ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
บท ๒๓

" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค ห้า
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@
---- บทที่ ๒๓ ------
บีบกันขนาดนี้ !!!

ดูเหมือนวิบากกรรมก็ยังไม่หยุด ขณะที่ทำงานกำลัง
รุ่งโรจน์ ลูกก็มาป่วยแล้วป่วยอีกกันอยู่นั่น ข้าพเจ้านำลูกไปรักษา
ทั้งที่ โรงพยาบาลนนทเวช และ ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
ไม่ได้หยุดหย่อน เดือนหนึ่งก็ต้องไปนอนเฝ้าไข้กันหลายครั้งด้วย


Create Date : 29 เมษายน 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 19:08:58 น. 9 comments
Counter : 747 Pageviews.  
 
 
 
 
" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค ห้า
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@




---- บทที่ ๒๓ ------
.บีบกันขนาดนี้ !!!

ดูเหมือนวิบากกรรมก็ยังไม่หยุด ขณะที่ทำงานกำลัง
รุ่งโรจน์ ลูกก็มาป่วยแล้วป่วยอีกกันอยู่นั่น ข้าพเจ้านำลูกไปรักษา
ทั้งที่ โรงพยาบาลนนทเวช และ ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน
ไม่ได้หยุดหย่อน เดือนหนึ่งก็ต้องไปนอนเฝ้าไข้กันหลายครั้งด้วย

ช่วงหนึ่งในบริษัท ฯ ก็เกิดมีปัญหาเรื่องการเปลี่ยน
มือเจ้าของมาจากต่างประเทศ บรรดากรรมการหุ้นส่วนจะต้อง
ออกไปตั้งบริษัทใหม่ ข้าพเจ้าชั่งใจกันกับพวกลูกน้องและ บอกว่า
เราจะไม่ไปบริษัทใหม่ จะถือเป็นพนักงานของบริษัทเก่า ขณะนั้น
ทางบริษัทเก่า และ ผู้ถือหุ้นต่างประเทศเข้ามาตรวจสอบบัญชี
ทรัพย์สินและห้ามเคลื่อนย้ายสิ่งใด ๆ ออกไปจากบริษัท ฯ

แต่แม้กำลังหน้าสิ่วหน้าขวานกันอย่างนั้น ลูกชายก็ยัง
หอบหนัก ป่วยต้องเข้าให้อ๊อกซิเย่น ให้น้ำเกลือด่วนกันคืนวัน
ที่เราจะต้องไปปรากฎตัวว่าเป็นฝ่ายใดกันแน่นั้นด้วย ข้าพเจ้า
ไปถึงที่ทำงานสาย ถูกสายตาครีเอทีฟว์ไดเรคเตอร์ฝรั่งจาก
ออสเตรเลียและฝ่าย บริหารลูกค้าชาติอังกฤษมองด้วยความ
เดือดดาลที่ หายไปหลายชั่วโมงและส่ายหน้ากับการ "ไม่แย
แสกับความเป็นตายร้ายดีของบริษัท" ของข้าพเจ้าอย่างที่เห็น

พวกเรา ข้าพเจ้าและลูกน้องในกรุ๊ปตัวเองและ กรุ๊บอื่น
อีก สามสี่คน คุยกันว่า เราจะต้องเรียกร้องเงินชดเชย ตามกฎ
หมายแรงงานไทย ที่เราทุกคนต่างได้ทำงานกันมาคนละหลาย
ปีให้ได้ก่อนแล้วเราถึงจะออก มันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งที่บริษัท
ต่างชาติ จะ ลอยแพพนักงานคนไทยกันแบบนั้น

ในที่สุด บริษัทฯที่ข้าพเจ้าทำงานมาด้วยกว่าแปดปีก็
เปลี่ยนมือกลับไปเป็นเจ้าของบริษัทที่เป็นเจ้าของชื่อจากต่าง
ประเทศเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ พวกกรรมการบริหารบริษัทเก่า ซี่ง
ไปจดทะเบียนทับชื่อเดิมเขาไว้ ต่างก็ต้องย้ายไปเปิดบริษัทอีก
บริษัทหนึ่ง และ พาพนักงานร้อยกว่าคนออกไปด้วย แต่ข้าพเจ้า
รวมลูกน้อง และ พนักงานอีกกลุ่มหนึ่ง รอรับเงินชดเชยถือว่า
ถูกให้ออกอย่างไม่เป็นธรรม และ ไม่ต้องการที่จะย้ายไปกับ
บริษัท ฯ ไหนจะใหม่หรือเก่า ก็ตาม

ข้าพเจ้าได้เข้าไปสอบถามวิถีชีวิตตัวเองกับท่าน
อาจารย์ ส. ณ บางพลัด เช่นกัน ว่านับแต่นี้ต่อไป ข้าพเจ้าจะ
ทำงานหรือเป็นฉันใด ท่านส่ายหน้าบอกสั้น ๆ ว่า

" เบื้องบนเขาไม่ให้เธอทำงานแล้ว เขาให้เธอออก..."

อันที่จริงในใจข้าพเจ้านั้น เหนื่อยหน่ายกับปัญหาชีวิต
มากมายที่ก่อซ้ำก่อซากและเมื่อพิจารณารูปแบบการทำงาน ซึ่ง
สำหรับงานอย่างข้าพเจ้า คิดได้เวลาไหน ก็ต้องลุกขึ้นมา จด
บันทึกไว้ก่อนที่ความคิดจะหายไป หากไม่เสร็จก็หมายถึงไม่
ต้องกลับบ้านกลับช่อง เพราะต้องทำกันหามรุ่งหามค่ำ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง งานที่จะต้องแข่งกันกับคู่แข่ง เพื่อจะได้ลูกค้าใหม่หรือ
แคมเปญใหม่ ที่เรียกกันว่า การ พิทช์-Pitch ลูกค้านั้น ยิ่งมอง
ไป มองไป อายุที่มากขึ้นอาจหมายถึงการที่ข้าพเจ้าจะต้องวาง
หน้าที่ หัวโขนของงานครีเอทีฟว์ลงแล้ว ซ้ำพักหลัง ๆ นั้น การ
ต้องดูแลลูกที่เริ่มโตขึ้นแต่ป่วยเจ็บอยู่เสมอ นับเป็นปัญหาอย่าง
ยิ่ง
คิด ๆ ไปแล้ว ใครมันช่างอด ช่างทน ช่างฮึดสู้งานได้ขนาด
นั้น ?


นิคกี้นั้น ยืนยันว่า ข้าพเจ้าควรจะลาออกพักผ่อนอยู่ก่อน
แล้วค่อยหางานอื่นทำทีหลัง เขา เปรยด้วยว่า
" แม่ไม่ต้องทำงานก็ได้ พ่อเลี้ยงแม่ได้ "
ข้าพเจ้าไม่ได้เชื่อถือถ้อยคำของเขาเท่าใดดอก เพราะ
ค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนที่ผ่านไปในการมีชีวิตอยู่นั้น ข้าพเจ้าได้
จากเงินเดือนของตัวเองที่ตกสองหมื่นกว่าบาทในวันนั้น ส่วน
ของเขานั้น เขาก็มีภาระหน้าที่กับบัตรเครดิตหลายใบที่เขาต้อง
จ่ายอยู่เรื่อย ๆ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกเหนื่อยอ่อน หมดแรงเหลือเกิน
จึงคิดว่า คงจะหยุดทำงานสักพักเพื่อจะเริ่มต้นใหม่ในภายหลัง .

..ซึ่งนับเป็นการตัดสินใจที่ผิดของข้าพเจ้า..

~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
Glitter Graphics

Flower Glitter


 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:23:47:53 น.  

 
 
 
~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
---- บทที่ ๒๓ ------
ไปก็ไป....ไปก็ไป..บีบกันขนาดนี้ !!! (ต่อ) ๑

การออกครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้รับเงินชดเชย แสนกว่าบาท
พอได้รับเงินมา ก็นำไปคืน คุณแม่สามีทันที โดยที่ตัวเอง เหลืออยู่
นิด ๆ หน่อย ๆ และขอโฉนดที่ดินผืนนั้น คืนมา อย่างน้อย โฉนด
ลอยออกมาแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า..หากข้าพเจ้าทำงานการมีเงิน...
ข้าพเจ้าคงจะได้มีเงินไปปลูกบ้านบ้างละนะ

จากนั้น ข้าพเจ้าก็ ยังไม่คิดจะทำงานที่ไหน หันไปมาดู
เรือนไม้ชั้นเดียวที่อยู่ และ หยุดอยู่บ้านทั้งสัปดาห์ รู้สึกผ่อนคลายลง
บ้างที่มีเวลาอยู่กับบ้านสักพัก ว่าจะปรับปรุงส่วนหน้าบ้านที่ยังพอ
ว่างอยู่ ไว้เป็นที่นั่งทำงานเขียนคอลัมน์ลงหนังสือนิตยสารต่าง ๆ
ที่มีการติดต่อลงกันไว้สองสามฉบับก่อนหน้า เพื่อจะได้มีเวลานั่งอยู่
บ้านและได้คอยดูแลลูกที่เจ็บ ๆ ไข้ ๆ ไม่ต้องพาเขาไปอยู่โรงพยาบาล
อย่างที่เป็นมา

ช่วงนั้น ลูกสาวได้เข้าเรียนชั้นประถมต้นที่โรงเรียนสตรีเอกชนชื่อดังแถว
ปากเกร็ด นนทบุรี ข้าพเจ้าจึงพาลูกชายย้ายไปฝากเรียน
เตรียมอนุบาล ฯ ที่นั่นด้วย แต่ก็ช่างกระไรเลย ลูกมีอาการแพ้
อากาศ แพ้ตัวไรในฝุ่นบ้าน ป่วยเจ็บอยู่ไม่รู้จักแล้ว และทำให้ต้อง
กินยาแก้ไข้ แก้หวัด มีอาการ มึนงง เรียนไม่รู้เรื่องอยู่เป็นประจำ

พิจารณาดูว่าจะแก้ไข อย่างไร หรือจะต้องทำใจว่า
เพราะลูกมีโรคประจำตัวอย่างนั้น จะป่วยจะเจ็บจะเรียนไม่ได้ดี ไม่ทันเพื่อน ก็ช่าง หรือไม่

เราได้ว่าจ้างรถตู้หนึ่งให้มารับที่หน้าบ้าน ไปส่งลูกทั้งสอง
และให้ เขารับลูกทั้งสองกลับมาแต่วันไม่ได้มืดค่ำอย่างแต่ก่อน

~~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

เพราะลูกป่วยบ่อย ทำให้ข้าพเจ้าคิดจะหาช่างมาเปลี่ยนกำแพงบ้านที่มืดทึบ คิดว่า
จะใส่เหล็กกับมุ้งลวดเพื่อให้แสงแดดเข้ามาทางทิศตะวันออกหน้า
เรือน

พอดี มีช่างที่ไปกำลังทำงานปรับปรุงบ้านคุณแม่ของข้าพเจ้า
อยู่ ก็ไปเรียกนายช่างที่คุมงานบ้านคุณแม่ มาที่เรือนไม้บ้านสามี
และ ให้เขามาดูว่าจะทำอะไรจะได้ ให้เขามาช่วยตีราคาดูว่า
จะรื้อฝาลงได้อย่างไร

~~~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~
Glitter Graphics

Flower Glitter



 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 29 เมษายน 2551 เวลา:23:59:16 น.  

 
 
 
--- บทที่ ๒๓ ------
ไปก็ไป..บีบกันขนาดนี้ !!!
..

(ต่อ) ๒

ขณะที่ช่างกำลังสำรวจฝาผนังบ้านอยู่และ นัดแนะว่า
จะมาทำได้เมื่อไหร่ อย่างไร กันนั้น
จู่ ๆ คุณพ่อ และ คุณแม่ สามี ก็เดินลงมา และ
ถามด้วยเสียงตวาดอย่างโมโหโกรธาว่า
"มะรึงจะทำอะไร นี่มันบ้านกะรู "

เท่านั้นแหละ ข้าพเจ้าหน้าม้าน อายนายช่าง
สุดแสนที่จะอาย ในขณะที่เขาทำงานกันที่บ้านคุณแม่ข้าพเจ้า
เขานับถือเคารพคุณแม่ของข้าพเจ้ามาก เขาได้รับแต่มธุรสวาจา
มีแต่คำเมตตาไพเราะอ่อนหวาน ให้ได้ยิน แต่เขามาที่เรือนไม้
นั้นได้ยินวาจาหยาบคายอย่างนั้นแทน

ข้าพเจ้าจึงให้ช่างกลับไป ไม่ต้องมาทำอะไรที่
"บ้านกรู" นั้นอีกแล้ว ต่อมาคุณสามีก็ให้ลุงแก่ ๆที่เคยปรับปรุง
เรือนนั้น มารื้อฝาลงช่วงหนึ่งและ ใส่มุ้งลวดให้

ช่วงไม่กี่เดือนที่ข้าพเจ้าต้องอยู่บ้าน คิดอยากจะ
ทำหน้าบ้านให้มันดูดีกว่าที่รก ๆ เลอะ ๆ นั้น แต่ในเมื่อขยับ
ตัวสักครั้งเรื่องบ้าน เกี่ยวกั่บช่างต่าง ๆ ดูกลายเป็นเรื่องใหญ่
โตเสียเหลือเกิน
มองเห็นตัวเองว่างนัก มองดูช่างชุดเก่าทำงาน
ก่ออิฐถือปูนมานานจนแน่ใจว่าตัวข้าพเจ้าก็ทำได้ ก็เลยไป
สั่งซื้ออิฐมอญ ปูนซิเมนต์ และ ทราย มาลงไว้ที่หน้าบ้าน

คุณจะเชื่อไม่เชื่อ..แต่เชื่อเถิด คุณหนูอย่าง
ข้าพเจ้านั้นลงมือก่ออิฐทำกำแพงเองสองด้าน ใช้เวลาก่อ
ขึ้นทีละแถวสองแถวได้แนวกำแพงสองด้าน ความยาวกว่า
สี่เมตรได้ !!!

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

วันหนึ่ง ขณะที่กำลังนั่งทำอยู่ คิดเจ็บปวด
ในหัวใจขึ้นมาว่า
"เราจะนั่งเอาเงินเรามาเทให้เรือนนี้ของเขา
ทำไม ดูเขาทำแรงทำร้ายกับเรามาตลอดเวลาสิ...
ดูเขามาด่า มาว่าเราอย่างนั้นสิ.....เกิดมาไม่เคยพบ
เคยเห็นเลย "
" แล้วเราทำไมถึงบ้าอะไรที่จะมาประชดเขา
มาลดตัวเองลงมาทำงานเป็นกุลีอยู่อย่างนี้ มาก่ออิฐ
ถือปูนอะไรนี่ทำไม หากเป็นบ้านของเราก็ว่าไปอย่าง
นี่ ทำให้เขาไป เดี๋ยวเขาก็เอาไปให้ผู้หญิงอื่นมาอยู่ !!"

พอทำผนังปูนสำเร็จเอาโต๊ะไม้ย้ายไปตั้ง
ด้านหน้าแล้วทำท่าว่าจะเขียนงานเขียนการส่งหนังสือ
พิมพ์ต่างๆ ที่มีการติดต่อตกลงกันอยู่ในวาระนั้น ทว่า
มันกลับทำอะไรไม่เคยสำเร็จเลยที่นั่งอยู่ที่นั่น
มันคนละโลก กับที่ทำงานบนตึกเย็นฉ่ำ
ด้วยไอเย็น เต็มไปด้วยตึกรอบข้าง..ในแวดวงธุรกิจ
แต่ที่นั่งอยู่หน้าบ้านนั้น... มันมีแต่ถ้อยคำลอยลม กดดัน
ทำให้สมาธิกระเจิดกระเจิง เต็มไปด้วยความคับแค้น
แน่นใจ



@@@@@@@@ @@@@@@@@@


@@@@@@@@ @@@@@@@@@

Glitter Graphics

Star Glitters


 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:0:08:41 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๓
ไปก็ไป..บีบกันขนาดนี้ !!!
..ตัดสินใจแล้ว

(ต่อ) ๓

ถึงเวลา...เปลี่ยนแปลงชีวิต


ช่วงที่คุณพ่อกำลังเกษียณอายุจากรัฐวิสาหกิจที่ท่านทำอยู่
ข้าพเจ้าได้เสนอตัวคัดลอกบทความบางส่วน ในหนังสือ ๑ ใน
๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ซึ่งเป็นบทธรรมเขียนโดยพระธรรมวโรดม
แห่งวัดเทพศิรินทร์ ข้าพเจ้านำมาพิมพ์ลงต้นฉบับโรเนียวและ
ทำออกมาเป็นเล่มเย็บหน้ากลาง แจกในงานทำบุญเกษียณราชการ
คุณพ่อ (โดยไม่ได้กราบขออนุญาตเจ้าของหนังสือ ต้องขออภัยไว้
ณ ที่นี้ )
ในหนังสือดังกล่าว มีข้อธรรมซึ่งพระพุทธองค์ได้กล่าวไว้
้้เกี่ยวแก่การครองเรือนอยู่มากมาย ข้าพเจ้าอ่านแล้วจดจำไว้หลาย
สิ่งหลายอย่างให้เป็นอุทธาหรณ์ให้แก่ตัวเอง
อย่างหนึ่งนั้นคือ ข้อที่ว่า "เหตุใด สามีจึงไม่ทิ้งภรรยา "
ท่านกล่าวไว้ว่า
หากภรรยานั้นเป็นหญิงงาม มีฐานะ ตระกูลดี มีความรู้ดี
มีบุตรชายกับเขา มีทรัพย์สินเงินทอง ปฏิบัติต่อครอบครัวของสามีดี
โอกาสที่เขาจะ ละทิ้งภรรยาเช่นนั้นมีน้อย
เมื่อสำรวจตัวเอง ว่า มีคุณงามความดีพอเกือบครบทุกข้อ
จึงรู้สึก "หยิ่งในตัวเอง" ว่าอย่างไร สามีคงไม่ทิ้งข้าพเจ้าเป็นแน่


ข้าพเจ้าเลือกที่จะไม่พูดไม่โต้ตอบกับกิริยาอาการหรือ
ถ้อยคำอื่น ๆ ทุกอย่าง เลี่ยงได้ ก็เลี่ยง เลี่ยงไม่ได้ ก็ ออกจาก
บ้าน ไปบ้านคุณพ่อ คุณแม่ หรือไปที่อื่น ๆ เสีย

แต่มีวันหนึ่ง ที่อยู่ในเรือน กำลังทำงานอะไรจนมืดค่ำ จู่ ๆ
ก็มีแมลงบินกองทัพใหญ่ บินออกจากรังของมันมาเต็มพรึ่ดสีดำ
เต็มบ้านไปหมด มันเป็นปลวกที่โตพอจะออกไปสร้างรังใหม่อีก
แล้ว ข้าพเจ้า เปิดประตูบ้าน ลากเก้าอี้ออกไปนั่งตรงส่วนที่ว่า
ต้องการจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น นั่งอยู่ในความมืดคนเดียว
นึกปลงสังเวชตัวเองเสียจนไม่มีแก่ใจจะลุกไปทำอะไร

เป็นความรู้สึกที่แย่จริง ๆ
Glitter Graphics

Star Glitter Pictures







แต่ เมื่อถูกบีบคั้นด้วยวาระกรรมต่าง ๆ นานา เข้า ข้าพเจ้าก็
รู้สึกหดหู่หัวใจ มีความรู้สึกด้อยคุณค่าไม่อาจจะอยู่บ้านเขาต่อไป
จึงไปขออนุญาตคุณพ่อตัวเอง

" คุณพ่อคะ ตอนหนูเงินเดือนสองหมื่นกว่า หนูยังถูกมองราวกับเป็นหมาตัวหนึ่ง ตอนนี้หนูไม่ได้ทำงาน
ไม่มีเงินเดือนแล้ว คุณพ่อลองนึกภาพดูสิคะ ว่าหนูจะถูกมองว่า
เป็นอะไร...มันยิ่งกว่านั้นนะคะคุณพ่อ หนูทำอะไรสร้างสรรค์
ไม่ได้เลยค่ะ.
....จะให้หนูมาอยู่กับคุณพ่อได้บ้างไหมคะ ."

ขณะนั้น บ้านคุณพ่อคุณแม่ กำลังต้อนรับครอบครัวพี่ชายที่ขายบ้านฝั่งธน แล้วได้ย้าย
บ้านไปอยู่บ้านหลวงในกรมฯที่คุณพ่อเคยอยู่ ตามสิทธิของพี่สะไภ้ข้าพเจ้าที่เป็นข้าราชการ
ระดับชั้นตรีแล้ว เมื่อคุณพ่อไปเยี่ยมเห็นหลานท่าน ไปปะปนกับลูกข้าราชการเสมียนชั้น
ผู้น้อยต่าง ๆ ท่านก็ทนไม่ได้ สั่งให้คุณแม่ ไปจัดการ รับหลานทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน
หลังนั้นใหม่ หวังให้หลานเติบโต พัฒนาคุณค่าความเป็นมนุษย์ได้ดีกว่าที่จะไปอาศัยบ้าน
หลวงอยู่ และ เลยยกห้องที่ข้าพเจ้าเคยอยู่ให้แก่ครอบครัวพี่ชายไป.

คุณพ่อ ฟังปุ๊บ ชี้มือไปที่ห้องรับแขกท่าน ซึ่งเป็นห้องที่ช่างเพิ่งขยายไปเสร็จสรรพ
มีแนวผนังโค้งขึ้นชิดหลังคา มีตั่งไม้สักตัวใหญ่ และ ชุดรับแขกหวายสานลายดอกพิกุล ตั้งอยู่
กับตู้ใส่หนังสือราชการ หนังสือนิยาย หนังสือสารคดีมากมายในห้องนั้น
"บ้านพ่อก็พอมีที่เหลืออยู่แค่นี้ มาอยู่กันไปก่อนนะลูก "

ข้าพเจ้าใจชื้นขึ้นแล้วรอดตายแล้ว !!

~~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:0:27:44 น.  

 
 
 
ส้มแช่อิ่ม วันที่: 27 เมษายน 2551 เวลา:16:05:34 น. คะ
ขอบคุณที่แวะไปอ่านเรื่องตอนเก่านะคะ

เป็นความรู้สึกเดียวกันค่ะ

 
 

โดย: tiki_ทิกิ unlogged in IP: 125.25.102.178 วันที่: 30 เมษายน 2551 เวลา:7:03:27 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๓
ไปก็ไป..บีบกันขนาดนี้ !!!
..ตัดสินใจแล้ว

(ต่อ) ๔


ช่วงก่อนที่จะถึงเวลา วันดีเดย์ของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าก็ลากตัว
นิคกี้ไปหาอาจารย์ ส.ที่สำนักอาจารย์ ณ บางพลัด และ ไปครั้งนั้น มีการ
พูดจากับอาจารย์ ส. ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทนที่จะอยู่เรือนไม้หลังนั้นได้อีก
แล้ว...
วันนั้น คนที่ร้องห่มร้องไห้ ทูลอาจารย์ ส. เป็นภาษาเทพ ออกมา
พรั่งพรู คือภาคที่อยู่ในร่างข้าพเจ้า
อาจารย์ ส.บอกสามีข้าพเจ้า เมื่อได้ยินเสียงภาษาเทพ จากปาก
ข้าพเจ้าว่า
"เขาทูลขึ้นว่าไม่อยู่แล้ว อยู่ไม่ได้ นิค..เธอเป็นสามีเขา องค์ใน
ภรรยาเขาไม่อยู่บ้านเธอ แล้ว จะไปไหน ก็ต้องไป "
หลังจากร้องไห้ร้องห่มทูลภาษาเทพ แถลงความรู้สึกอัดอั้นตัน
ใจสุดที่จะทนทานกับท่านอาจารย์ ส. แล้ว ข้าพเจ้าก็ ปรับตัวเองให้พูดภาษา
ไทยบอกอาจารย์ ส. ว่า จะขอไปอยู่บ้านพ่อบ้านแม่ตัวเองไปก่อน แล้วค่อย
ขยับขยายทีหลัง


~~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~


อาจารย์ ส. จึงถาม นิคกี้ว่า เขาคิดว่าอย่างไร ถึงเวลาต้อง
ตัดสินใจจะไปกับลูกกับเมียหรือปล่อยให้เขาออกไปกันเอง วันนั้น นิคกี้
ตอบอย่างมั่นคงเข้มแข็งว่า
" ไป ก็ไป ครับ "


อาจารย์ให้วัน เวลา ย้ายไว้ ว่าเป็น "วันตัว" คือวันเกิดของเรา
ให้นำพระพุทธรูป ที่นอน ข้าวสาร น้ำดื่ม เงินทอง นำข้าวของเครื่องใช้
จำเป็นไปก่อน ตามฤกษ์ยามที่ต้องย้ายกัน
ข้าพเจ้าและ นิคไม่ได้บอกคุณพ่อคุณแม่เขาทราบเลยว่า กำลัง
จะไปกันแล้ว ...ก็รู้กันอยู่ว่า ลองพ่อแม่ออกมาห้ามปรามเอะอะมีหรือที่นิคกี้
จะกล้าก้าวออกจากบ้าน... ตามที่ได้คุยกับอาจารย์ถึงฤกษ์ยามปลอดยาม
สะดวกของเราแล้ว เราก็ขนของขึ้นรถกระบะสองตอนเรากันเงียบ ๆ ขน
ของเท่าที่ขนได้ไปก่อน พอขนเสร็จจับลูกทั้งสองขึ้นไปนั่งในรถเรียบร้อย
เปิดประตูบ้านสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้ว เราสองคนก็ลงไปยืนกราบลาคุณแม่
ของเขา ซึ่งออกมาเพราะได้ยินเสียงรถและเห็นการเคลื่อนไหวของเรา

"หนูขอลาย้ายไปอยู่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก่อน ค่ะ ไว้ลูกชายโต
แล้วจะให้เขากลับมารับใช้คุณแม่ "

นั่นละ คนที่ท่านพูดกระทบไว้เสมอ " ชั้นละกลัวใจเธอจริงๆ "
ข้าพเจ้าไม่ได้โหดไม่ได้เหี้ยมอะไรเท่าไหร่ แต่เมื่อถึงเวลาที่มันไม่อาจจะ
เป็นไปด้วยดี และ อยู่ไปก็มีแต่เสียกับเสีย..ข้าพเจ้าก็ตัดสินใจไปแล้ว..
ได้เห็นใจกันตอนนี้แหละ

น้ำตาคุณแม่สามีร่วงรินมาให้ข้าพเจ้าเห็นเลยจากตาแดง ๆ ของ
ท่าน นึกแล้วก็สงสารท่านเหมือนกัน แต่คนเรา.. จะทนให้กดขี่ข่มเหงน้ำใจ
สิ้นอิสระภาพกันต่อไป...วันนี้ที่ข้าพเจ้าบันทึกจะมีไหม ? อาจจะมีเหมือนกัน
เหลือคนที่ไม่มีศักดิ์ศรีสักคนที่ก่นด่าตัวเองทุกวี่ทุกวัน เมาเช้าเมาเย็นแบบ
พวกผู้หญิงไร้อนาคตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นทั่วไป เพียงเพราะไม่อาจหักดิบ
ตัวเองออกจากร่องรอยความทุกข์ อาจเพราะ "เกรงคนเขาว่า"..
.แต่คงไม่ใช่ข้าพเจ้าดอก...
หากไม่ตัดขาดกันแต่วันนั้น. .ชีวิตและอิสระภาพ และศักดิ์ศรี
ความเป็นมนุษย์ จะหาได้จากไหน ?

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:19:58 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๓
ไปก็ไป!!..ตัดสินใจแล้ว

ตัดสินใจแล้ว

(ต่อ) ๕


เมื่อขับรถกันออกมา ลูกทั้งสองนั้น ดีอกดีใจที่จะได้ไปอยู่บ้าน
คุณตาคุณยายกันทั้งคู่ ..ข้าพเจ้านั้นโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก มีความ
รู้สึกเหมือนพ้นนรก...อย่างที่เขาว่ากันเลย

ไปถึงบ้านคุณพ่อ ตรงส่วนห้องรับแขกคุณพ่อ ข้าพเจ้าก็ให้
นิคอัญเชิญ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตัก ๒๙ นิ้วของเรา ขึ้นไปตั้งบนชั้น
ที่เราถอดมาจากบ้านคุณแม่สามี เชิญท่านประทับ ตรงที่ที่ตรงกับทางเข้า
ออกประตู ไปจุดธูปไหว้พระทั้งในห้องคุณพ่อคุณแม่ และ จุดธูปหน้าพระ
ตัวเอง จุดธูปจุดเทียนบูชาบอกกล่าวท่านเจ้าที่เจ้าทางให้เมตตากับครอบ
ครัวเราและลูกทั้งสองที่กำลังเข้ามาอยู่ที่นั่นในคืนนั้น จัดปูที่นอน ลงบน
เตียงตั่งไม้สักที่คุณพ่อท่านไว้นอนเล่นตอนบ่าย

นำข้าวของเครื่องใช้จำเป็น ข้าวสาร น้ำดื่ม และ เงินทองไปวาง
บนเตียง รู้สึกอบอุ่นอย่างยิ่งที่ได้กลับไปอยู่กับคุณพ่อคุณแม่อีกครั้ง----
--------ไม่รู้รอบที่เท่าไหร่ แล้ว

แต่พอวันรุ่งขึ้น คุณแม่สามีก็เริ่มโทรศัพท์มารบกวน พูดกับคุณแม่
ข้าพเจ้า คนเรานั้น เมื่อถึงคราจนมุมเข้า ใครเลยจะโทษตัวเองหรือการ
กระทำที่ล้ำเส้นขนาดหนักของตน ก็คงจะยกแต่คุณงามความดีร้อยแปดพัน
เก้าของตนมาเชิดชู แล้วก็ ลำเลิกเบิกประจาน และ กดขี่ข่มเหงศัตรูคู่อาฆาต
อีกฝ่ายให้ย่อยยับคาเท้า
ข้าพเจ้าคงถูกสับเสียจนไม่มีชิ้นดี จนทำให้คุณแม่ข้าพเจ้านั้น
เกิดอาการหัวเสีย อารมณ์ไม่ดี ดุว่าข้าพเจ้าหลายประการ มองข้าพเจ้าเป็น
เด็กเล่นขายของ ไม่รู้จักอดทน คนเขาเมตตาดีขนาดไหนไม่รู้ว่าดี ฯลฯ
เออนะ ..
เพราะสำหรับคุณแม่แล้ว ก็รู้กันอยู่ว่าท่านหน้าบางขนาดไหน
ท่านก็คงจะ เสียหน้า อย่างมากด้วย และ คง หวั่นเกรง การแตกหัก แตก
แยก ฯลฯ ที่จะต้องเป็นไปอีก ท่านหาได้รู้ไม่ว่า ข้าพเจ้านั้นถูกกระทำอย่าง
ไรบ้าง สิ่งที่ท่านต้องการคือให้ครอบครัวข้าพเจัานั้น กลับไปอยู่บ้านหลังนั้นอีกให้ได้...

%%%%%%%%%%%%%% %%%%%%%%%%%%
จบบทที่ ๒๓
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:20:53 น.  

 
 
 
ฝากไว้ท้ายบท

เรื่องของคน จิตใจของคนนี้เป็นเรื่องยากอธิบาย

สิ่งเล็ก สิ่งน้อยที่เรากระทำไป มองเสมือนไม่ให้ความสำคัญแก่เขานิดเดียว
กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต
การข้องเกี่ยวกับมนุษย์เป็นเรื่องลึกซึ้ง ที่ตำรับตำราธรรมดาหาได้
สอนได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ ในสมัยโบราณจึงต้องมี กุนซือ เพื่อคอยชี้แนะ
หนทางเดิน วิธีการพูดจา และ อื่น ๆ ของชีวิตให้เรา ซึ่งคิดในอีกแง่ ของการ
ดำเนินชีวิตอย่างระมัดระวัง เป็นเรื่องจำเป็นมาก ๆ เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว
ในโลก เราต้องพึ่งพาอาศัยชาวบ้าน เปรียบ น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า อัชฌาศัย
อย่างไรก็อย่างนั้น

เส้นทางการเดินของวรรณกรรมแต่ละเรื่องแต่ละบทบาท ทำให้
เกิดการคิดว่า "ปั้ดโธ่แค่นี้เองเรอะทำมาคุย" แต่หากอ่านไปเรื่อย ๆ เราจะ
เห็น ภาพบางอย่างเกิดขึ้นในใจ

หากคุณเคย เรียนรู้วิธี ดูการขึ้นลงของชีวิต ด้วยการ บวก วัน
เดือน ปี เกิด ลงไปในกระดาษ ครบ 12 ตัวเลข แล้วทำกราฟ ย้อนไป
ย้อนมาใน รอบ 12 นักษัตรดู ย้อนทวนความเป็นไปของชีวิตดูแต่ละรอบ
จะต้องประหลาดใจที่ทำไมมันขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ถึงขนาดนั้น

ชีวิตของคนบางคนเท่านั้น ที่เมื่อ เขียนกราฟแล้ว จะดำเนินราบ
เรียบเจอเขาไม่สูง เหวไม่ลึก ...

แต่ส่วนใหญ่ของผู้คนที่แบกกรรม กันไว้มากมาย คือกร๊าฟอัน-ขึ้น ๆ ลง
อย่างน่ากลัวเพราะสูงก็สูงสุดเหลือเกิน จรดเลข ๑๒ แต่พอคว่ำลงมา มันก็
จอดที่เลข๑ เฉียดศูนย์ -0-น่าเสียวไส้ยิ่ง
และชีวิตของข้าพเจ้า ก็คือกร๊าฟอันขึ้น ๆ ลง ๆ เพราะคนเขียน
ไม่บันยะบันยังกับกรรมหรือวิบากที่ตัวเองทำไว้เลย.

~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 2 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:09:43 น.  

 
 
 
แวะมาแก้ไข link ค่ะ
บท ๓๔
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=08-06-2008&group=7&gblog=29
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:1:48:31 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com