ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
♣..♥ Novel ..My land ที่ดินผืนนั้น ♥ ♣.

ที่ดินผืนนั้น...
ถือเป็นผืนแรกที่ข้าพเจ้าเคยมี และ ก็นับว่าเป็นผืนเดียว
ที่ยังอยู่ยงคงกระพันและบริสุทธิ์อยู่..

แต่

แต่กว่าจะได้มา กว่าจะได้ครอบครอง กว่าจะได้เป็น
เจ้าของ....มันเป็นเรื่องยาว... ผสานไปด้วย ข้อมูลเกี่ยวพัน
กับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ที่มันเหลือเชื่อ ...เหลือเชื่อจริง ๆ

จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 14 มี.ค. 51 21:39:11 ]
นับเป็นนิยายเรื่องยาวเรื่องแรกที่ข้าพเจ้าเขียนที่เว็บพันทิป
เริ่มด้วย อารัมภบท บทหนึ่ง บทสอง และ บทสาม ในหน้านี้ค่ะ
ที่นี่ค่ะ
ที่ดินผืนนั้น บทที่ผ่านไป
(ภาคหนึ่ง) บทที่ ๑-๘ //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2008/03/W6423525/W6423525.html

---------------------------------------------------------------
31 กรกฎาคม พ.ศ.2554 เวลา 12:25 นาฬิกา
วันนี้ เข้ามาโน้ตไว้ว่า ได้นำเรื่องของตัวเอง ไปลง ที่เฟซบุ๊ค ในชื่อ นามปากกา ซึ่งตั้งไว้เพื่อจะใช้ในงานเขียนต่อไป ค่ะ //www.facebook.com/note.php?saved&¬e_id=154273034649661

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~



Create Date : 16 มีนาคม 2551
Last Update : 31 กรกฎาคม 2554 12:23:40 น. 7 comments
Counter : 646 Pageviews.  
 
 
 
 

ปกติเห็นชื่อคุณแต่งกลอนนะครับ

แต่เวลาคุณเขียนเรื่องสั้นก็น่าอ่านเชียวครับผม
 
 

โดย: ห่วงใย วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:6:38:09 น.  

 
 
 
อิๆๆ ยาวค่ะ ไว้ว่างก่อนแล้วมาใหม่ค่า รักษาสุขภาพนะค๊า
 
 

โดย: Handmade วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:23:52:31 น.  

 
 
 
อารัมภบท

ข้าพเจ้าเป็นคนกรุงเทพฯ เกิดที่เขตดุสิต..อยู่สามเสนมาแต่
เกิด แต่พอถึงอายุสิบสามเป็นต้นมา ครอบครัวเราก็ต้องย้ายจาก
บ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ในเนื้อที่ ๔๐ ตารางวา ซอยศรีย่านหนึ่ง
ไปสู่เขตอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

มีบางสิ่งในชีวิตที่ขาดหายไปและ ฝังแน่นในจิตใจ
ในการย้ายบ้านครั้งนั้น ที่ย้ายไปจาก "บ้าน" ที่เราคิดว่าเป็นบ้าน
ของเรา ไปสู่อาณาจักรเรือนพักข้าราชการ... จากการที่รับทราบ
ว่า แม่ "ขายบ้าน" ของเราไปโยกย้ายถิ่นฐานไป สู่ ความ -ไม่มีบ้าน -
แต่อาศัยบ้านหลวงอยู่ มันทำให้ข้าพเจ้า หดหู่ใจเป็นอย่างยิ่ง และ
มันกัดกร่อน บั่นทอนความรู้สึกอย่างน่าเจ็บปวด ... ความรู้สึก ที่
อ้างว้าง เกาะกินใจ...ที่ดินที่เราเคยวิ่งเล่นไล่จับกันไปมา ในเนื้อ
ที่ บ้าน ที่เป็นบ้านของเรา บัดนั้น มันได้กลายเป็นอดีตแห่งความ
อิสระ และ ต้องกลับกลายเป็นคนอยู่อาศัย ในเรือนราชการไปเสีย
แล้ว

สมบัติมากมายหลายรายการ ได้รับการขนย้ายเข้าไปสุมรวม
กันในบ้านไม้เรียงแถว ชั้นตรี ที่ ทางหัวหน้าหน่วยงานดูแลราชการที่นั่น
ให้คำตอบว่า บ้าน ชั้นเอก เต็ม รอบ้านชั้นโท ริมถนนที่อาจจะว่าง ทั้งที่
ก่อนหน้านั้น เขาให้คำตอบไว้ว่า ..มีบ้านชั้นเอกให้คุณพ่อ

หกชีวิต ย้ายเข้าไปนอนรวมกันในบ้านเรือนแถว เช้าก็ขึ้นรถราชการ
ของคุณพ่อ เข้ากรุงเทพฯเหมือนเดิม พี่ๆ เรียนโรงเรียนฝรั่ง แถวถนนสามเสน
ใกล้สะพานซังฮี้ ส่วนข้าพเจ้าเรียนโรงเรียนสาธิตดังแห่งหนึ่งแถวท่าวาสุกรี
และ คุณแม่ ก็ไปทำงานแถบบางลำพู...

ชีวิตที่เคยมีระเบียบในการเดินทางสั้น ๆ จากศรีย่าน สู่ท่าวาสุกรีใกล้ ๆ
บัดนั้น ได้ ใช้เวลายาวนานในการนั่งรถวันละเป็นชั่วโมงทุกวัน บนถนนลาดยาง
หลังเต่าที่วิ่งผ่านทุ่งนาเขียวขจี ผ่านอากาศบริสุทธิ์สู่เมือง. คนขับจะนำรถไปส่ง
คุณพ่อ ณ กรมฯ ที่สามเสน ่ก่อนจะขับต่อพาลูก ๆ คุณพ่อสี่คนไปยังสี่แยกซังฮี้
ลง ณ จุดนั้น ทั้งหมด และ ส่งต่อคุณแม่ ณ บางลำพู...เวลาที่ใช้ยาวนานขึ้นอีก
หลายเท่า...มันใช้เวลานานมากกว่าข้าพเจ้าจะชินการเดินทางไกลขนาดนั้นและ
ได้ พลิกแพลงหาวิธีเดินทางไปโรงเรียนเองหลายครั้งในเวลาต่อมา เย็นลง ก็รอ
คอยให้คนขับรถไปรับพี่ชายที่โรงเรียน ของเขา แล้วย้อนกลับมารับข้าพเจ้า และ
กลับไปคอยคุณพ่อที่ที่ทำงาน บางครั้งข้าพเจ้าก็ต้องไปคอยอยู่บ้านเพื่อนคุณพ่อ
หลายบ้าน แถวราชวัตร บางทีก็ต้องไปคอยอยู่บ้านญาติคุณแม่ที่บางกระบือ รอ
จนกว่า คุณพ่อจะประชุมเสร็จและกลับด้วนกัน ระยะหลังต่อมาพี่ชายและ น้องชาย
ข้าพเจ้าก็จะขึ้นรถประจำทางกลับไปบ้านกันเอง นาน ๆ ทีข้าพเจ้าก็จะเดินทาง
กลับไปเอง จนย้ายโรงเรียนไปไกลขึ้นอีกนิด แถบแถวอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
ถนนราชดำเนิน พี่ชายก็ย้ายไปโรงเรียนวัดชื่อดังแถบยศเส และ พี่ชายน้องชาย
อีกสองคนนั้น ก็ย้ายไปอยู่ทางพญาไท จึงต่างคน ต่างมีวิถีชีวิตการเดินทางที่
เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ และ บ้านก็ย้ายจาก หลังแถวเรียงนั้นไปสู่บ้านหลังใหญ่ริมถนน
ที่ทำให้การเดินทางขึ้นรถประจำทางหรือ รถอื่น ๆ เป็นไปโดยสะดวกกว่าเดิม

ข้าพเจ้ามองไปยังทุ่งนาสองข้างทาง และ คิดว่า วันหนึ่งข้าพเจ้าคงจะ
ได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่เหล่านั้นบ้าง มองไปยังสีเขียวของท้องทุ่งและเกิดความ
กระหายที่จะมีบ้านและที่ดินของตัวเองสักแปลง...และนั่นเป็นความคิดของนักเรียน
คนหนึ่งที่เดินทางไปมาบนถนนราดยางหลังเต่าเส้นนั้น...กรุงเทพฯ-ปากเกร็ด วัน
ที่ข้าพเจ้า ยังกำเงินวันละสิบบาทไปโรงเรียน วันที่ ค่ารถเมล์กรุงเทพฯปากเกร็ด
ยังจ่ายระยะละ ห้าสิบสตางค์ และ ข้าวที่โรงเรียนยังจานละบาทถึงหกสลึงอยู่
น้ำแข็งยังแก้วละ ยี่สิบห้าสตางค์..และข้าพเจ้ายังไม่รู้ว่าจะหาเงินอย่างไร แต่
ข้าพเจ้าฝันแล้ว..ว่าจะมีที่สักแปลง..!!

จบอารัมภบท
: tiki_ทิกิ - [ 14 มี.ค. 51 22:38:49 ]
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html#1

@@@@@ @@@@@
: tiki_ทิกิ วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:3:28:01 น.

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
@@@@@ @@@@@
บทที่หนึ่ง ณ หน้าห้องเรียน

การย้ายไปอยู่ที่ใหม่ที่ปากเกร็ดในระยะแรก ข้าพเจ้ายังเรียนอยู่ที่โรงเรียน
สาธิตวิทยาลัยครูฯ แห่งนั้น.. กว่าจะรอให้คุณพ่อคุณแม่แต่งตัวให้เสร็จ กว่าจะ
รอพี่ทั้งสามที่เคยแสนสบายเมื่ออยู่ที่บ้านเสร็จทั้งหมด กว่าจะนวยนาดกันขึ้นรถ
แลนด์โรเวอร์ประจำตำแหน่งคุณพ่อ ซึ่งข้าพเจ้าได้สิทธิ์นั่งกลางระหว่างคุณพ่อ
คุณแม่เพียงผู้เดียว ด้านหน้าคู่กับคนขับประจำตำแหน่งของคุณพ่อ มักเป็นน้อง
ชายคนเล็ก หรือบางครั้งก็พี่ชายคนโต ส่วนด้านหลัง ซึ่งมีเบาะสีเทาเปิดลงนั่ง
ได้และขนของได้นั้น พี่ชายคนรองกับพี่ชายคนโต มักชอบไปนั่งที่นั่น

รถจะเลี้ยวออกจากประตูกรมใหญ่ตรงกลาง แล้ววิ่งเลียบไปตามถนน
หลังเต่าเส้นปากเกร็ด-นนทบุรี จนถึงสามแยก ใหญ่นนทบุรี เลี้ยวไปตามถนน
บางซื่อ เลียบไปตามถนนประชาราษฎร์บางโพ ผ่านแยกกรมพลาธิการทหาร
ผ่านโรงเรียนโยธินบูรณะ ผ่านกรมปตอ ทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ผ่านแยก
โรงเรียนราชินีบน ไปถึงกรมฯที่คุณพ่อทำงาน เลี้ยวเข้าไปส่งคุณพ่อหน้าตึกที่
ทำการท่านแล้ว ก็ นั่งต่อไป ผ่านสี่แยกศรีย่านมองไปทางบ้านเก่าตัวเอง นั่นน่ะ
ปาเข้าไปเกือบชั่วโมงแล้ว...จากนั้น รถจะข้ามสะพานน้อยๆ ผ่านวัดโบสถ์ ผ่าน
สี่แยกวชิระ มองไปยังโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าเกิด ผ่านสี่แยกซังฮี้ เลยไปนิดจะจอด
เพื่อให้พี่ชายและ น้องชาย ลงข้ามถนนไปยังโรงเรียนฝรั่งของเขาทั้งสาม จากนั้น
เลยไปอีกหน่อยเลี้ยวซ้ายหน้าท่าวาสุกรี รถจอดหน้าโรงเรียน ส่งข้าพเจ้าและ ไป
ส่งคุณแม่ต่อ...

ข้าพเจ้าเดินถือกระเป๋าที่หนักอึ้งเข้าไป ผ่านตึกใหญ่หน้าโรงเรียนที่มี
ท่านอาจารย์กำลังจ้องเขม็งสำรวจการแต่งกายของข้าพเจ้าอยู่ จำได้ว่าทุกวันศุกร์
เราต้องแต่งชุดอนุกาชาด หรือชุดลูกเสืออะไรสักอย่าง ที่จะต้องเป็นเสื้อแขนยาว
มีผ้าผูกคอม้วนๆ ผูกที่คอ พอเข้าโรงเรียน ก็ต้องมีกฎให้สวมหมวกยาวๆ พับไว้
กางออกมาเหมือนเรือ วางแหมะไปบนหัวเรา แล้วก็เดินเชิด ๆหน่อย แต่เวลานั้น
ต้องทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมผ่านท่านไป ท่านยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู แล้วมองข้าพเจ้า
ซึ่งท่านก็เห็นอยู่ว่าเพิ่งลงจากรถคันใหญ่ที่มาส่งหน้าโรงเรียน แต่สายตาอันตำหนิ
ติเตียนนั้น ได้ทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกผิดอย่างร้ายแรง มันสั่นประสาทให้รู้สึกเข่าอ่อน
ไปโดยบัดดลใครจะคิดว่า การไปโรงเรียนสายนี่มันเหมือนกำลังเดินไปสู่แดน
ประหาร ข้าพเจ้าเดินแบบ เชิดๆ เพราะหมวกแปะอยู่บนหัว แล้วค่อยเดินแกมวิ่ง
จนหางเปียสองข้างแกว่งไหว ตรงไปขึ้นบันไดเพื่อจะไปชั้นบนตึก จนถึงหน้าห้อง
เรียนให้เร็วที่สุดให้ได้
มันก็สายเหมือนหลาย ๆ วันที่ข้าพเจ้าไม่เคยไปทันโรงเรียน พอข้าพเจ้า
โผล่หน้าไปหน้าห้องปั๊บ ท่านอาจารย์ระดับสูงซึ่งจะมาสอนวันพิเศษเป็นกรณีพิเศษ
ในวิชาเกี่ยวก้บที่เราต้องแต่งตัวกันวันนั้น ก็ทักออกมาด้วยเสียงเรียบเข้มงวดดัง
จากห้องทันที
"เธอมาสายอีกแล้ว ยายน้ำมนต์"
เสียงนั้นดังเหมือนฟ้าผ่าลงมาฟาดหน้าเปรี้ยงเลย ยิ่งกว่าหน้าแหกหน้าแตก
อะไรที่เขาว่า มันเค้นให้ข้าพเจ้าปวดร้าวหัวใจ สมองอึงอลไปด้วยความแค้นแน่น
สุดในฐานะที่เคยมาแต่เช้าเข้าทันโรงเรียน บัดนั้น ข้าพเจ้ากลายเป็นไอ้ทึ่มที่ยืน
จ๋องไหล่ลู่อยู่หน้าห้อง [ แค้นที่บ้านมันไกล(โว้ย) ] ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นไอ้
คนน่าธุเรศน่าสมเพช ที่ถูกเพื่อน ๆ ในห้อง ซึ่งนั่งกันประจำที่อย่างเรียบร้อยดีเด่น
ทั้งหลายนั้นมองมายังข้าพเจ้าเป็นตาเดียว ก็คล้าย ๆ กับที่ข้าพเจ้าในฐานะไอ้จอม
แก่นประจำห้องซึ่งต้องถูก"คุณคู" เรียกไปคาบไม้บันทัดยืนกางแขนยกขาเดียว
อยู่หน้าห้องมาแต่ชั้นอนุบาลนั่นแหละ

แต่วันนั้นมันไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนี่ ข้าพเจ้าเริ่มเป็นเด็กรุ่นสาวแล้ว
นะ ไม่ใช่เด็กเล็ก ๆอย่างแต่ก่อน ทำไมอาจารย์จะต้องลงทัณฑ์พิพากษาข้าพเจ้า
ราวกับเป็นโจรร้ายอะไรอย่างนั่นเล่า มันผิดด้วยหรือที่บ้านไกลจนมาโรงเรียนให้
ทันเหมือนเก่าไม่ได้ ม้นผิดอะไรที่ข้าพเจ้าซึ่งเคยเป็นเด็กเรียนดีระดับหนึ่งในสาม
ของห้องต้องกลายเป็นเด็กน่ารังเกียจเพราะการมาสาย มันน่าอับอายแค่ไหนที่
ต้องถูกท่านอาจารย์ส่งเสียงขนาดนั้น
พลัน น้ำตาจากความอัดอั้นตันใจก็ไหลพรูลงมา ข้าพเจ้าจะร้องไป
ละล่ำละลักพูดไปอะไรก็มิทราบ แต่ก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมหน้าห้องเรียนไปใน
วันนั้นอย่างที่ต้องจดจำไปอีกนาน ว่าการมาสายนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโต มัน
แค้น แค้น แน่นหัวใจ ว่า ทำไม คนเรา ต้องเรียนต่อไปให้ดีให้เด่น แต่บ้านมันห่าง
ไกลออกไปจากเดิมถึงเกือบสี่สิบกิโล เทียบได้ กับคน อยู่พัทยาเดินทางไปเรียน
สัตหีบอะไรทำนองนั้น ....
เสียงร้องไห้โฮโฮดังลั่น กับน้ำตาอันเจ็บช้ำน้ำใจของข้าพเจ้า คงได้ทำ
ให้ท่านตกใจไม่น้อยไปกว่าข้าพเจ้า พอท่านอาจารย์ตั้งสติได้ ก็เลยเข้ามาลูบหลัง
ลูบไหล่ สอบถามได้ความว่าอย่างไรจึงมาสาย พ่อแม่ตายหรือใครเป็นอะไรไป
หรือกระไร ข้าพเจ้าก็คงจะพร่ำพรรณนาว่า มันสายเพราะต้องรอคนนั้นคนนี้เพื่อที่
จะมาให้ทันโรงเรียนอะไรทำนองนั้น ท่านจึงให้ข้าพเจ้าเดินไปนั่งที่ ในขณะที่
เพื่อนทั้งห้องก็มองข้าพเจ้าอย่างได้ดูละครตลกยามเช้าหน้าห้อง..หมดกัน ไอ้เสื้อ
แสงที่รีดเรียบร้อยผมเผ้าที่เฝ้าถักเปียมาดูดีบัดนั้นมันมะล่อกมะแล่กไปหมดแล้ว
เพราะน้ำหูน้ำตาที่ไหลออกมาให้ข้าพเจ้าเอาแขนเสื้อ เอาผ้าผูกคอ ไปเช็ดนั่นเอง

แต่แล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มชิน ชินเสียแล้วก้บการไปถึงโรงเรียนสาย ชิน
แล้วกับอะไรบ้า ๆ บอ ๆ ที่มันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ยอมแพ้ดอก ข้าพเจ้าเป็นคน
เรียนเก่งและจะไม่ยอมแพ้ กับการต้องเดินทางไปโรงเรียนไกลอย่างนั้น ข้าพเจ้า
จะเร่งให้ทุกคนตื่นขึ้นแต่เช้าให้ทัน ปลุกทุกคนให้ลุกให้เข้าห้องน้ำ ให้ทุกคนไป
ขึ้นรถ แล้วก็เร่งคนขับ ที่ส่งคุณพ่อแล้วให้ซิ่งมากขึ้น กว่าเดิม ซึ่งเขาจะถูกสั่งให้
ขับรถที่ความเร็ว ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับให้ม้นเร็วอีกหน่อยซิ

และนั่นเป็นภาพในระยะต้นของการย้ายบ้าน ไปอยู่ไกลขึ้นกับโรงเรียน
สาธิตประถมตอนปลาย ของข้าพเจ้า
(จบบทหนึ่ง- ไว้เท่านี้ก่อน - ยังมีต่อค่ะ)
: tiki_ทิกิ - [ 15 มี.ค. 51 10:32:28 ]
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html#2
: tiki_ทิกิ วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:3:29:46 น.

@@@@@ @@@@

บทหนึ่ง ( ต่อ )

เรื่องไปโรงเรียนสายนั้นมันเป็นพฤติกรรมหล่อหลอมที่ยากจะแก้ไข
อยู่นาน แต่ไม่นานนัก ก็มาถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าปราถนาจะไปเรียนโรงเรียน
ระดับมัธยมต้นโรงเรียนสตรีฯล้วน ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งมีชื่อเสียง
ว่ามีแต่นักเรียนเรียนเก่งทั้งนั้นที่จะสอบเข้าได้ แม้นคุณแม่จะคัดค้านแต่
ประการใด ข้าพเจ้าก็หาฟังไม่ ข้าพเจ้าโตแล้ว จะไม่อยู่กับพวกเพื่อน ๆ ที่
เห็นกันมาแต่อนุบาลอย่างนั้นอีกแล้ว ข้าพเจ้าจะไปเรียนกับโรงเรียนที่มีแต่
เด็กเก่งแล้วละ แล้วก็ไปสมัครสอบ และ สอบเข้าได้


@@@@@ @@@@


~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทสอง - ขึ้นมัธยม

ช่วงนั้นดูเหมือนข้าพเจ้าจะจำภาพโรงเรียนมัธยมต้นของข้าพเจ้ามิ
ค่อยได้มากนัก ความจำข้าพเจ้ามิค่อยแม่นยำเท่าใด จำได้แต่ว่า ได้อิสระ
เสรีขึ้นในฐานะเด็กโตกว่าเดิมแล้ว คุณพ่อคุณแม่ไปติดต่อรถกระบะคัน
ใหญ่ที่เขาไว้บรรทุกคนราชการ"กรมล่าง"ซึ่งอาศัยอยู่ที่ "กรมบน"-ปากเกร็ด
โดยจ่ายเงินให้ทางการทุกเดือน เพื่อเป็นค่ารถให้ข้าพเจ้าได้อาศัยรถกรมฯ
ของคุณพ่อ ไปลงหน้ากรมฯที่สามเสนทุกเช้า เพื่อจะต่อรถเมล์ไปโรงเรียน
ต่อไปอีกสาย

การเดินทางไปกับรถของกรมฯ ช่วงนั้น ทำให้ข้าพเจ้าต้องตื่นแต่เช้า
มืดสักเกือบตีห้า แต่งตัวอย่างเร็ว เสร็จแล้วหิ้วกระเป๋าอันหนักอึ้ง เดินออก
จากประตูกรมฯสำหรับผู้คนเดินเข้าออกตรงข้ามตลาดของกรมฯ ข้ามฝั่งไป
ยังที่นั่งรอรถเมล์แต่เช้ามืดประมาณสักหกโมง รถกรมฯจะขับมาจอดตรง
ป้าย วิ่งไปด้านหลังของรถ ปีนกระไดที่ห้อยมาจากกระบะหลัง ไต่ขึ้นไปแล้ว
รีบ ไปนั่งยังเก้าอี้ไม้ที่ว่างที่เขาเรียงหันหน้าไปทางหน้ารถด้วยกันทั้งหมด

ข้าราชการลูกจ้างกรม ฯ ต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ ที่ต้องเงียบกันอย่างนั้น
เพราะ ด้านข้างรถ ซึ่งทำไว้ให้เป็นผ้าใบม้วนเผื่อฝนตก ก็มีแค่ไม้กระดาน
แผ่นยาวที่ตีแปะจากหน้ารถยาวมาถึงด้านหลังท้ายกระบะ รถบรรทุกอย่าง
สูงของกรม ฯ สูงพอ ๆใกล้เคียงกับรถยีเอ็มซีของทหาร ที่นั่งก็เป็นไม้หันหน้า
ไปหน้ารถสองแถวเรียงจากหัวมาท้าย ลมจะพัดเข้ามาตึง ๆ ตลอดทางที่นั่ง
ไป ลมแรง และ ก็ไม่ค่อยมีใครอยากตะโกนพูดกัน รถจะวิ่งผ่านตามเส้น
ทางเดิม ๆ ที่ข้าพเจ้านั่งรถคุณพ่อไป แสงอาทิตย์จะจับทุ่งนาสองข้างทาง
เห็นบ้านคนเป็นระยะ ๆ บ้านไม้สองชั้นบ้างชั้นเดียวบ้าง ถนนลาดยางนูนหลัง
เต่าตรงกลางนั้น ไม่เอื้ออำนวยให้รถวิ่งเร็วเท่าไหร่ เพราะ หากเบรคกระทัน
หันก็มีสิทธิ์ลงไปนอนแอ้งแม้งในคูน้ำข้างทางได้

ข้าพเจ้าลิ้มชิมรส การเดินทางผ่านที่ต่างๆ ทุกเช้ามืด อย่างไม่ค่อย
รู้เรื่องเท่าใด เพราะมักอาศัยเส้นทางไกล ๆนั้น นั่งสับประหงกไปตลอดทาง
มากกว่าจะดูวิวฟ้าใสนั้น พอไปถึงปลายทางหน้ากรมฯล่างสามเสน ข้าพเจ้า
ก็ไต่กระไดลงอย่างระวังหน่อยเพราะการนุ่งกระโปรงจีบรอบตัว ชุดนักเรียน
โรงเรียนสตรีฯ อย่างนั้นอาจพะเยิบพะยาบปลิวโชว์ชั้นในได้ ก็ต้องรีบลง
ด้วย เพราะรถเขาจะเลี้ยวเข้ากรมฯ

ลงไปยืนคอยรถเมล์สายไหนก็ได้ที่วิ่งไปทางบางลำพู ไปลงรถที่ตลาด
บางลำพูซึ่งเต็มไปด้วยอาหารการกินยั่วน้ำลายที่สุด แต่ข้าพเจ้าก็ผ่านไป
อย่างไม่สนใจ รีบจะไปให้ถึงโรงเรียนให้เร็วที่สุด ผ่านร้านรวง และ ทางไป
วัดบวรนิเวศวิหาร ตรงไปจนถึงถนนดินสอ แล้วรีบเข้าไปในกำแพงนั้น ซึ่ง
ทันทีที่เข้าไปแล้ว ก็ไม่ผิดกับทหารถูกส่งเข้ากรม เพราะเข้าไปแล้วหาก
โรงเรียนยังไม่เลิกก็ห้ามออกเด็ดขาด พอถึงห้องเรียน ห้อง ค ของข้าพเจ้า
ได้ รีบวางกระเป๋าแล้ว วิ่งไปหาอาหารเช้ากินเร็วด่วนมิฉะนั้นจะไม่ทันมาเข้า
แถวเรียน

ขั้นตอนการมีชีวิตส่วนใหญ่กลางวันทั้งวันอยู่ที่โรงเรียนกว่าจะจบลง
ตอนเย็น ก็นั่งรอกันอยู่หน้าโรงเรียนตามสนามหญ้า เพื่อรอรถคุณพ่อมารับ
โดย นายคนขับตัวใหญ่ของคุณพ่อ จะเลี้ยวรถเข้ามา พอเห็นเข้าก็จะรีบลุก
ไปขึ้นรถ จากนั้นชีวิตก็เข้าสู่วังวนของการเดินทางและการรอคอย ตามบ้าน
เพื่อนคุณพ่อ หรือ บ้านญาติคุณแม่ อย่างที่กล่าว เพราะญาติคุณพ่อนั้น อยู่
คนละเส้นทางกับการเดินทางกลับข้าพเจ้าจึงมิค่อยได้ไปบ้านญาติคุณพ่อ
นอกจากการเยี่ยมเยียน นาน ๆ ครั้ง

กว่าจะรวบรวมทุกคนเสร็จสรรพเพื่อกลับบ้านปากเกร็ดในกรมฯ
นั้นก็มักปาเข้าไปจนเย็นจนค่ำ กลับถึงบ้านไม้หลังใหญ่สองชั้น นั้น ข้าพเจ้า
จะตรงดิ่งไปยังโต๊ะอาหารยาวใหญ่ที่คุณพ่อวางตั้งไว้ ด้านล่างตรงยกพื้นไม้
ระหว่างบ้านกับเรือนล่าง ข้าวสวยร้อน ๆ พร้อมอาหารอย่างดี คนรับใช้ของ
คุณแม่ ( ซึ่งมีไม่เคยขาด) ทำไว้ให้เรียบร้อย เล่นก้บหมา กับ กระต่าย กับ
หนูพุกในกรงเลี้ยง จากนั้น ข้าพเจ้าก็จะขึ้นไปข้างบน ไปอาบน้ำ แล้วเข้าห้อง
ส่วนตัวของข้าพเจ้า ซึ่งมีหิ้งพระใหญ่ด้วย ทำการบ้านที่โต๊ะ จนเสร็จสรรพ
กลับลงไปดูทีวีข้างล่างบ้าน ซึ่งสมัยนั้น เป็นทีวีขาวดำ ยังไม่มีสี และ รับ
โทรศัพท์ ! โทรศัพท์จากเพื่อนจากฝูง มากมาย ซึ่งนิยมโทรฯ หากัน
เครื่องจะเป็นที่แขวนข้างฝา แล้วหูโทรศัพท์ก็วางอยู่ด้านบน เวลาเราจะโทรฯ
ออกที ต้อง หมุนเลขศูนย์ จนกว่าโอปะเรเตอร์จะมารับสาย บอกเบอร์เขา
แล้วเขาจะต่อให้ แต่ส่วนใหญ่ ข้าพเจ้าจะรับสายของหลาย ๆ คนที่โทรฯมา
แล้วก็คุยกันจนสายกรม ฯ เขาตัดออกไป

ถึงแม้บ้านจะอยู่ไกลหน่อย แต่ความสะดวกสบายก็เริ่มมีขึ้นมากกว่า
เดิม ที่บ้านหลวงนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ ว่าเราต้องจ่ายค่าน้ำค่าไฟหรือไม่
แต่น่าจะเป็นการใช้น้ำฟรี ไฟฟรีเสียมากกว่า และโทรศัพท์นี้ก็คิดว่าฟรีอีก
หากคิดเป็นเงินเป็นทองแล้ว เหมือนการไปอาศัยบ้านหลวงอยู่ในวัยนั้นของ
ข้าพเจ้า ได้อภิสิทธิ์มากมายในการอยู่อาศัย เหนือกว่าการอยู่บ้านเก่าที่
ศรีย่านของเรามากนัก

ชีวิตในช่วงต้นนั้น คงเป็นไปอย่างราบรื่นในปีแรก แต่ความสนใจ
ของเพื่อนใหม่ ๆ ที่เริ่มมีเข้าหากันในโรงเรียน ทำให้ข้าพเจ้าเป็นนักกิจกรรม
สันทนาการของโรงเรียนมากกว่าจะเป็นนักเรียนคร่ำเคร่งในวิชาการ การ
เรียนที่เคยได้ ๘๐ กว่าเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปที่เก่า ก็เหลือเพียง ๗๐ กว่า
เปอร์เซ็นต์ และ ย้ายห้องลงไปอีกห้องหนึ่งในปีถัดไป

ชีวิตในยามเย็นในระยะต่อมา เมื่อกลับเองด้วยรถเมล์แล้ว
กลับถึงบ้านเร็วขึ้น คุณพ่อก็ให้เพื่อนข้าราชการของท่าน ขับรถมาจากบ้าน
เขาพร้อมด้วยลูกสาวลูกชายของเขามารับพวกข้าพเจ้าที่หน้าบ้าน แล้วก็เริ่ม
ไปตีแบดมินตัน และ เล่นบาร์ในโรงยิมของกรมฯ ทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นนัก
แบดมินตันเยาวชน ประจำกรมฯ ไปในระยะนั้น อันหมายถึงการเดินทางไป
แข่งขันกีฬาเขตประเทศไทยต่างจังหวัด ระยะต่อมาอีกสองสามปีหลังจากนั้น
ด้วย

(จบบทสอง )---
: tiki_ทิกิ - [ 15 มี.ค. 51 12:01:25 ]

//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html#3
: tiki_ทิกิ วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:3:32:14 น.

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 29 มีนาคม 2551 เวลา:8:53:39 น.  

 
 
 

@@@@@ @@@@

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทสาม นักเรียนประจำจำเป็น

ใครจะไปคิดว่า อยู่แค่ปากเกร็ดจะต้องไปอยู่ประจำ..? ก็เมื่อต้อง
เรียนหนังสือที่ โรงเรียนสตรีฯ ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย นั้น.ในปีที่สอง
คือปีพุทธศักราช ๒๕๐๘ ...การเรียนหนักหน่วงยังไม่ค่อยเท่าไหร่แต่ต้อง
ซ้อมดนตรีเล่นตีนิ้งหน่องจนเย็นค่ำเกือบทุกวัน เพื่อฝึกซ้อมการแสดงวง
ดุริยางค์หน้าพระที่นั่งในงานเอเชี่ยนเกมส์ที่จะมาถึงในปีนั้นทำให้คุณแม่
ตัดสินใจให้ข้าพเจ้าไปเป็นนักเรียนประจำกรณีพิเศษ คืออยู่ในความดูแล
ของท่านอาจารย์ทิพย์อาจารย์ผู้ปกครอง ซึ่งท่านพักอยู่ในบ้านไม้ขนาด
ไม่เล็กนักบริเวณหลังตึกเรียนและไม่ไกลจากโรงอาหารใหญ่หรือเวทีของ
โรงเรียน

การต้องจากแม่ชั่วขณะนั้นเป็นความทุกข์ของข้าพเจ้าพอสมควร
ตอนที่แม่ให้ไปพักอยู่บ้านอาจารย์ผู้ปกครอง ข้าพเจ้าจำได้ถึง ที่นอนบาง ๆ
ที่ปูเรียงแถวให้นักเรียนรุ่นใหญ่อีกสองคน กับ นักเรียนรุ่นเล็กอย่างข้าพเจ้า
และ เพื่อนอีกสองสามคนในห้องเดียวกัน ทำให้ข้าพเจ้าค่อยคลายเหงาลง
ไปได้บ้าง กินอิ่มด้วยอาหารรสชาติที่พอกินได้ เช่น แกงหัวไชเท้าต้มเค็ม
กับกระดูกหมู และผัดผักรวมอะไรสักอย่างสองอย่าง

จากการที่เคยแต่นอนคนเดียว บนเตียงเดี่ยวที่แม่จัดให้เป็นพิเศษ
ไม่ว่าจะอยู่บ้านหลังใด ในฐานะลูกสาวคนเดียวของแม่ แต่บัดนั้น ต้องรีบ
อาบน้ำ อาบท่า เมื่อถึงคิวอาบ ห้องน้ำก็ไม่ค่อยสะอาดนัก ตามพื้นและฝา
ที่เป็นซีเมนต์ฉาบไว้ มักมีพวกตัวสีดำเล็ก ๆ เกาะอยู่ ข้าพเจ้าจะรีบๆอาบ
แล้วขึ้นมารีบเข้านอนบนฟูกบาง ๆที่มีไว้ให้ปูนอนคนละที่ นับเป็นการนอน
พร้อมกันกับเด็กผู้หญิงและผู้หญิงสาวที่ข้าพเจ้าเพิ่งเคยรู้จักหลายคนที่นั่น
และนอนหลับสนิทอย่างปลอดภัยในบ้านท่านอาจารย์หลังนั้น เรียนรู้
ความเป็นผู้หญิงมากขึ้น ในการอยู่ในบ้านอาจารย์ซึ่งเป็นสาวแก่

การนอนเรียงกันไปทำให้ข้าพเจ้าจำกลิ่นแปลก ๆ จากสรีระผู้หญิง
เวลามีรอบเดือน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึก ว่ามันน่ารังเกียจอย่างใด เพราะ
โรงเรียนสตรีของข้าพเจ้านั้น นักเรียนค่อนข้างเรียนเก่งกันทั้งนั้น และ
ทุกคนที่ได้เข้าไปอยู่ที่บ้านพักท่านอาจารย์ก็ล้วนแต่สดใสสะอาดสะอ้าน
ความประพฤติดี มีแต่ความคิดดี ๆที่อยากจะเรียนหนังสือให้ดีให้เก่งกัน
เท่านั้น ข้าพเจ้าจึงได้เรียนรู้ธรรมชาติของผู้หญิงรุ่นเดียวและรุ่นเหนือกว่า
หลายปีที่นั่น นอกเหนือไปจากญาติลูกคุณลุงคุณอา หรือลูก ๆ เพื่อน
คุณพ่อคุณแม่ ที่ได้เคยกินเล่นนอนด้วยกันมาแต่เล็ก นับเป็นการปรับตัว
ครั้งใหม่ อันเนื่องมาแต่ "บ้านไกล"อีกครั้ง

ความที่ข้าพเจ้าเป็นนักกิจกรรมสารพัดของโรงเรียน ทั้งเป็นนักดนตรี
วงดุริยางค์โรงเรียน เป็นนักแสดง ในเวลาเขามีรายการต้องเต้นต้องโชว์
อะไร ก็ทำให้การอยู่บ้านท่านอาจารย์ระยะนั้นเป็นการเอื้ออำนวยให้การ
ฝึกซ้อมแสดงต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี นอกจากจะต้องเรียนมากแล้ว เย็นลงก็
ต้องลงไป ฝึกตีนิ้งหน่องหรือเบลล์ไลน์( Bell line) ด้วยเพลงวงดุริยางค์
สารพัด มีเพื่อนชั้นเดียวกัน ห้องเดียวกัน อีกคน ที่ได้แสดงร่วมกันอยู่
แถวหน้ากับข้าพเจ้า รองมาจากดรัมเมเยอร์ด้วย ที่จะสนิทกันมากหน่อย

เราฝึกฝนกันทุกเย็นจนเข้าขาเข้ามือเข้าจังหวะกันได้หมดแล้วก็เป็น
การให้วงดุริยางค์โรงเรียน วัดสุทธิวรารามมาร่วมซ้อมให้เข้ากัน เพราะหมาย
ถึงต้องเดินเลี้ยวขบวนเลี้ยวไปเลี้ยวมาระหว่างแถวฯลฯ ที่สนามกีฬาแห่งชาติ
นั้นด้วย จากนั้นมา ก็ถึงขบวนการตัดชุดเสื้อผ้าเป็นผ้าต่วนสีขาวผสานกับ
เสื้อในชีฟองสีขาวแขนยาว และ ด้านหน้า คาดแถบสีสีแดงสามสี ชุดพวก
ข้าพเจ้าเป็นดูน่ารักธรรมดาเรียบเรียบ แต่ชุดดรัมเมเยอร์ หรือ "พี่ป๊อด" ของ
เรานั้นสิ เป็นต่วนสีแดงเลือดนก สวยมาก อีกทั้ง พี่ป๊อดของเรานั้น หน้าสวย
คมราวลูกครึ่งฝรั่ง ยิ่งทำให้ วงของเรานั้นเด่นดังฮือฮากันเป็นที่ยิ่ง แน่ละ
ข้าพเจ้านั้นสนุกสุดใจอย่างยิ่ง เรื่องเดินทางบ้านไกลก็วางไปได้เลยในปีนั้น
ตั้งหน้าตั้งตาฝึกซ้อมกันให้เนี้ยบสุดไม่มีตกหล่นสักกริ๊งเดียว ตีระนาดใน
อากาศได้อย่างสบายประสาคนมีกิ๊ฟท์ แล้วก็ถึงเวลาแสดงหน้าพระที่นั่ง
งานนั้น ...แต่ ข้าพเจ้าเป็นบ้าอะไรที่หวนคิดไปก็จำชีวิตช่วงนั้นไม่ค่อยได้
เพื่อนเก่าโรงเรียนสตรีฯ ดังกล่าว เป็นคนทบทวนให้รู้ว่า วงดุริยางค์นั้นเล่น
ที่ งานเอเชี่ยนเกมส์ ไม่ใช่ งานซีเกมส์ ดังที่ข้าพเจ้าไม่ได้จดไม่ได้จำไว้เลย

เมื่อการแสดงหน้าพระที่นั่งร่วมกับวงดุริยางค์วัดสุทธิวราราม จบลง
ข้าพเจ้าก็ลุยกิจกรรมอื่นของโรงเรียนต่ออีก เช่น นักเต้นโมเติร์นด้านซ์ และ
อีกหลายอย่าง แล้วก็นับเป็นกรรมอย่างยิ่ง ที่คุณแม่ท่านก็บ่นว่า ค่าใช้จ่าย
ของข้าพเจ้าชักมากเกินการ จึงควรกลับไปอยู่ที่บ้านดังเดิม เลิกอยู่ประจำ
อย่างจำเป็นได้แล้ว

: tiki_ทิกิ - [ 16 มี.ค. 51 00:07:52 ]
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html#7
: tiki_ทิกิ วันที่: 16 มีนาคม 2551 เวลา:3:37:13 น.

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

บทสาม (ต่อ)- เลิกเป็นนักเรียนประจำ-

นั่นแหละ ข้าพเจ้า จึงต้องเป็นนักเดินทางไกลอีกครั้งและ ครั้งนี้
ได้ผนวกการรีบกลับบ้านด้วยรถเมล์เอง และ ดิ่งตรงไปตีแบดมินตันกับคณะ
พรรคลูกชาวกรมฯ ด้วยเพื่อเป็นนักกีฬาอีกช่วงหนึ่ง

ไปเล่นกีฬาทุกวัน มีเพื่อนวัยต่าง ๆ ที่ต่างเข้าไปเล่นกีฬาทำให้
เรียนรู้ชีวิตของเด็กในกรมฯ มากกว่าเก่า และเริ่มรู้สึกว่า การมีบ้านไกล ๆ
ไม่ได้อยู่ในเมืองดังก่อน ก็มิได้เป็นความทุกข์ยากอะไรอย่างที่เคยคิดกังวล
กลับเป็นการเสริมการเรียนรู้ชีวิตไปอีกแง่

ไปตีแบดทุกเย็น และวอร์มร่างกายก่อนเล่นด้วยการโหนบาร์คู่เป็น
ประจำ ทำให้ร่างกายนั้นยืดอย่างเร็ว ข้าพเจ้าสูงขึ้นอีกมากในระยะนี้ และ
กินเก่งมาก ทันทีที่กลับถึงบ้าน ก็จะคอพับคออ่อนหมดแรง บางคืนก็มิได้
อาบน้ำ มุด ๆ นอน ทั้งชุดตีแบดที่เป็นเสื้อยืดขาวและกางเกงขาสั้นสีขาว

ในช่วงนั้น บ้านเราก็ได้ต้อนรับครอบครัว คุณปู่คุณย่า ซึ่งท่านกำลัง
ปรับปรุงบ้านใหม่ เลยย้ายมาอาศัยบ้านเราชั่วคราว คุณปู่คุณย่าก็มานอนอยู่
ที่ห้องข้าพเจ้านั่นเอง โดยท่านนอนเตียงใหญ่เตียงหนึ่ง และ ท่านยกเตียง
นอนเหล็กสี่เสามาให้ข้าพเจ้านอน นับเป็นเตียงที่ข้าพเจ้าเคยนอนกับคุณปู่
คุณย่าสมัยที่ข้าพเจ้ายังเล็กและอยู่ที่บ้านศรีย่าน ข้าพเจ้าชอบเตียงนั้นมาก
และ ปีนขึ้นไปนอนทั้งชุดกีฬาดังว่า ยังจำความรู้สึกรักใครที่ท่านทั้งสองมี
ต่อข้าพเจ้าได้ไม่เคยลืม และ คุณย่าจะ บ่นแกมขำกับข้าพเจ้าเสมอว่า

"ไอ้นี่มันยังไงนะ มันกลับมาจากตีแบดแล้วก็หัวซุกหัวซุนไม่อาบน้ำ
เข้านอนไปเลย "

มันช่วยไม่ได้เลยกับเด็กที่ต้องตื่นเช้าเพื่อไปเรียนให้ทัน แถมต้อง
ไปเล่นกีฬาอย่างเอาเป็นเอาตายฝึกซ้อมขนาดหนัก ทั้งตีเดี่ยว ตีคู่ ทำให้
ข้าพเจ้า ไปเรียนอย่างง้วงเหงาหาวนอนเป็นประจำ และ การเรียนก็ไม่ค่อย
ทันไม่เก่งกาจเหมือนเก่า ทำให้เลื่อนห้องไปอยู่ห้อง ฉ.ฉิ่งใน ชั้นมัธยมสาม
แต่การต้องลงไปอยู่กับห้องที่เขานับว่านักเรียนเรียนไม่ค่อยเก่งอะไร หรือ
ห้องบ๊วยของชั้นนั่นเอง กลับทำให้ข้าพเจ้าเรียนได้ที่หนึ่งของห้องไปเลย
(อิ อิ ) ก็นับว่าดีไปอีกอย่าง

ในช่วงอายุดังกล่าวที่ข้าพเจ้าฝึกซ้อมแบดมินตันอย่างหนัก ก็มีอยู่
ครั้งหนึ่ง ที่ต้องเดินทางไปกับคณะพรรคก๊วนแบดดังกล่าว โดยคุณลุงเพื่อน
คุณพ่อเป็นโต้โผจัดการ พาคณะเราทั้งหมด ขึ้นไปแข่งกีฬาเขตที่สุโขทัย
(ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้จำผิดนะ )เป็นขบวนใหญ่ อันมีน้องชายคนเดียวของเราก็
ขึ้นไปแข่งด้วยในครั้งนี้
การเดินทาง ไปกับรถกระบะโดยสารของกรมฯ อย่างที่ข้าพเจ้าไป
โรงเรียนทุกเช้านั้น พวกเราต้องนั่งดมฝุ่นแดง เอาผ้าปิดจมูกไว้ แล้วหัวหูเรา
ทุกคนก็เปลี่ยนเป็นลูกฝรั่งกันหมด สมัยก่อน ถนนหนทางไม่ใช่อย่างที่เรา
เห็นกันในปัจจุบัน มันเป็นลูกรังสีแดงเป็นส่วนใหญ่ รถวิ่งไปทางไหน ขี้ฝุ่น
แดงมันก็คลุ้งไปที่นั่น แต่พวกเรานักกีฬาเขตทั้งหมด เฮฮาสนุกสนานกัน
เป็นที่ยิ่ง การเดินทางทำให้เรารู้สึกรักใคร่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และ ลง
แข่งกันอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้านั้นได้เพียงเหรียญทองแดงมาเหรียญหนึ่ง
จะเป็นลงแข่งเดี่ยว หรือ คู่ ข้าพเจ้าก็จำไม่ได้ เหรียญดังกล่าวอยู่บ้านหลัง
ไหน หายไปที่ไหน ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เก็บ ไม่ได้จำ .. ส่วนน้องชายนั้น ได้
เหรียญเงินมาหนึ่งเหรียญ มานึกถึงวันนี้ หากเรายังได้ ฝึกซ้อมต่อไปไม่
หนักไปทางเรียนหนังสืออย่างต่อมา เราอาจได้ดีไปทางกีฬาเลยก็เป็นได้

และเพราะการไปเล่นแบดทุกวันกลับมืด ๆ สามทุ่มกว่าสี่ทุ่มทุก
คืนนั้น มีครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าก็เจอโจทก์ ตอนก้าวลงจากรถคุณลุง ฯ ที่ท่าน
มาส่ง กระโดดลงหน้าบ้าน เปิดกลอนรั้วเตี้ย ๆนั้น ก้าวพรวดลงไปที่พื้น ทันที
นั้น ก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ขา มันเป็นตะขาบตัวใหญ่ที่แว้งกลับมาอีกด้านกัดขา
บริเวณเหนือถุงเท้าเข้าอย่างจัง นับเป็นครั้งแรกที่ถูกสัตว์มีพิษกัดเอา และ
ต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดอย่างแรงกล้า กินยาแก้ปวดอันใด ก็ไม่ได้
เพราะแพ้ยาแก้ปวดทุกชนิด ข้าพเจ้าเป็นไข้อยู่หลายวันเพราะพิษตะขาบ
นั้น ซึ่งทำให้รู้จักความประมาท ไม่ระมัดระวังตัว

ไม่นับที่ไปเล่นน้ำเล่นท่ากันในบ่อในบึงของกรมฯ ในช่วงเพิ่งไปอยู่
กันใหม่ ๆ เรื่องเสี่ยงความเป็นความตายของข้าพเจ้าในกรม ฯ ก็มี เช่น
ในขณะที่ไปขี่รถเล่นกับพวกลูกข้าราชการในกรมฯ ในวัยเด็กนั้น ..ข้าพเจ้าก็
เคยขี่จักรยานแล้วทำรถล้มไปอยู่ที่ล้อรถคันใหญ่ของธนาคารออมสิน ที่มา
รับเงินฝากบัญชีของเด็กในวันเสาร์ฝากของเด็ก ดีที่เขาห้ามล้อเบรคเอี๊ยด
ได้ทัน ข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นจากพื้นถนนก็เห็นล้อใหญ่ของเขาอยู่ตรงหน้าเลย
นั้นก็น่าจะเป็นครั้งแรกของการเสี่ยงตายที่กรมฯ ปากเกร็ด


นึกไปแล้วให้หวนคิดถึง ว่าอีกครั้งหนึ่งที่ได้ติดตามคุณพ่อท่านไป
ตรวจราชการหัวเมือง ไปโคราช หรือ นครราชสีมา แวะที่คลองเพรียว ไป
บ้านราชการคุณลุงคนหนึ่ง พวกเราเด็ก ๆ ก็ชวนกันไปลงเล่นน้ำในคลอง
เพรียว ซึ่งมีทั้งญาติอีกสองสามคนที่ไปเที่ยวกันด้วย ข้าพเจ้าไม่ชินการสวม
ผ้าถุงลงน้ำ แต่เห็นเขาทำลอยตุ๊บป่องกันได้ด้วยก็เอากับเขาบ้าง เปลี่ยน
ผ้าถุงโดดลงน้ำคลองเพรียวเลย มีช่วงหนึ่ง เกิดเหมือนไปอยู่ตรงที่น้ำดูด น้ำ
วน ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนใครมาฉุดเท้าตัวเองให้จมลงไป จนผ้าถุงหลุดลงไป
แล้ว แต่ตะเกียกตะกายทะลึ่งพรวดขึ้นมาได้ ..เป็นอีกครั้งที่รู้สึกว่าความตาย
ใกล้ตัวมากแต่กลับรอดมาได้ จะเพราะพระช่วยหรืออะไร ไม่อาจตอบได้
และ ...พอหวนคิดถึงวันเหล่านั้น..

..................ว่าข้าพเจ้าพ้นมัจจุราชมา........

ก็จำได้ ว่า ช่วงเวลานั้น เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นตอนดึก
และโผล่หน้าไปดูหน้าบ้านในกรมฯ นั้นครั้งใด ก็มักเห็นคนนุ่งผ้าแดง ไม่ใส่
เสื้อมายืนอยู่แถวรั้วข้างบ้าน นั้นตอนดึก หลายคืน เป็นบ่อย ๆ ข้าพเจ้ารู้ตัว
เองว่าเป็นคนพูดเพราะ ไม่พูดหยาบคาย แต่แปลกที่ในเวลาที่ตื่นมาดึก ๆ
อย่างนั้นมักจะร้องตะโกนใส่เจ้าคนที่ข้าพเจ้าเห็น ว่า
"มะรึงมายุ่งกับกะรู ทำไม ไป ไป๊ ไปให้พ้น"
ข้าพเจ้ามักจะเห็นนายนุ่งผ้าแดง ที่มายืนอย่างนั้น ช่วงดึกมาก ๆ
และมักเป็นการตื่นขึ้นตอนดึก และ มักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าตะโกนไปทำไม แต่
ไม่ใช่เพราะกลัวเขาแน่ ๆ ข้าพเจ้าไม่ค่อยกลัวอะไรเพราะมีหิ้งพระทั้งหิ้งอยู่
ข้าง ๆหัวเตียงข้าพเจ้า แต่รู้สึกแปลกใจเวลาเล่าให้ลูกหลานฟังในวันเก่า ๆ
นั้น แปลกใจว่า ข้าพเจ้ารู้ได้อย่างไร ว่าเขาจะมาคอยอยู่เวลาไหน และ รู้ได้
อย่างไรว่าไม่ต้องไปกลัว แถมไล่เขาเปิดเปิงทุกครั้งได้อย่างไร ?

(จบบท สามค่ะ )
: tiki_ทิกิ - [ 16 มี.ค. 51 02:47:22 ]
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6423525/W6423525.html#8
:

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%




( กดตรงนี้เพื่อตอบข้อความ )

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=28-03-2008&group=7&gblog=6

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 30 มีนาคม 2551 เวลา:12:18:26 น.  

 
 
 
มาบอกว่า ตอบตรงนี้ได้ค่ะ ไม่ต้องไปช่องรวมอันนั้นแล้ว
เพราะมีคนบ่นว่า เม้นต์ตรงไหนก็ได้ดีกว่า ค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 4 เมษายน 2551 เวลา:0:38:19 น.  

 
 
 
After formatting my comp and could connect to Internet,I couldn't type thai again !!
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 มกราคม 2554 เวลา:17:44:22 น.  

 
 
 
วันนี้ เข้ามาโน้ตไว้ว่า ได้นำเรื่องของตัวเอง ไปลง ที่เฟซบุ๊ค ในชื่อ นามปากกา ซึ่งตั้งไว้เพื่อจะใช้ในงานเขียนต่อไป ค่ะ //www.facebook.com/note.php?saved&¬e_id=154273034649661
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 31 กรกฎาคม 2554 เวลา:12:22:24 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com