มีนิพพานน้อยๆของท่านเองคุ้มครอง

มีนิพพานน้อยๆของท่านเองคุ้มครอง



ฉะนั้นการไม่ยึดมั่นถือมั่น จะเกิดความสุขที่แท้จริง
ถ้าปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ได้ ก็เป็นพระอรหันต์ และเข้านิพพานได้
ยิ่งนิพพานนั้นไม่ต้องใช้เงิน ท่านพระพุทธเจ้าตรัสว่า
นิพพานเป็นของให้เปล่าไม่คิดเงิน
เราจึงจะต้องรู้จักสละความยึดมั่นถือมั่นออกไปเสีย ไม่ต้องลงทุน
ไม่ต้องซื้อหา สร้างนั่น สร้างนี่ มันก็จะหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น
จิตก็จะอิสระ สบาย หยุด เย็น ไม่มีอะไรให้กระวนกระวาย ให้รู้ด้วยว่า
นิพพานแปลว่า เย็น คือการดับไปแห่งของร้อน กิเลส ราคะ โมหะ โทสะ
เป็นของร้อน ถ้าร้อนนี้ดับไปก็กลายเป็นของเย็น เย็นแล้วก็นิพพาน
นิพพานเป็นบุญคุณอยู่มากที่ช่วยให้ชีวิตอยู่ได้ ถ้าไฟของ ราคะ โมหะ
โทสะ
มันลุกตลอด มันก็บ้า ไม่ได้มานั่งอยู่อย่างนี้
ถ้ากิเลสมันมีอยู่เสมอ รัก เกลียด กลัว กังวล อิจฉา ริษยา อีกไม่นาน
นอนไม่หลับ เป็นโรคประสาท บ้า แล้วจะตายเอา


สิ่งที่ว่างจากกิเลสเหล่านี้มันช่วยเราได้คือ นิพพาน คือ
ระยะเวลา ภาวะ ที่ปราศจากความรบกวน จากราคะ โมหะ โทสะ
มันจะหล่อเลี้ยงชีวิตเราให้อยู่รอดได้ เวลาหลับกิเลสจะไม่รบกวน
กิเลสจะรบกวนก็ต่อเมื่อเราโง่ ความทุกข์เกิดเมื่อเราโง่ ในทางอักษะ
คือทางกระทบ สิ่งต่างๆที่มากระทบทางตาบ้าง หูบ้าง ลิ้นบ้าง ผิวหนังบ้าง
เดี๋ยวสวยงามทางตา เดี๋ยวไม่สวยงามทางตา ไพเราะ หรือไม่ไพเราะ
อร่อยหรือไม่อร่อย หอม หรือเหม็น เข้ามากระทบจิต นี่เรียกว่า อักษะ
แล้วถ้าใครมันโง่ทางอักษะ นี่ก็เป็นทุกข์ ถ้ามีสติปัญญา
พอมีอะไรมากระทบก็ไม่เป็นทุกข์ บางทีก็เข้ามาเฉยๆ บางทีก็ไม่เข้ามาเฉยๆ
เช่น รูปของเพศตรงข้าม กลิ่นของเพศตรงข้าม อันนี้มันไม่เฉย
มันปรุงทำให้เกิดเวทนา สุขเวทนา ต้องการไปอย่างหนึ่ง ทุกขเวทนา
ต้องการไปอีกอย่างหนึ่ง ความต้องการเหล่านี้เรียกว่า ตัณหา
พอมันเกิดความต้องการ มันจะเกิดความรูสึกอีกอย่างหนึ่งคือ อุปาทาน
คือตัวกูและอยากได้เป็นของกูพอมันเกิดขึ้นแล้วเป็นทุกข์นั้น ยึดมั่นถือมั่น
นั้นเรียก อุปาทาน ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดก็เป็นทุกข์ในสิ่งนั้น
ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ 5 เพราะสิ่งต่างๆรวมกันเป็น ขันธ์ 5
หรือสิ่งที่มากระทบ ตา หู ลิ้น กาย ใจ เป็นของหนัก
เป็นของร้อนเป็นของครอบงำให้มืด อย่างนี้ไม่เป็นนิพพาน


คนโง่เมื่อมีอักษะ คือโง่เมื่อมีอะไรเข้ามากระทบตา หู ลิ้น กาย ใจ
ฉะนั้นให้ฉลาด อย่าไปหลงโง่กับมัน แต่ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่ มันช่วยไม่ได้
ยังต้องหลงรัก หลงชอบ หลงเกลียดอยู่ มันก็จะเกิดอุปาทาน เป็นทุกข์
ก็สมน้ำหน้าคนโง่ ใครก็ช่วยไม่ได้ จะไปอ้อนเทวดาไม่ให้ทุกข์ก็ไม่ได้
เพราะมันโง่ด้วยภายในของมันเอง ต้องเกิดทุกข์ภายในของมันเอง
ให้หมอผีช่วยไม่ได้หรอก ให้เขาหลอกให้หายกลุ้มใจสักพักเดี๋ยวก็มาอีก
ในที่สุดคนๆนั้นก็เป็นประสาท เพราะว่าไม่รู้ธรรมะ ไปยึดถือที่พึ่งข้างนอก
พึ่งไสยศาสตร์ มันพึ่งไม่ได้ คนเหล่านี้เป็นทุกข์ เสียเงินเปล่าๆด้วย
ประสาท บ้า ทรมานใจ เป็นโรคกระเพาะ เป็น โรคต่างๆ แม้แต่โรคมะเร็ง


เมื่อมีความผิดปกติภายในจิตใจคน มันจะเป็นโรคอะไรก็ได้ พอจิตผิดปกติ
ประสาทผิดปกติ ร่างกายผิดปกติ
มันก็เกิดช่องทางที่เชื้อโรคเข้ามาในร่างกายได้ ถ้าจิตปกติ ประสาทปกติ
ร่างกายปกติ มันก็ไม่มีโอกาสที่เชื้อโรคเข้ามาในร่างกายได้
ซึ่งธรรมะชั้นสูงจะสอนเรื่องจิตปกติ ถ้าปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญาจะปกติ
อย่างวิชาหมอยังเชื่อ ถ้าจิตผิดปกติ มันจะสร้างสารเคมีขึ้นมาในระบบเลือด
ระบบต่อมต่างๆ เพราะรัก โกรธ เกลียด อาลัยอาวรณ์ เรื่องเลวเหล่านั้น
สังเกต คนเจ้าอารมณ์ ก็เป็นโรคกระเพาะทั้งนั้น มันจะเป็นโรคอะไรก็ได้
ถ้าจิตปกติ ประสาทปกติ ร่างกายปกติ มันก็กินยาพิษเข้าไปได้
เหมือนพวกโยคีทั้งหลายที่กินยาพิษเข้าไป
มันทำให้ผิดปกติแต่ในเมื่อควบคุมจิตเป็นปกติได้ ยาพิษมันก็ทำอะไรไม่ได้
โยคีมันเลยไม่ตาย นี่คือ อานิสงส์ของจิตที่ปกติ
ถ้าเรามีจิตที่ปกติ มันก็เป็นทุกข์ไม่ได้ อุตส่าห์ฝึกฝน ปฏิบัติ ระบบภาวนา
เอาไว้ให้มากๆ มันจะรบกวนจิตได้ยาก ไม่โกรธ ไม่อิจฉาริษยา ไม่อาลัยอาวรณ์
อะไรจะมาทำให้รักก็ไม่รัก โกรธก็ไม่โกรธ ไม่วิตกกังวล ยกตัวอย่าง
อิจฉาริษยา เมื่อมีร่างกายมันจะสร้างสารเคมีชนิดหนึ่งทำให้เกิดโรคกระเพาะ
และไม่ช้าคนๆนั้นก็ต้องตายไป


ขอให้มีธรรมะให้มาก มันจะป้องกันความผิดปกติทางจิต สบาย ไม่รบกวนจากกิเลส
เป็นนิพพาน มีชีวิตเย็นอยู่เกือบตลอดเวลา ชั่วขณะ หรือ ตลอดเวลา
ในปัจจุบันคนเป็นโรคประสาทกันมาก ในที่นี้อาจมีคนเป็นโรคประสาทอยู่ด้วย
ต้องอายแมว เพราะแมวไม่เป็นโรคประสาท ไม่ต้องกินยานอนหลับ แต่คนต้องกิน
ต้องละอายแมว เพราไม่มีธรรมะที่ทำให้จิตปกติ พอไปทัศนาจรที่ไหนก็ดู
จะมีคนที่จิตผิดปกติ หงำๆเงอะๆ
หรือทำอะไรที่ไม่น่าดูตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยๆ ลองไปศึกษาดู
ถ้าจิตปกติแล้วจะไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรเป็นตัวกูของกู


เป็นอันว่าเราได้พูดกันถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ที่พึ่ง อัตตทีปา
อัตตสรณา อนันญสรณา
เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นสรณะ
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย, ธรรมะทีปา ธรรมะสรณา อนันญสรณา
เธอทั้งหลายจงมีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นสรณะ
อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะเลย ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นกฎธรรมชาติ
เป็นหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ และเป็นผลตามกฎธรรมชาติ จิตนี้ก็หลุดพ้นจากทุกข์
เรื่องก็จบ ถ้ามีทุกข์ ก็จบที่ไม่ทุกข์ การอยู่ในความทุกข์เหมือนวัฏฏสงสาร
คือ มีทุกข์ทั้งวันทั้งคืน ถ้าไม่ทุกข์ก็ไปนิพพาน
ถึงจะไม่เป็นนิพพานโดยสมบูรณ์แต่ก็เป็นนิพพานชั่วคราว

ชั่วขณะที่คุ้มครองเรา คุ้มกะลาหัว ไม่ต้องเป็นบ้า ประสาท โรคจิต


หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้ประโยชน์จากธรรมะ มีธรรมะคุ้มครอง
มีนิพพานน้อยๆของท่านเองคุ้มครอง ดับซึ่งไฟโรคะ โมหะ โทสะ
เป็นนิพพานที่คุ้มครอง แล้วเป็นสุข ทุกทิวาราตรีนี่เป็นการเที่ยวไปของธรรมะ
เที่ยวโลกของพระธรรม อยู่ด้วยพระธรรม พระธรรมคุ้มครอง
ดังพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า มีตนเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง
การบรรยายสมควรแก่เวลาแล้ว ท่านทั้งหลายเข้าใจได้เท่าไร
ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งอย่างสูงสุด แก่ท่านทั้งหลายมิประมาณ
อาตมาขอยุติการบรรยาย
และขอให้ท่านมีความกล้าหาญในการปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นที่พึ่งแก่ตนสืบไป


1861



Free TextEditor
































































































Create Date : 05 มิถุนายน 2553
Last Update : 5 มิถุนายน 2553 18:55:34 น. 0 comments
Counter : 399 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.