
นั่นมันก็เกิดความสุขอย่างลวง อย่างโง่ เหมือนพวกโจรมันพอใจในหน้าที่ของโจร
ก็เป็นความสุขลวง จะมีความสุขแท้จริงได้อย่างไร อยู่อย่างหวาดระแวง
จะไปทำพอใจอย่างชั่ว ก็เกิดความสุขลวง แล้วสุดท้ายก็ฆ่าตัวเองนั่น



1859


เราจงมีความพอใจที่สะอาดที่ถูกต้อง
ใครมีหน้าที่อย่างไรก็ทำหน้าที่อย่างนั้น ชาวนาทำนา ชาวสวนทำสวน
พ่อค้าก็ค้าขาย แต่ขอให้พอใจในหน้าที่ของตน คราวนี้ไม่ต้องเสียใจว่า
กรรมมันตกแต่งเรามาให้เป็นลูกจ้าง จะจนก็ทำไป เราก็มีพอใจเหมือนกัน
สุขเหมือนกัน กับมหาเศรษฐี พอใจเหมือนกัน ถ้าเราฉลาด ก็คือไม่โง่
มันไม่โง่อย่างเดียวเราก็แก้ปัญหาได้ จะมีความสุขได้แม้เราจะเป็นคนยากจน
เมื่อเรายากจน ถ้าเราพอใจกับงาน สนุกกับงาน มันก็ทำได้มาก
สุดท้ายก็พ้นจากความยากจนโดยไม่ต้องสงสัย อย่างคนที่เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี
ที่ตั้งต้นได้ด้วยไม้พายอันเดียว มีอยู่ทั่วไป
โดยเฉพาะคนจีนที่มาจากเมืองจีนยิ่งเก่งนัก ด้วยไม้พายอันเดียว
แต่ตอนนี้เป็นมหาเศรษฐี อยู่ที่นี่ก็มี อย่าออกชื่อเลย อยู่ที่ไหนก็มี
เพราะว่าเขาพอใจในการงาน สนุกสนาน มันก็ทำได้มาก มันก็เหลือกินเหลือใช้
เพราะว่าเป็นสุขกับงาน ไม่เอาเงินไปซื้อหาอบายมุข กามารมณ์


เดี๋ยวนี้ส่วนมาก เอาเงินไปใช้ส่วนเกิน เกินกิน เกินอยู่ แต่งเนื้อ
แต่งตัวเกิน รวมถึงทัศนาจรเกิน เที่ยวเกิน ก็รวมอยู่ในนี้ด้วย
ใช้เงินไม่คุ้มค่า ยมบาลตีตายเลย ระวังให้ดี ใช้เงินให้คุ้มค่าของเงิน
อย่าไปหวังเรื่องสนุกสนานเกินแล้วใช้เงินให้คุ้มค่าของเงิน นั่นคือ
บาปอย่างยิ่ง แต่ละคนควรรับผิดชอบตัวตนของตนเอง
อย่าใช้เงินชนิดที่ไม่คุ้มค่า อย่างทัศนาจร คุณได้อะไรคุ้มค่าเงินที่ใช้ไป
มันต้องดูว่าได้อะไรบ้าง หนึ่งคือ ความเพลิดเพลิน หรือ เที่ยวหาซื้อของเกิน
ตัวอย่าง ที่หาดใหญ่ของถูกแล้วก็เดินทางไปซื้อ ลองสังเกตของที่ซื้อมา
ล้วนเป็นของเกินทั้งสิ้น อย่างนี้เรียกว่า ทัศนาจรหาซื้อของเกิน
หรือทัศนาจรไปหาบุญ คือไปเที่ยวทำบุญ ทอดผ้าป่า ทำตามความเชื่อถือ ยึดถือ
หรือว่าทัศนาจรได้สุขภาพอนามัย มันก็ได้ คือว่า
ออกจากบ้านมันจะไม่มีจิตวิตกกังวล มันสบาย หรือทัศนาจรเพื่อความรู้
เที่ยวไปจะรู้สึกรู้เห็นภายในว่ามันสบาย จิตสบาย แล้วเมื่อออกจากบ้าน
มันไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของตน จิตจะว่าง มันก็สบาย เที่ยวทะเล
เที่ยวภูเขา มันว่างจากยึดถือตัวตน ทำให้สบาย นั่นคือ ธรรมะชั้นสูง
ในเมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ย่อมเป็นสุขอย่างยิ่ง
มานั่งอยู่ตรงนี้ย่อมเป็นสุขกว่าที่บ้าน
ที่บ้านมีหน้าที่ความรับผิดชอบยึดว่าเป็นตน มันก็จะเป็นชีวิตที่หนัก
แต่พอมาเที่ยวสวนโมกข์ มานั่งบนนี้ มีจิตว่างจากยึดมั่นถือมั่น เราก็สบาย
ถ้ารู้สึกจากจิตใจ ไม่ใช่จากการอ่านหนังสือ
ที่มานั่งในที่ไม่มีอะไรยึดถือเป็นของตน มันก็สุข สุขที่ไม่ต้องใช้เงิน
เป็นสุขในทางของพระนิพพาน ทำให้เราเข้าใจเรื่องพระนิพพานได้ง่ายขึ้น


ถ้าทัศนาจรแล้วมานั่งอย่างนี้ แล้วคิดได้อย่างนี้
มันก็เป็นทัศนาจรที่รู้ธรรมะ อย่างนี้ ยมบาลไม่เล่นงาน
หรือว่าเที่ยวไปตามที่ต่างๆ ขอให้ป็นความรู้ทั้งนั้น
ส่วนพวกที่ทัศนาจรตามจังหวัดต่างๆจะ คิดว่าพวกนี้เป็นพวกบ้าส่วนเกิน
ไปที่ไหนให้สังเกตดูให้ดีว่า มีแต่คนบ้าส่วนเกินทั้งนั้น
แสวงหาสิ่งไม่จำเป็นทั้งนั้น
อยู่เกิน กินเกินทั้งนั้น
ถ้าทัศนาจรไปดูอย่างนี้ ไปดูของจริง ก็จะเป็นทัศนาจรที่คุ้มค่า
คือว่าใช้เงินคุ้มค่า ได้รู้ได้เห็นจริงๆ ก็จะเป็นทัศนาจรเพื่อความรู้
ก็คือจะเจริญในด้านจิตใจ เห็นความจริงว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอย่างไร
และเรียนรู้จากภายในของตนเองว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น มันสบายอย่างนี้


เมื่อเราเริ่มออกจากบ้าน เราปลดปล่อยจากตัวกูของกู
แล้วมันจะเริ่มสบาย ถ้าจะศึกษาให้ดีว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
จะไม่มี่ทุกข์ เป็นการดับทุกข์ การทัศนาจรอย่างนี้จะเกิดธรรมะ
เรียนรู้จากจิตใจของเราเอง ที่เรียกว่า สันทิฏฐิโก
คือรูสึกอยู่ด้วยจิตใจของตนว่ามันเป็นอย่างไร
การเรียนรู้ด้วยธรรมะต้องรู้จากจิตใจของตนชนิดสันทิฏฐิโก
จึงเป็นธรรมะที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า โดยบทสวดที่สวดทุกวันว่า
สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม
คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดีแล้ว,
สันทิฏฐิโก คือ เป็นลักษณะที่เห็นรู้ได้ด้วยตนเอง, อะกาลิโก
คือ ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา, เอหิปัสสิโก คือ
ดีจนเรียกใครมาดูได้, โอปะนะยิโก คือ เหมาะที่จะมีไว้ในตน,
ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ คือ วิญญูชนเรียนรู้ได้เฉพาะตน
คือมันรู้แทนกันไม่ได้ เหมือนเราจะกินข้าว แต่ให้คนอื่นกิน มันแทนกันไม่ได้
ฉะนั้นใครเห็นคนนั้นมันก็เห็น นี่คือธรรมะในพระพุทธศาสนา
ขอให้ได้มีโอกาสดื่มธรรมะ ได้ชิมธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสุขที่แท้จริง
ไม่หลอกลวง ด้วยจิตใจของตนเองว่า ถ้าเราออกมาจากความยึดมั่นถือมั่น
ก็จะสบายแบบนี้ บอกไม่ถูก จิตใจจะรู้รสว่ามันสบายอย่างไร อย่างมานั่งตรงนี้
สบายอย่างไรก็ขอให้ได้ชิม แต่ถ้าเราหวนกลับไปคิดถึงบ้านมันก็หมดเหมือนกัน



1860





Free TextEditor







































































































Create Date : 05 มิถุนายน 2553
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 18:54:14 น. 0 comments
Counter : 841 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.