สิ่งพึ่งหวัง 17 อย่าง จากพระไตรปิฏก






















พระไตรปิฎก
เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔ มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์


๖. อากังเขยยสูตร
ว่า
ด้วยข้อที่พึงหวังได้ ๑๗ อย่าง


[๗๓]
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ
พระวิหารเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี.


ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคว่า พระ
เจ้าข้า.


พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า
ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันสมบูรณ์
มีปาติโมกข์อัน
สมบูรณ์อยู่เถิด จงเป็นผู้สำรวมด้วยความสำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วย
อาจาระและโคจรอยู่เถิด
จงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษทั้งหลายมีประมาณ
น้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด.


-------------------------------------

[๗๔]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอ
เราพึงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ เป็นที่เคารพ
และเป็นผู้ควรยกย่องของ
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเถิด


ดังนี้ ภิกษุนั้น
พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๗๕]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ขอเราพึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำ
ฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๗๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
บริโภคจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของเทวดาหรือมนุษย์เหล่าใด
สักการะเหล่านั้นของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้นพึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่เถิด
ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๗๗]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
ญาติ
และสาโลหิตของเราเหล่าใด ล่วงลับทำกาละไปแล้ว มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงอยู่
ความ
ระลึกถึงด้วยจิตอันเลื่อมใส ของญาติและสาโลหิตเหล่านั้น
พึงมีผลใหญ่
มีอานิสงส์ใหญ่เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงกระทำให้บริบูรณ์
ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๗๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นผู้ข่มความไม่ยินดีและความยินดีได้
อนึ่ง
ความไม่ยินดีอย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำย่ำยี
ความไม่ยินดีอันเกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับ
จิต
ของตน ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๗๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นผู้ข่มความกลัวและความขลาดได้
อนึ่ง ความกลัวและความขลาด
อย่าพึงครอบงำเราได้เลย
เราพึงครอบงำ ย่ำยี
ความกลัวและความขลาดที่เกิดขึ้นแล้วได้อยู่เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูน
สุญญาคาร.

-------------------------------------



[๘๐]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวัง
ว่า
เราพึงเป็นผู้ได้ฌานทั้ง ๔ อันเกิดขึ้นเพราะจิตยิ่ง
เป็นธรรมเครื่องอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม ตามความปรารถนาพึงได้ไม่ยาก
ไม่ลำบากเถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๘๑]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงถูกต้องด้วยกายซึ่งวิโมกข์อันก้าวล่วงรูปาวจรฌานแล้ว
เป็นธรรมไม่มี
รูปสงบระงับอยู่เถิด ดังนี้ ภิกษุนั้น

พึงเป็นผู้กระทำ
ให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหิน
ห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------


[๘๒]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นโสดาบันเพราะความสิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓
พึงเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา
เป็นผู้เที่ยงมีอันตรัสรู้เป็นเบื้องหน้าเถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌาน ให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.


-------------------------------------

[๘๓]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงเป็นพระสกทาคามี เพราะความ สิ้นไปแห่งสังโยชน์ ๓ [และ]
เพราะราคะ
โทสะ โมหะ เป็นสภาพเบาบาง พึงมาสู่โลกนี้ เพียงครั้งเดียว
แล้วพึงทำที่
สุดทุกข์ได้เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้ทำให้
บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------

[๘๔]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเป็นอุปปาติกสัตว์
เพราะความสิ้นไปแห่งโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕
พึงปรินิพพานในพรหมโลกนั้น
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้
กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้
เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร

-------------------------------------

[๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึง
บรรลุอิทธิวิธีหลายประการ คือ คนเดียวพึงเป็นหลายคนก็ได้
หลายคนพึงเป็นคนเดียวก็ได้ ทำให้ปรากฏก็ได้ ทำให้หายไปก็ได้ ทะลุฝากำแพง
ภูเขาไปได้ไม่ติดขัด
เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ พึงผุดขึ้น ดำลง
แม้ในแผ่นดิน เหมือนในน้ำก็ได้
พึงเดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดิน
ก็ได้ เหาะไปในอากาศเหมือนนกก็ได้
ลูบคลำพระจันทร์พระอาทิตย์
ซึ่งมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากด้วยฝ่ามือก็ได้
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลก
ก็ได้เถิด ดังนี้
ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคา
ร ๑


-------------------------------------

[๘๖]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงได้ยินเสียงทั้ง ๒
ชนิด คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์
ทั้งที่อยู่ไกลและใกล้
ด้วยทิพยโสตอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

-------------------------------------
[๘๗]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น ของบุคคลอื่นด้วยใจ
คือ จิตมีราคะ
ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
จิตมีโทสะ
ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
จิตมี
โมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
จิต
หดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่ หรือจิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
จิตเป็น
มหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือจิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
จิต
มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า
หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตเป็น
สมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือจิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
จิต
หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือจิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้นเถิด
ดังนี้

ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่ทำฌานให้เหินห่างประกอบด้วย
วิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร

-------------------------------------

[๘๘]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงระลึกชาติก่อนได้
เป็นอันมาก คือ พึงระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง
สามชาติบ้าง
สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง
สี่
สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง
ตลอด
สังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง

ตลอดสังวัฏ
วิวัฏกัปเป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น
มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น
เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ
มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น
แม้ในภพนั้น
เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น
มีอาหาร
อย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น
ครั้น
จุติจากภพ นั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้ เราพึงระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก
พร้อม
ทั้งอาการพร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้

ภิกษุนั้น
พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน
ไม่
ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.


-------------------------------------


[๘๙]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่
กำลังจุติ กำลังอุปบัติเลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาถึงเข้าอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต
มโนสุจริต
ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ
ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ
เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์
ดังนี้

เราพึงเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์
พึงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วยประการฉะนี้เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้น พึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตน

ไม่ทำฌานให้เหินห่าง ประกอบด้วยวิปัสสนาพอกพูนสุญญาคาร.


-------------------------------------


[๙๐]
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุจะพึงหวังว่า
เรา
พึงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้ง
หลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่เถิด ดังนี้

ภิกษุ
นั้นพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล
หมั่นประกอบธรรมเครื่องระงับจิตของตนไม่ทำ
ฌานให้เหินห่าง
ประกอบด้วยวิปัสสนา พอกพูนสุญญาคาร.

คำใดที่เรากล่าวแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีศีลอันถึงพร้อม
มีปาติโมกข์อันถึงพร้อมแล้วอยู่เถิด
เธอทั้งหลายจงเป็นผู้สำรวมด้วยความ
สำรวมในปาติโมกข์
ถึงพร้อมด้วยมรรยาทและโคจรอยู่เถิด

เธอทั้ง
หลายจงเป็นผู้มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย
สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้ง
หลายเถิด ดังนี้

คำนั้น อันเราอาศัยอำนาจประโยชน์นี้
จึงได้กล่าวแล้ว ฉะนี้แล.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุ
เหล่านั้นมีใจชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาค ฉะนี้แล.




ลาน
ธรรมจักร









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 26 เมษายน 2553    
Last Update : 26 เมษายน 2553 11:24:32 น.
Counter : 299 Pageviews.  

กองฟืนเท่าภูเขาก็มิอาจทดแทนคุณบิดามารดา



























กาลครั้งหนึ่ง
หมู่บ้านชนบทอันไกลแสนไกล  มีครอบครัวเล็กๆอาศัยอยู่ริมเชิงเขา 
พ่อมีอาชีพเก็บฟืนไปขายที่ตลาดทุกๆเช้า แม่ทำ
งานบ้าน ส่วนลูกชายอยู่ในวัยหนุ่มเป็นคนเกลียดคล้านไม่ยอมช่วยการงานพ่อแม่
พอถึงเวลาอาหารก็เอะอะโวยวายโมโหหิว  พาลปาข้าวของเสียหาย



แม่เคยสอนว่า "
ข้าวก็อยู่ในถัง น้ำก็อยู่ในตุ่ม หม้อก็อยู่ข้างฝา ลูกก็ช่วยแม่หุงหาบ้างสิ
"
  ไม่มีคำตอบจากลูก  แต่ความหิวยังไม่หายไป และความโมโหก็รุนแรงขึ้น 
จนแม่ต้องผละจากงานมาหุงหาให้ได้ดังใจ



อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พ่อไปเก็บฟืนถูก
สัตว์ป่าทำร้ายจนเสียชีวิต  แล้วแม่ก็ต้องทำงานทุกอย่างแทนพ่อ ทั้งเก็บฟืน
และยังต้องทำงานบ้าน



ฝ่ายลูกชายก็ยังไม่สำนึก
ยังคงเกลียดคล้าน  และใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ  ภาระของแม่นั้นหนักหนานัก
และด้วยวัยที่ชราแล้ว จึงล้มป่วย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา





ฝ่ายลูกชายรู้สึกเสียใจมาก
เกิดความสำนึกผิด  เขาตื่นแต่เช้าเดินทางไปป่าเก็บฟืนแล้วนำมากองไว้ 
แล้วก็เดินเข้าป่าไปเก็บฟืนกลับมากองไว้อีกทำอย่างนี้ซ้ำๆ ๆ ๆ 
จนกองฟืนสูงเท่าภูเขาลูกใหญ่  เพื่อหวังจะทดแทนความเกลียดคล้านที่ผ่านมา 



แต่ก็ไม่ได้ทำให้แม่ฟื้นขึ้นมาได้ 
เขาได้แต่เสียใจ  ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว 
แต่วันนี้แม่มิอาจฟื้นขึ้นมาหุงข้าวให้เขากินได้อีกแล้ว..



คติ:การ
ทำความดีทดแทนคุณบิดามารดา เด็กๆสามารถทำได้ทุกวัน อย่ารอเมื่อสาย

ที่มา : นิทาน
กาลครั้งหนึ่ง









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 26 เมษายน 2553    
Last Update : 26 เมษายน 2553 10:43:20 น.
Counter : 665 Pageviews.  

พระคุณแม่ทดแทนไม่รู้หมด























าลครั้งหนึ่งไม่นานเท่าไหร่ ณ ต้นไม้ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน
มีเด็กชายคนหนึ่งเดินหงุดหงิดอยู่คนเดียว ปากก็บ่นไปว่า "ใช้อยู่ได้
วันๆใช้ทำโน่นทำนี่ เดี๋ยวให้ถูบ้าน เดี๋ยวให้ล้างจาน โอ้ย..เบื่อ ๆ ๆ "



เดือดร้อนถึงเทพผู้ให้
กำเนิด ซึ่งเป็นผู้จัดให้เด็กๆมาเกิดในหมู่บ้านนี้ 
จึงแปลงกายเป็นผู้เฒ่าและปรากฎตัวพร้อมกับหมาน้อยตัวหนึ่ง



ผู้เฒ่าถามเด็กน้อยว่า "
เด็กน้อยเจ้าบ่นอะไรอยู่เหรอ บอกเรามาเถอะเผื่อเราจะช่วยเจ้าได้ "



เด็กน้อยตอบ " ก็แม่ของฉันนะสิ
วันๆชอบใช้ให้ทำงานบ้าน ไม่เคยได้พัก ได้เล่นกับเพื่อนบ้างเลย "



ผู้เฒ่าหยิบก้อน
อิฐขึ้นมาสองก้อน 

"
เอ้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มาเล่นกับเราสิ เรามาแข่งกันถืออิฐนี้ไว้คนละก้อน
ใคร
ถือได้นานกว่ากันคนนั้นชนะ "



เด็กชายเห็นว่าเป็น
เรื่องง่ายๆจึงตกลงเล่นด้วย  เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
เด็กน้อย
เริ่มเมื่อยล้า และเบื่อจึงบ่น และขอยอมแพ้





ผู้เฒ่าก็พูดต่อว่า
" งั้นเจ้าเล่นกับลูกสุนัขตัวนี้ไหมหละ
แต่ก่อนอื่นเจ้าต้องป้อนนมให้ลูกสุนัขตัวนี้ก่อนนะ "



เด็กน้อยตอบว่าก็ได้ 
แล้วเริ่มป้อนนมให้ลูกสุนัข 
ไม่นานลูกสุนัขก็ซนและไม่ยอมอยู่นิ่งเด็กน้อยก็เบื่อ
แล้วก็บ่นพาลไม่ป้อนนมต่อ..





ผู้เฒ่าจึงสอนว่า
"แม้แต่ก้อนอิฐ 1
ก้อนเจ้าก็ยกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เทียบไม่ได้กับแม่เจ้า
ซึ่งต้องอุ้ม
ท้องเจ้าตลอดทั้งวันทั้งคืนนานถึง 9 เดือนก่อนจะคลอดเป็นเจ้าออกมา"



"
แล้วยังต้องอดทนเลี้ยงเจ้าตั้งแต่เล็กจนโตขนาดนี้ 
ขณะที่เจ้าป้อนนมลูก
หมาแค่มื้อเดียวก็เบื่อแล้ว "



"
การเป็นแม่นั้นลำบากนัก ตั้งแต่อุ้มท้อง และเลี้ยงลูกจนกว่าจะโต
การทด
แทนบุญคุณด้วยการช่วยการงานเพียงเล็กน้อย
ย่อมเทียบไม่ได้กับพระคุณแม่
ที่เลี้ยงเรามา "



เด็กน้อยได้ฟังแล้วจึงคิดได้
รีบวิ่งกลับไปหาแม่โดยไม่คิดบ่นอีกเลย..

คติ:พระคุณแม่นั้นมากเหลือคณา
จะตอนแทนเท่าไรก็ไม่หมด



ที่มา : นิทาน
กาลครั้งหนึ่ง









Free TextEditor







































































































 

Create Date : 26 เมษายน 2553    
Last Update : 26 เมษายน 2553 10:41:51 น.
Counter : 496 Pageviews.  

พูดดีเป็นศรีแก่ตัว



มีบุตรเศรษฐีสามคน อยากได้ดอกบัว จึงชวนกันไปที่สระบัวแห่งหนึ่ง
ซึ่ง
มีชายจมูกแหว่งเฝ้ารักษาอยู่
บุตรเศรษฐีคนที่หนึ่งได้พูดกับชายจมูกแหว่งที่เฝ้าสระบัวว่า
ท่านผู้เจริญ
ธรรมดาผมและหนวดที่โกนแล้วยังงอกได้ฉันใด

จมูกของท่านคงงอกได้ฉัน
นั้น ขอท่านจงให้ดอกบัวแก่ข้าพเจ้าเถิด



บุตรเศรษฐีคนที่สองพูดว่า พืชที่เราหว่านลงในนา
ย่อมงอกงามขึ้นได้ฉันใด

จมูกของท่านคงงอกได้ฉันนั้น
ขอท่านจงให้ดอกบัวแก่ข้าพเจ้าเถิด



ชาย
จมูกแหว่งได้ฟังบุตรเศรษฐีทั้งสองพูดเอาแต่ได้เช่นนั้นก็โกรธ
จึงไม่ให้ดอกบัว



บุตรเศรษฐีคนที่สาม เมื่อเห็นชายจมูกแหว่งโกรธจึงพูดว่า
ทั้งสองคนนั้นพูดไม่จริง
ธรรมดาจมูกที่แหว่งไปแล้วจะงอกขึ้นเหมือนผม หนวด และพืช

นั้นไม่
ได้ ข้าพเจ้าพูดนี้เป็นความจริง ท่านจงให้ดอกบัวแก่ข้าพเจ้าเถิด



ชายจมูกแหว่งได้ฟังบุตรเศรษฐีคนที่สามพูดดังนั้น
จึงกล่าวว่า

ท่านเป็น
คนพูดจริง พูดถูก ข้าพเจ้าชอบใจ ไม่เหมือนสองคนที่พูดมาก่อน

ยกย่อง
ข้าพเจ้าเกินความจริง ข้าพเจ้าจะให้ดอกบัวแก่ท่าน



แล้ว
ชายจมูกแหว่งก็หยิบดอกบัวมัดใหญ่ให้แก่บุตรเศรษฐีคนที่สาม



ขอมอบดอกไม้ในสวน <br>นี้เพื่อมวลประชา จะอยู่แห่งไหน จะใกล้จะไกลจนสุดขอบฟ้า <br>...............................อุ๊ย...เขิน
















คือ...แบบว่า...ชอบคนพูดตรงงะ...แบบว่า เอ่อ ๆ
ขอดอกบัวเลยแถมดอกกุหลาบให้นะ เอ่อ...แบบว่า
จ๋วยจังเยย
แบบ
ว่า...จ้อบงะ ผมทองด้วย เอ่อ...แบบว่า เอ่อ (ทำเสียงหล่อ) ให้เกียติทาน
ข้าวเย็นกับผมซักมื้อได้ไหมครับ

อุ๊ย...ดูเดะ
หน้าแดงเยย........................................................เย้ย
ยยยยยยยยยยย.....................................ยยยย





" เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดว่า การพูดดีถูกกาลเทศะย่อม
ได้ผล
ถ้าพูดไม่ดีก็เสื่อมเสีย ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเลย "

ที่มา : นิทาน กาลครั้งหนึ่ง
จาก ด.ญ.สาย
พิรุณ  ไชยเชียงพิณ
จ.เชียงใหม่







Free TextEditor







































































































 

Create Date : 26 เมษายน 2553    
Last Update : 26 เมษายน 2553 10:40:32 น.
Counter : 1530 Pageviews.  

เรื่องจริงของน้าหมู อ่านแล้วจะรู้สึกถึงหัวอกของแม่

เรื่องจริงของน้าหมู
อ่านแล้วจะรู้สึกถึงหัวอกของแม่








มีคนเล่าให้ฟังว่า ...
สมัยก่อน ... คุณพงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต
แกอยู่ในป่ากับเพื่อน 5 - 6  คน
...



ทุกวันก็จะเปลี่ยนเวรกัน
ล่าสัตว์ป่ามาทำอาหาร  

วันหนึ่ง ... เป็นเวรของ คุณพงษ์เทพ
แกก็คว้าปืนยาว สะพายบ่าเดินเข้าป่าไป
อาหารโปรดของคุณพงษ์เทพ
คือแกงเนื้อลิง พอเดิน เข้าป่าไปได้สักพัก
เห็นลิงตัวหนึ่งนั่งอยู่บนต้นไม้หันหลังให้
แกก็รีบยกปืนประทับบ่ายิงเปรี้ยงไปที่ตัวลิง 

เหตุการณ์แปลกประหลาดได้เกิดขึ้น ...
ปกติลิงพอถูกยิงจะหล่นตุ๊บจากต้นไม้ทันที แต่ลิงตัวนี้นั่งจับกิ่งไม้เฉย
ไม่หล่นลงมา จะว่ายิงไม่ถูก ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคุณพงษ์เทพ
แกยิงปืนแม่นระยะแค่นี้ เป้าใหญ่ขนาดนี้ ไม่พลาดแน่นอน


ใน
ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ... ลิงตัวที่ถูกยิงร้องโหยหวน เสียงดังมาก
ฝูงลิงที่แยกย้ายกันออกหากินอยู่บริเวณใกล้ ๆ วิ่งแห่กันเข้ามาหา
ลิงตัวที่ถูกยิง แล้วร้องโหยหวนเหมือนกันหมด แกตกใจ ... ยืนตก
ตะลึง!!! ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


สักครู่ ...
ลิงตัวที่ถูกยิง โยนวัตถุเล็กๆ สีดำ ๆ
ชิ้นหนึ่งให้กับลิงตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดแล้วก็หล่นตุ๊บลงมาจากต้นไม้ ...
คุณพงษ์เทพ รีบวิ่งไปดูลิงถูกยิงเข้าที่หลังทะลุหน้าอก เลือดแดงฉานเต็มตัว
คุณพงษ์เทพเห็นแล้ว ... ต้องเบือนหน้าหนี 

ลิงที่ตกลงมา ...
เป็นลิงแม่ลูกอ่อน ขณะที่ถูกยิงเธอกำลังให้นมลูก ...
ลูกตัวน้อยกำลังดูดนมอย่างมีความสุขทันทีที่ถูกยิงถ้าเป็นลิงตัวอื่น
จะหล่นตุ๊บ ... ลงจากต้นไม้ แม่ลิงตัวนี้ยังหล่นไม่ได้ ... ยังตายไม่ได้ เพราะ
เธอยังมีภารกิจใหญ่หลวงที่ต้องทำ คือ รักษาชีวิตลูกน้อย ให้พ้นอันตราย
เธอกัดฟัน โหนกิ่งไม้ไว้ แม้จะเจ็บปวดแทบขาดใจ
...
มองดูเลือดที่ไหลหยดเป็นทาง ด้วยความตกใจ
พยายามรวบรวมพละกำลังที่ยังพอมีเหลือทั้งหมด
ตะโกนสุดเสียงร้องเรียกฝูงลิงเข้ามาใกล้ๆ แล้วก็ฝากฝัง
ให้เลี้ยงลูกน้อยแทนเธอ


หลังจากโยนลูกให้จ่าฝูงแล้ว
มองดูลูกถูกพาไปจนลับสายตาแล้ว  แน่ใจว่า ... ลูกปลอดภัยแล้วจึงหลับตา
แล้วหล่นลงมาตาย  

คุณพงษ์เทพ ... ก้มมองหน้าลิงแล้วร้องไห้
เพราะที่เบ้าตาลิง มีหยดน้ำตาใสๆ กำลังไหลริน
คุณพงษ์เทพ รีบเดินกลับที่พัก
เอาปืนไปเผาทิ้ง ไม่ยอมออกล่าสัตว์อีกเลยตลอดชีวิต ... 

และภาพความรักที่ยิ่งใหญ่ของแม่ลิง ... ที่มีต่อลูกน้อย
เป็นแรงบันดาลใจให้คุณพงษ์เทพ แต่งเพลงขึ้นมาเพลงหนึ่ง ... ชื่อว่า "ลิง
ทะโมน"
เพื่อยกย่อง เชิดชู คุณค่าของความรักที่แม่มีต่อลูก








*****************


แม่นะหรือ ... คือผู้สร้าง ทุกสิ่ง
อันยิ่งใหญ่
คือผู้รัก ลูกตน กว่าใครใคร
คือผู้คอย ห่วงใย ทุกเวลา

คือ
คนร้อน เมื่อลูกรุ่ม
กลุ้มเรื่องทุกข์
คือคนสุข เมื่อลูกนั้น
มีหรรษา
คือคนปลอบ เมื่อลูกเหงา เศร้าอุรา
คือคนคอย ให้เมตตา
ลูกทุกคราว

เป็นสายฝน คอยช่วยให้ ลูกสดชื่น
เป็นผ้าผืนคอยห่ม
ให้ เพื่อคลายหนาว
เป็นกระโถน คอยรับทุกข์ ทุกเรื่องราว
เป็นบันได
ไต่ดาว ลูกก้าวไป

เป็นคุณครู ผู้สอนสั่งทุกอย่างหนอ
เป็นคุณหมอ
คอยรักษา จะหาไหน
เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ได้ดั่งใจ
จะหาใครได้เท่า
แม่เหมือนไม่มี

สาธยาย อย่างไร คงไม่หมด
พระคุณแม่ ยากแทนทด
เหมือนปลดหนี้
สิ่งล้ำค่าใดใด ในปฐพี
จะเทียมเท่า คุณแม่นี้
ไม่มีเอย ...


++++++++++++++++++++++++


เนื้อ
เพลง "ลิงทะโมน"


ลิงทะโมนเอย  กระโจนตามต้นไม้ 
โผเข้าต้นหมากไฮ 
หมากไม้ ไล่ชิง 
คนทะโมนเอย  แอบซุ่มตามพุ่มไม้ 
ตาก็จ้องมองไป
ปืนไฟก็ไล่ยิง

แม่ลิงเอยถูกยิงบนกิ่งไม้  
กอดลูกน้อยกลอยใจ 
เพื่อนไปเร็วจริง



ร้องเรียก
หาว่ามารับลูกลิง 
แม่ถูกยิง  พ่อลิงมารับไป 
ร้องเรียกหาว่ามารับ
ลูกลิง
แม่ถูกยิงพ่อลิงมารับไป



ลิงทะโมน
เอยกระโจนตามต้นไม้
ด้วยความกลัวปืนไฟ  จะตามไล่ยิง 
พ่อลิงเอย
นั่งนิ่งบนกิ่งไม้ 
มองไปตามแนวไพร ไปไหนเล่าแม่ลิง  
พี่น้องลิง
นั่งนิ่งบนกิ่งไม้   มองลงห้วย
รินไหล  ไปไหน เล่าแม่ลิง     

ร้อง
เรียกหาว่ามารับลูกลิง
แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป 
ร้องเรียกหาว่ามา
รับลูกลิง
แม่ถูกยิง พ่อลิงมารับไป      
 ลิงทะโมนเอย กระโจน
ตามต้นไม้ 
โผเข้าต้นหมากไฮ  รีบไปเอาลูกลิง
  คนทะโมนเอย 
แอบซุ่มตามพุ่มไม้  
ตาก็จ้องมองไป  ปีนไฟก็ไล่ยิง    
พ่อลิงเอย
ถูกยิงบนกิ่งไม้  
กอดลูกน้อยกลอยใจ รีบไปเถอะลูกลิง  

ร้อง
เรียกหาว่ามารับลูกลิง  
พ่อก็ถูกยิง  ลูกลิงเจ้ารีบไป   
ร้อง
เรียกหาว่ามารับลูกลิง
พ่อก็ถูกยิง ลูกลิงเจ้ารีบไป     
ลิงทะโมน
เอยกระโจนตามต้นไม้
โผไปตามแนวไพร  ไปไหนเล่าลูกลิง














Free TextEditor







































































































 

Create Date : 24 เมษายน 2553    
Last Update : 24 เมษายน 2553 17:38:10 น.
Counter : 331 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  

tongsehow
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add tongsehow's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.