ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
สู่ภาคกลาง ของ นิยาย ชีวิตสู้ชีวิต "ที่ดินผืนนั้น " อารัมภบทและ บท เริ่ม ๔๑ ไป

สู่ภาคกลาง ของ นิยาย ชีวิตสู้ชีวิต "ที่ดินผืนนั้น "
อารัมภบทและ บท เริ่ม ๔๑ ไป

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

* ภาคกลาง * แห่ง " ที่ดินผืนนั้น " "

เริ่ม ชุดสอง แห่งนิยาย ชีวิตสู้ชีวิต ของข้าพเจ้า


%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@

ที่ดินผืนนั้น
ภาค แรก
บทที่ผ่านไป
บท๑-๘ //topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2008/03/W6423525/W6423525.html

บทที่ ๓๙-๔๐ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6759529/W6759529.html

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

* ภาคกลาง * แห่ง " ที่ดินผืนนั้น " "

เริ่ม ชุดสอง แห่งนิยาย ชีวิตสู้ชีวิต ของข้าพเจ้า


อารัมภบท

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@


๔๐ บท ซึ่งผ่านไปใน ภาคแรก ของ "ที่ดินผืนนั้น " ผู้เขียน
หมดแรง หมดพลัง อยู่หลายวัน เพราะความเครียดของมนุษย์ผู้ต้องต่อสู้
เวลาอันผ่านไปประดุจล้อกรรมหมุนไปตามวาระ มันอาจสร้างความเครียดจัด
ตามวิบากกันแค่ช่วงนั้น แล้วได้น้ำทิพย์ชโลมใจให้หายทุกข์หายโศกไปด้วย
อาการต่าง ๆ ได้

แต่สำหรับ การรวบยอด กว่ายี่สิบปี มาลงในเวลา สามเดือนนั้น
( ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๑ -๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ มันบีบคั้นหัวใจให้รู้สึกเหลือจะ
ทานทน มันแทบจะไม่อยากอ่านสิ่งซึ่งได้บันทึกย้อนไปเอาในเวลาที่ได้พิมพ์
หน้ารวมมาอ่าน เพื่อแก้ไข อักขระตัวอักษร การสะกด และ แก้ไขเนื้อหา
สาระ รวมทั้งสำนวนให้ต่อเนื่องเลื่อนไหลไปนั้นด้วย

หากเปรียบเทียบภาพของข้าพเจ้า ว่าหากหวนไปถึงวันเก่า ๆ
อันเสมือนช่วงเวลาอับเฉาชีวิต นั้น ช่วงเวลาเหล่านั้น มันทุกข์ทรมาณยิ่งนัก

ภาพเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งชอบเข้าไปซุกใต้โต๊ะ หลบไม้เรียว
คุณแม่ โลกใต้โต๊ะของข้าพเจ้าในวันนั้น ช่วยทำให้หลบทุกข์ไปได้บ้าง แต่
ในโลกจริง เมื่อเจริญวัย สูงวัย เลือกทางชีวิตทั้งหมดมาเองดังที่ผ่านไปนั้น
ไม่มีที่ไหนในโลก จะให้ข้าพเจ้าไปนั่งแอบซุกใต้โต๊ะ เหมือนเมื่อวัยเยาว์

นับจากวันที่จบ บทที่ ๔๐ วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ที่ผ่าน
มา ข้าพเจ้าเขียนอะไรไม่ออก และไม่อยากอ่านหรือแก้ไขต้นฉบับเดิมมา
เป็นเวลาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านไป หากจะมีอาชีพเป็นนักเขียนนิยาย ป่านนี้
ท่านบรรณาธิการคงจะเตรียมคัดชื่อออกจากวงการหนังสือไปแล้ว

ข้าพเจ้าไม่ได้หมดเรื่องที่จะเขียนแต่อย่างใด แต่ความหนักอึ้ง
สองบ่าอันแบกไว้จนไหล่ลู่นี้ ทำให้แทบจะทำตัวเหมือนเมื่อปีพุทธศักราช
๒๕๒๒-๒๕๒๓ ในช่วงที่ช้าพเจ้าไปพักพิงที่ห้องชุดซึ่งน้องชายมีสิทธิ์พัก
อาศัย ในช่วงนั้น ข้าพเจ้านอนหงายไปบนพื้นห้อง อันเยียบเย็นนั้น สองแขน
สอดเข้าไปที่ต้นคอ มองไปบนเพดานอันว่างเปล่า และ ห้องอันโล่งโถง ซึ่ง
ไม่ค่อยมีสมบัติอะไรในวาระนั้น ไร้บุคคลที่ข้าพเจ้าจะโผหรือซุกเข้าหา เพื่อ
จะซุกหน้าร้องไห้ ไร้ตักนุ่ม ๆ ของแม่ หรือ คุณย่า ซึ่งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่
เคยปรานีต่อข้าพเจ้า อาจจะมีอีกตักหนึ่ง คือ ตักของคุณยายผู้อารีผู้เคย
ขอคุณแม่ ให้ส่งข้าพเจ้าไปให้ท่านเลี้ยง หากว่า คุณแม่ไม่รัก ไม่เอ็นดู
ข้าพเจ้าเลยอย่างนั้น !!

แต่ก็ไม่มีใคร !
มีแต่ห้องอันว่างเปล่า ในเวลาแทบจะสิ้นแล้วซึ่งลมหายใจของ
ข้าพเจ้า มีชีวิตอยู่เสมือนซากอะไรอย่างหนึ่ง แต่อยู่ และ ต่อสู้เพื่อลูกสาว
คนเดียวของตนเท่านั้น

แล้ว ร้องถาม "เจ้ากรรมนายเวร ที่มองไม่เห็น" ว่า
"มีอีกไหม กรรม... ดาหน้ากันเข้ามาเลย มาให้หมดสิ้น มาให้ใช้
กันให้หมดในชาตินี้เลย !!"

ชีวิตซึ่งกำลังจะบันทึกในช่วงต่อไป อาจมองดูน่าสมเพชบาง
ครั้ง อาจมองดูน่าทุเรศในบางช่วง แต่ก็หลายหน ซึ่งมีความสุขปะปน และ
เป็นเสมือนยาสมานใจหรืออาจจะเป็น วัคซีน ให้ข้าพเจ้าสู้โรคแพ้ หรือ ต่อสู้
โลก มาจนถึงวันนี้

และวันนี้ ข้าพเจ้าคิดว่า มีความทรหดอดทนพอที่จะเรียบเรียง
มันกลับมาสู่บรรณโลก อีกครั้ง แม้นว่าม้นจะบีบคั้นหัวใจนัก

บันทึกไว้ ณ เพลา ๒๐: ๕๐ นาฬิกา
เรือนนนทบุรี สยาม ประเทศไทย
พระอาทิตย์ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑
tiki_ทิกิ

~~~~~~~~~~~~~~~~~~




(มีต่อ )

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

วันนี้ เข้ามาดูบล็อกเก่าของเรานี้ และ
ลองโพสรูปดูค่ะ
เรื่องยัง อยู่ในระหว่างเรียบเรียง เดี๋ยวจะสับสนมากค่ะ ตอนนี้

animated graphics Merry X'mas graphics


Create Date : 13 กรกฎาคม 2551
Last Update : 28 ธันวาคม 2551 7:37:40 น. 14 comments
Counter : 483 Pageviews.  
 
 
 
 
คห # 35

เห็นจากกระทู้อื่นๆ ว่าคุณทิกิไปเยี่ยมลูกสาว
ตอนนี้ก็ทำหนังสือธรรมะ
แสดงว่าชีวิตก็ไปได้ดีค่ะ สู้ๆ นะคะ :)

จากคุณ : scottie - [ 5 ก.ค. 51 22:22:18 ]

คุณ : scottie วันนี้ มีแต่ความอดทน ประคองตนไว้ค่ะ

ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจนะคะ


คห # 36

ได้อ่านเรื่องที่คุณทิกิเขียนมาก่อนหน้านี้เหมือนกันค่ะ
เลยคิดว่าน่าจะผ่านเรื่องทั้งหมดมาได้

เสี้ยวชีวิตที่ผ่านมาก็เป็นเรื่องที่อ่านแล้วได้อะไรเยอะทีเดียว
ขอบคุณที่เขียนให้อ่านนะคะ :)

จากคุณ : ปิยะรักษ์ - [ 5 ก.ค. 51 22:58:19 ]

คุณ : ปิยะรักษ์ คะ
เพิ่งฟื้นจาก มึนหมัดน็อคตัวเองค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 13 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:00:30 น.  

 
 
 
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

* ภาคกลาง * แห่ง " ที่ดินผืนนั้น " "

เริ่ม ชุดสอง แห่งนิยาย ชีวิตสู้ชีวิต ของข้าพเจ้า


อารัมภบท

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@
ภาคกลาง แห่ง "ที่ดินผืนนั้น "


บทที่ ๔๑


ไม่มีใครผลักดันให้ข้าพเจ้า เดินไปเดินมาในคอนโดแห่งนั้นราวหนูติดจั่น
หากเป็นตัวข้าพเจ้าเอง ซึ่งร้อนรนกระวนกระวาย ไม่อยากจะอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าจะเช้า
กลางวัน เย็น ค่ำ ดึกดื่น ตลอดคืน สิ่งซึ่ง 'ถีบ' ข้าพเจ้าออกไปจากตรงนั้นทุกวัน
ทุกเวลา คือ ความรู้สึกอันไม่อยากจะเห็นนิคกี้ ความรู้สึกอันเสมือนว่า 'ไปเสียให้
พ้นหน้าเขาได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ' นั่นเอง


บางครั้ง ในเวลาซึ่งข้าพเจ้าจะต้องไปส่ง เอกสารสรรพากรตามภาระ
รายเดือนตามตำแหน่งหน้าที่ของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบจะนั่งทำงานตรงไหน
ในมุมไหนของคอนโดนั้นดี ที่จะนั่งเขียนอย่างมีสมาธิและทำบัญชีนั้นเสร็จตาม
เวลาได้
ข้าพเจ้าหอบเอกสารทั้งหมด ใส่กระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่ หอบไปด้าน
เส้นทางซึ่งจะผ่านไปบ้านคุณแม่ แวะจอดรถที่ศูนย์อาหารชนาดใหญ่ อันซุกตัวอยู่
ในแนวไม้ร่มรื่นแห่ง น้อร์ทพาร์ค ริมถนนซึ่งตัดผ่านสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ด้านเหนือ
พระนครชิดถนนวิภาวดี อันจะทะลุ การเคหะท่าทรายไปโผล่ทางคลองประปา

หอบกระเป๋านั้นขึ้นไปนั่งที่โต๊ะอาหาร สั่งอาหาร และ น้ำ มานั่งรับประทาน
เมื่อ กิน ดื่ม จนเสร็จเรียบร้อย มีพนักงานมาเก็บจานอาหารไปแล้ว ข้าพเจ้าก็จะรื้อ
กระเป๋าเอกสารนั้น คัดรายการตัวเลขรายเดือนส่งภาษีสรรพากร ใส่ไปในแบบฟอร์ม
ราชการ ตีตราประทับ เซ็นชื่อกันสด ๆ และ โทรศัพท์ไปบอกสำนักบัญชีว่า ข้าพเจ้า
จะนำไปส่งเอง แล้วในเดือนนั้น ใช้เวลาไม่มาก รายการบ้ญชีที่สมองไม่สามารถจะ
รวบรวมได้เพราะไร้สมาธิสิ้นเชิงเวลานั่งอยู่ที่คอนโดกับเขา ก็สำเร็จลงได้

แวะไปเยี่ยมคุณแม่สักชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วข้าพเจ้าก็ร่ำลาคุณแม่
ขับรถนำเอกสารดังกล่าวไปส่งสำนักสรรพากร อย่างเรียบร้อย ทันเวลา ทุกวันที่
๗ และ ๑๕ ของเดือนได้

แต่มันจะไม่มีวันยกขึ้นมาเขียนได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น หากนั่งอยู่ที่
คอนโด และ มีสายตา ขวาง ๆ ของคุณนิคกี้ มองพุ่งมายังข้าพเจ้าหากเขาเห็น
หรือได้ยินการเคลื่อนไหวของข้าพเจ้า เพราะเขาประเมินสิ่งเหล่านั้นว่า ข้าพเจ้า
กำลัง ทำลายสมาธิเขา หรือ กำลังสอดแนม หรือกำลังเข้าไปหาเรื่องเขา

ในเมื่อสามีของเราได้กลับกลายจากมิตรในเรือน เพื่อนในบ้านกลาย
เป็น แบบฉบับของศัตรูชนิดหนึ่งซึ่งได้เห็นกับตาและประทับความรู้สึกขนาดนั้น
แล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มเร่ร่อน ไปหาที่ 'นั่งเขียนบัญชี' บางครั้งอาจเป็น สี่แยกใน
ซอยระหว่างถนน พหลโยธิน ต่อกับ ถนนสุทธิสาร ฯ ซึ่งขับรถผ่านไปผ่านมา
ในช่วง เช้า หรือ สาย ๆ เห็นป้าคนหนึ่ง กำลังชงกาแฟร้อน ขายอยู่ข้างถนน
มีม้าหินสีขาวลายหินอ่อนวางไว้ให้นั่ง พร้อมโต๊ะเข้าชุดกัน ซึ่งพอเขียนได้
ข้าพเจ้าก็ลงไปสั่งกาแฟ สั่งขนม และ ยกเอกสารขึ้นมาเขียนกันริมถนน ณ สี่แยก
กันตรงนั้นเลย จนแก แปลกใจ และเริ่มคุ้นชินว่าเมื่อใดข้าพเจ้าไปส่งเอกสารจะ
ต้องไปนั่ง ตรงนั้น เมื่อดื่มกาแฟ รับประทานขนมของแกจนจุใจ ก็สั่งห่อใส่ถุง
เพื่อไปฝากสมาชิกที่บ้านทุกครั้ง เป็นเงินร้อยกว่าบาทขึ้นไป

ป้าแกจึงต้อนรับข้าพเจ้าอย่างเป็นลูกค้าประจำ แกจะมองข้าพเจ้า
อย่างนับถือก็ไม่ใช่ ยกย่องก็ไม่เชิง แต่แกถือว่าเมื่อข้าพเจ้าไปถึงร้านแกครั้งไร
ก็จะเขียนเอกสารเสร็จภายในสิบยี่สิบนาที พร้อมกินขนมดื่มกาแฟของแก และ
แกก็บริการข้าพเจ้าอย่างเอาอกเอาใจ แฝงไว้ด้วยความเห็นใจและเมตตา
ประดุจดัง เป็นญาติคนหนึ่งของข้าพเจ้าซึ่งทำให้คนผู้ขับรถเร่ร่อนแสนว้าเหว่
แสนอ้างว้างไปบนถนนนั้น เต็มอิ่มในน้าใจนั้นไม่รู้ลืม

ข้าพเจ้ากำลังเริ่มชีวิตตัวเองบนท้องถนนอีกครั้งแล้วในวาระนั้น !!

~~~~~~~~~~~๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:20:17 น.  

 
 
 
ภาคกลาง แห่ง "ที่ดินผืนนั้น "


บทที่ ๔๑ (ต่อ ๑ )

ช่วงที่ทำงานรับเหมา ตกแต่งตึกไอที วิทยาลัยครูแห่งหนึ่งด้าน
บางเขน ข้าพเจ้าก็พอมีเงินได้นิดหน่อย ไปมองหา เครื่องเรือนเก่าตัวหนึ่ง
ได้ที่ ร้านทำเฟอร์นิเจอร์เก่า ด้านสวนจตุจักร สั่งเก้าอี้ยาวตัวเก่า ให้ทำ
ลิ้นชักข้างใต้สองลิ้นชัก เพิ่มขี้นเพื่อจะได้ไว้วางหน้าห้องคอนโด แทนโต๊ะ
ทำงานตัวเก่าที่ข้าพเจ้าไปตั้งไว้

ที่คอนโด ข้าพเจ้าต้อง หาแต่ของขนาดเล็กเข้าไปตั้งแทนอะไร
ซึ่งใหญ่ ๆ โต ๆ อย่างที่เคยนิยม
เจ้าของร้านคือ 'แม่ศรี' นั้นพอใจที่ข้าพเจ้าซื้อ โต๊ะนักเรียนไม้สัก
ที่แกไปเหมามาจากโรงเรียนชายแถบพญาไท ข้าพเจ้าซิ้อแกไปสองโต๊ะ
พร้อมเก้าอี้นักเรียนไม้สักชุดเดียวกัน ขนาดเด็กนักเรียน มัธยมต้นเขานั่งกัน
เพื่อไปเก็บของให้ลูกซึ่งโตเกินโต๊ะไปหลายปีนั้น

วันหนึ่ง ความที่เริ่มสนิทกันขึ้นมา แกก็บ่นว่า แกอยากจะเซ้งร้าน
ที่แกครอบครองอยู่มาก บอกราคาว่า อยากเซ้งสัก สองแสน ข้าพเจ้าสนใจ
ไหม ?
ร้านทางจตุจักรฝั่งติดถนนพหลโยธิน ห้องเล็ก ๆ ห้องเดียวเขายัง
เซ้งกันเป็นล้าน นี่พิจารณา ร้านเฟอร์นิเจอร์ 'แม่ศรี' ซึ่งจะแบ่งห้องให้ห้อง
หนึ่ง แถมเนื้อที่ด้านหลังอีกเล็กน้อย แถมจะทำสัญญาตรงกับ การรถไฟฯ
โดยตรงด้วย สร้างความอยากให้ช้าพเจ้าขึ้นมาอีกแล้ว ข้าพเจ้าจึงต่อรอง
แกว่า หากข้าพเจ้ามีไม่ถึงห้าหมื่นให้แก แล้วผ่อนแกสักเดือนละ หมื่นสอง
หมื่นไปสักสิบงวดนี้แกจะให้ข้าพเจ้าไหม แกก็ต่อรองว่า ให้แกอีก งวดละ
สองหมื่นห้า อีกสัก หกงวดแล้วกัน ข้าพเจ้าก็ว่า เออนะ น่าทำ พรุ่งนี้จะลอง
ไปหาเงินมา ถ้าได้ ก็จะนัดแกไปเซ็นโอนกันที่การรถไฟ ฯ ดั่งที่แกว่าเลย

ที่ข้าพเจ้ากำลังหาที่นั่งเงียบ ๆ ตอนกลางวัน เพื่อทำบัญชี นั้นก็
คือสาเหตุ อย่างหนึ่งละ ส่วนผลพลอยได้ นั้น ข้าพเจ้ามองว่า แกมีช่างอยู่
ในมือมากมาย แถมแกเหมาไม้สักเก่ามาอยู่เรื่อย ๆ หากข้าพเจ้าออกแบบ
เปลี่ยนแปลงเฟอร์นิเจอร์เก่าให้แกทำตามแบบไอเดียข้าพเจ้าแล้ว น่าจะเป็น
รายได้ของข้าพเจ้าในอนาคตก็ได้ แถมยังอาจจะมีที่นั่งทำดอกไม้ ประดิษฐ์
หรือของประดิษฐ์อะไรต่าง ๆ อีก และที่แน่ ๆ เช้าจะได้ อัปเปหิตัวเองออก
จากคอนโดให้ไกลหูไกลตา นายนิคกี้ เสียให้พ้น ๆ

เมื่อขณะขับรถกลับบ้านในว้นนั้น ข้าพเจ้าก็โทรศัพท์ไปปรึกษา
ท่านอาจารย์ ส.ณ บางพลัด ดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในบทก่อน ภาคแรกไปแล้ว
ซึ่งท่านอาจารย์ก็พูดตอบทันควันว่า
"ไม่ให้เซ้งที่นั่นเด็ดขาด มีโอกาสถูก
ฆาตกรรม ตายคาห้องนั้นเป็นแน่ ! "
ดังเหตุผลที่ท่านให้ไว้ว่า
" หนึ่ง กลางวันเปลี่ยวมาก ถ้าไม่ใช่เสาร์อาทิตย์ และ สอง
การรถไฟกำลัง ยกเลิกสัญญาทั้งหมด เพื่อจะปรับปรุงที่จอดรถ รถไฟฟ้าใต้ดิน
และ ศูนย์การค้าอื่น เธอไปดู สี่แยกวิทยุ สวนลุมไนท์บาซาร์ จะดีกว่าไหม ?"



~~~~~~~~~~~๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐~~~~~~~~
ต่อนั้นมีใช่ไหมคะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:33:36 น.  

 
 
 

ภาคกลาง แห่ง "ที่ดินผืนนั้น "


บทที่ ๔๑ (ต่อ ๒ )

ข้าพเจ้านั้น เป็นคนตาบอดหูหนวกก็ไม่ปาน เพราะไม่รู้จัก สวน
ลุมไนท์บาซาร์มาก่อนเลย ฟังอาจารย์พูดแล้ว ก็ใจไม่ดี ถามท่าน(ทาง
โทรศัพท์)ว่า
"งั้นจะทำอย่างไรล่ะคะ อาจารย์ ก็ไปตกลงจะเซ้งร้านเขาที่
จตุจักรไว้แล้ว ? "
อาจารย์ท่านก็ตอบทันใจว่า
"ยกเลิกไปเลย ! "

ข้าพเจ้าก็เร่งรีบ ไปหาซื้อหนังสือพิมพ์ที่เขากำลังลงโฆษณา
ไนท์บาซาร์ในวันนั้น รีบโทรฯ ไปถามว่า ที่เขากำลังจะเปิดจองนั้นหมดหรือ
ยัง เจ้าหน้าที่เขาก็ตอบว่า ยังพอมีอยู่ ต้องรีบมาเลย เตรียมบัตรประชาชน
และ เอกสารห้างร้านฯ ที่มีอยู่มาด้วยเพื่อประกอบการพิจารณา พร้อมเงิน
จอง ห้าหมื่นบาท ไปได้เลย ก่อนหนึ่งทุ่ม !!

ข้าพเจ้ารีบโทรศัพท์ไปตามลูกสาวที่มหาวิทยาลัย ว่าแม่จะไป
รับเธอไปดู แม่จะไปจองร้านค้าที่สวนลุมไนท์บาซาร์ละนะ ลูกสาวก็นัดแนะ
ว่าให้ไปรับเธอด้านไหนของมหาวิทยาลัย แล้วเราก็ขับรถไปถึง สี่แยกถนน
วิทยุที่โรงเรียนเตรียมทหารฯ เก่า นั่นเอง

เมื่อเข้าไปดูสถานที่ ซึ่งช่าง กำลังตีผัง ตีหลังคา ตีฝาร้านค้าซึ่ง
แบ่งไว้เป็นช่อง ๆ ขนาดสัก ๒ เมตร คูณ ๒.๕ เมตร ได้ ข้าพเจ้าดูแล้วก็
โทรศัพท์ถามท่านอาจารย์ไปเป็นระยะ ๆ ว่าตรงไหนดี นะ อาจารย์ ห้องนี้
ห้อง นั้นได้ไหม ท่านก็บอกว่าควรจะเลือก ริมถนน หัวมุม แต่ ห้องริม
ถนนหัวมุมนั้น เขาให้วางดาวน์ถึง แสนบาท ข้าพเจ้ามีแค่ห้าหมื่น คงไม่อาจ
จะจองห้องริมถนนหัวมุมได้
ท่านก็บอก ตามใจ ซอยไหนก็ได้ โซนหน้า ๆ หน่อย

ตุณแซนดี้ ลูกสาวนั้น ออกอาการโมโหข้าพเจ้าหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ทันทีที่ได้เห็น ร้องบอกว่า "แม่เก็บเงินไว้ แม่อย่าลงทุนเลย " แต่ลูกสาวนั้น
ไม่รู้หรอกว่าข้าพเจ้าอึดอัดกับชีวิตประจำวันระหว่างนั้นขนาดไหน ความ
ทุกข์ที่สั่งสมกันเข้ามาตลอด บีบคั้นให้ข้าพเจ้า ไม่ฟังเสียงทัดทานของลูก

"แม่ทำไมไม่ฟังแซนดี้บ้างเลย แม่เชื่อ แต่ อาจารย์ อาจารย์
อะไรของแม่ อยู่ได้ ทำไมแม่ไม่ฟังว่าแซนดี้ เรียนการตลาด การขายมา
มองไม่เห็นอนาคตเลยว่า แม่จะทำเงินได้อย่างไร ร้านมันดูกระจอกมากนะแม่ "

ข้าพเจ้าไม่ฟังลูกอีกแล้ว ที่ชวนเธอไปนั่นน่ะ เพื่อช่วยเลือกร้าน
ไม่ได้ชวนให้เธอไปขัดขวางข้าพเจ้า ดังนั้น จึงไปกดเงินจากบัญชีธนาคาร
เท่าที่มีมาเกือบทั้งหมด วางเงินจองฉับพลันทันที โดยที่ยังไม่ได้วางแผนเพื่อ
การขายอะไรในวันนั้นเลย ขอเพียงแต่ให้ได้ที่ค้าขายหรือ 'ที่นั่งทำบัญชี
กลางวันและ หนีหน้าสามี ' ซึ่งหากไม่ได้โยกย้ายตัวเองไปจากเขาให้ไว้ที่
สุด ข้าพเจ้าเห็นทีตัวเองกำลังจะระเบิดอกแตกตายแล้วในช่วงนั้น
และ 'เผื่อจะเป็นร้านขายของกระจุกกระจิก' ทำการฝีมือ ต่าง ๆ ต่อไป


ข้าพเจ้าไม่รู้ตัวเองเลยว่ากำลังตกไปอยู่ใน วงรอบหรือวังวนแห่ง
ความทุกข์ซ้ำ ทุกข์ซ้อน และ การตัดสินใจรวดเร็วเหมือนที่เคยพลาดพลั้งมา
ในอดีตอีกครั้งอีกแล้ว !!

ขากลับจาก'สวนลุมไนท์บาซาร์' ในค่ำวันนั้น ลูกสาวข้าพเจ้า
งอนไม่พูดกับข้าพเจ้า ซึ่งเธอว่า ดึ้อดึงไม่ฟังเธอ ไปเกือบตลอดทาง แถม
บ่นอะไรให้ได้ยินอยู่หลายอย่างอันแปลว่าไม่เห็นด้วยทั้งนั้น แถมยิ่งดู กฎ
ระเบียบข้อบังคับว่า ต้องเริ่มเปิดร้านเมื่อไหร่ และ ต้องอยู่ร้านตั้งแต่ เที่ยงวัน
ยันเที่ยงคืน แล้ว เธอก็๋ร้องแต่ว่า

"แม่หาเรื่องอีกแล้ว แม่ !! "


~~~~~~~~~~~๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐~~~~~~~~
ต่อด้านล่างค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:2:43:21 น.  

 
 
 
บทที่ ๔๑ (ต่อ ๓ )

นับจากวันนั้น ข้าพเจ้า ก็ต้องขอโทษขอโพย 'แม่ศรี' อยู่เป็น
เวลานาน แต่ ใช้วิธี สั่งสินค้าเธอเพิ่มขึ้น รวมทั้ง ไม้ปูพื้นอีกจำนวนหนึ่ง
สำหรับตกแต่ง ไนท์บาซาร์ แทน

การจ่ายเงิน ไว้ ห้าหมื่น นั้นเป็นการจ่ายเงินจองเงินดาวน์
อีกเจ็ดวันต่อมา ก็ต้องจ่ายงวดถัดไป เป็นไปตามสัญญาหลายแสนบาท
ที่ทางบริษัทฯ เขาให้ข้าพเจ้าไปเซ็นสัญญาด้วยตัวข้าพเจ้าเองในฐานะ
หุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งต้องรับหน้าสัญญาทางกฎหมายทุกอย่างทุกประการ

ข้าพเจ้าเข้าไปดูร้านบ่อย ๆ ตั้งแต่มันยังเป็นเสาโลหะ สี่เสา
และมีโครงหลังคาอยู่ด้านบนเท่านั้น จนมันปูพื้นซิเมนต์เรียบร้อย นิคกี้
เรียกช่างตกแต่งบ้านลูกค้า เข้าไปทำการ ปูพื้นไม้แดงเข้าลิ้นที่สั่งมาจาก
ร้าน 'แม่ศรี' และ ให้ช่างอีกชุด ลงหินแกรนิตสีดำขัดมันหน้าร้าน ผนังร้าน
ซึ่งเขาตกแต่งด้วย ไม้บอร์ดสีขาวอาบมัน ก็ รอให้ นิคกี้ ซึ่งดูเหมือนเต็มใจ
จะให้ข้าพเจ้าไปนั่งทำงานที่นั่น ช่วยออกแบบให้

ทีท่าเขาก็ดูดีขึ้น เมื่อเห็นความกระตือรือล้นของข้าพเจ้า ซึ่ง
มีความหวัง และ มีอนาคตขึ้น

แน่นอน ความอึดอัดกำลังจะคลายลง จะไม่มีร่างข้าพเจ้าอยู่
ที่คอนโด ทั้งกลางวัน และ กลางคืนอีกด้วย ข้าพเจ้าจะได้ไปพ้นหน้าพ้นตา
เขาไปสักที เขาคงจะได้มีอิสระขึ้น และ ข้าพเจ้าคงจะหายโรควิตกกังวลนั้น
ในไม่ช้า

มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ข้าพเจ้าจะน้อยอกน้อยใจ คุณหุ้นส่วน
และสามีของข้าพเจ้าอย่างนั้น ผลกรรมที่ข้าพเจ้าทำไว้เองมาแต่ในอดีต
ชาติ ได้ย้อนรอยทำเอาข้าพเจ้า โถมตัวลงตกต่ำไปเรื่อย ๆ และก็เป็นพวก
สะใจที่ได้ทำให้ตัวเองเจ็บ อย่างน้อย มันจะทำให้ข้าพเจ้า ลืม ความเจ็บปวด
อันประหนึ่งพิษร้ายเต็มหัวใจนั้นลง


ระหว่างที่ตกแต่งร้าน ข้าพเจ้าก็หาเฟอร์นิเจอร์มาเข้าร้านได้จาก
ร้าน 'แม่ศรี' เกือบทั้งนั้น เช่น ได้ ที่แขวนหนังสือพิมพ์มาตั้งหน้าร้าน เพื่อ
ใส่ม้วนกระดาษสา กระดาษห่อของขวัญ และ ม้วนริบบิ้นมากมายหลากหลาย
สี รวมทั้งใช้ ห้อยผ้าต่าง ๆ ที่พอมีและนำมาขายได้ ไปหาซื้ออุปกรณ์
เพื่อการห่อของขวัญมาเตรียมไว้ และ หาของชำร่วยกระจุกกระจิกมาเผื่อไว้
สำหรับลูกค้าที่จะหาของคริสต์มาส และ ปีใหม่

พอถึงวันที่ ๕ ธันวาคม ในปีนั้น ก็ได้ฤกษ์เปิดร้าน หลายร้านเขา
ยังแต่งไม่เสร็จเพราะ เขามักไปทำพื้นเป็นกระเบื้อง จึงต้องรอให้ปูนบ่มตัว
แต่ของข้าพเจ้า ปูพื้นคืนเดียวเสร็จเรียบร้อย และ เก๋ไก๋ที่ หินแกรนิตสีดำ
ประกอบหน้าร้าน ซึ่งพื้นด้านในเป็นไม้สีส้มอมแดง หรือ ไม้แดงเข้าลิ้นที่ได้
มา....งามอลังการ ด้วย แสงไฟสปอตไลทฺ์ ที่ข้าพเจ้าไป หา ไฟดวงอย่าง
โคมหนีบมาหนีบ ตาม ตู้ สองสามใบ ที่ตั้งด้านใน พร้อม โต๊ะไม้สักเก่าอีก
สองตัว แล้ว ก็หาเครื่องเสียงชุดใหญ่มาตั้งในร้าน ร้านข้าพเจ้ามันดูเก่า ๆ
ขลังยิ่งนัก ... เริ่มเปิดวันแรก ก็มีคนเดินมาดูทั้งซอยกันอยู่แล้ว เพราะมี
แค่ร้านสองร้าน ซึ่งมาเปิด แต่ เที่ยงวัน ยันเที่ยงคืน

ในเวลาไม่ช้า ข้าพเจ้าก็รู้สึก ปลดปล่อย และเป็นอิสระ จากคุก
แคบ ๆ ที่คอนโด ได้โบยบิน ออกจากรัง กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกนัก กว่า
ตีหนึ่ง เกือบตีสองเข้าไปแล้ว... ทำงานให้หนักไว้ ยุ่งวุ่นวายกับการ
ประดิดประดอยห่อของขวัญให้ลูกค้า วุ่นอยู่กับการ บินออกจากรูเล็ก ๆ
เหนือท้องฟ้าของเมืองใหญ่ สู่ เมืองติดดิน ที่เต็มไปด้วย แสงสี และ ใบ
หน้าใหม่ ๆ ของผู้คน เด็ก ๆ เพิ่งจบใหม่จากมหาวิทยาลัย ผู้หลงถ้อยชัก
ชวนและคำโฆษณา ให้ไปเป็นตัวประกอบธุรกิจหลายสิบหลายร้อยล้านของ
นักลงทุนพัฒนาที่ดินทรัพย์สิน ฯ


ขออนุญาตลงเท่านี้ คืนนี้ก่อน พรุ่งนี้จะมาพบใหม่
~~~~~~~~~~~๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:3:00:53 น.  

 
 
 
ภาคกลาง แห่ง "ที่ดินผืนนั้น "


บทที่ ๔๑ (ต่อ ๔ )

ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะไปจองจนถึงทำสัญญาเช่าร้านค้าในไนท์
บาซาร์นั้น มีเหตุการณ์เดินทางไปเชียงใหม่ อย่างกระทันหันอยู่เหตุการณ์
หนึ่ง คือ ญาติสาวสุดเปรี้ยวของคุณแทมมี่ ได้ ส่งข่าวเจาะจงผ่านคุณแทมมี่
มาว่า จะขึ้นไปทำพิธีดูดาวเคราะห์เรียงเก้าดวง ณ เชียงแสน ต้องการคน
ที่มี 'รหัสดอกไม้ ' หนึ่งคนไปช่วยทำให้พิธีการนั้นสำเร็จ ด้วยคนจะต้องครบ
กี่คน ของเธอ ก็ไม่ทราบ ตอนนั้น ข้าพเจ้า ยังทำการจัดดอกไม้ อยู่ คุณ
แทมมี่ เคยบอกคุณ น้องสาวของสามีคุณแทมมี่คนนี้ ไปว่า ข้าพเจ้าจัดดอก
ไม้ และ เวลาที่ไปมีงานไหว้ครูที่ตำหนักเสด็จพ่อ ร. ๕ ของคุณแทมมี่ครั้ง
หนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้พบ น้องสาวของคุณแทมมี่คนนี้ด้วย ข้าพเจ้าขออนุญาต
เรียกเธอว่า' คุณ ออ 'ก็แล้วกัน

'คุณ ออ' ขอเบอร์โทรศัพท์จากข้าพเจ้าไป แล้วแจกหนังสือซึ่ง
เธอพิมพ์เอง เกี่ยวกับประวัติความเป็นมา ของเธอ กับรหัสตัวเลขอะไรมาก
มายไปหมด ในหนังสือนั้น ว่าอดีตชาติ เธอเป็นใครมาบ้าง หลายภพหลาย
ชาติ ล้วนแต่เด่น ๆ ดัง ๆ จนทำให้ข้าพเจ้าอ่านแล้วขำมากมาตลอด

ดังนั้น เมื่อเธอโทรศัพท์ หาข้าพเจ้าครั้งนั้น ว่าเธอกำลังจะขึ้น
เชียงใหม่ ข้าพเจ้าไม่ต้องเสียเงินอะไรทั้งสิ้น ค่าใช้จ่ายเดินทางและอื่น ๆ
ทั้งหมด เธอจะจ่ายให้ และ ที่พัก เธอกำลัง ขอกุญแจคอนโดในเมืองเชียง
ใหม่ ซึ่งเป็นคอนโดของคุณแทมมี่จะให้เราไปพัก

วันที่ได้รับโทรศัพท์' คุณออ' นั้น ก็เกิดความยุ่งเหยิงขึ้นมากมาย
เพราะ หลังจากนั้นไม่กี่นาที คุณแทมมี่ ก็โทรฯ ให้ข้าพเจ้าไปเฝ้าร่างทรง
ร.๕ ด่วน พอข้าพเจ้าโผล่หน้าเข้าไปที่ตำหนักทรง ดังว่า ทั้ง ร่างทรง ซึ่ง
มีประวัติว่า คุณออชอบมาป่วนตำหนักนั้น อยู่เรื่อย ก็คัดค้านออกคำสั่งไม่ให้
ข้าพเจ้าเดินทางไปเหนือในทันที

ข้างฝ่ายข้าพเจ้าก็งงแสนงง ว่า อะไรกันนัก ก็ในเมื่อ'คุณออ'ว่า
ข้าพเจ้าเป็น 'รหัสดอกไม้' มีงานให้ทำนี่นา ข้าพเจ้าก็ เถียงไปว่า ข้าพเจ้ามี
สิทธิ์จะเดินทางไป คุณแทมมี่ก็บอกว่า ที่เขากำลังเดินทางไปนี้ มีแต่ผู้ชาย
ทั้งนั้น และ 'คุณออ' เป็นหญิงคนเดียว และ หากไปพักที่ คอนโดคุณแทมมี่
ก็จะทำให้ข้าพเจ้าเสียชื่อเสียงได้

ข้าพเจ้าก็งง ว่า มันจะเป็นไรไป หากเขาไปทำธุระปะปังกัน ซึ่งตอน
ที่พูดกันนั้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจว่า 'คุณออ' เธอจะไปทำพิธีไหว้อะไร แต่
ร่างทรง ร.๕ ท่าน ก็ กล่าวว่า คณะนี้ กำลังจะไปทำพิธีกรรมเกี่ยวกับการตัด
เวลาพุทธศาสนา ให้ไปสู่ ยุค พระศรีอาริยเมตตรัย ข้าพเจ้าฟังแล้วยิ่งขำ
อีก เพราะความรู้ที่ได้รับมาจาก สำนักหลวงพ่อเสือนั้น ท่านเอ่ยให้ฟังเสมอ
ว่า 'เทพฯ องค์ที่จะทรงมาเกิดเป็นพระศรีอาริยะเมตตรัย ในอนาคตไกลโพ้น
นั้น ยังอยู่เป็นเทพ ชั้นดุสิต '

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึง ประท้วงตำหนักทรง ร.๕ ว่า มาปิดกั้นสิทธิ
มนุษยชนของข้าพเจ้า และก็จะเดินทางไป ดูเหมือนร่างทรง ร.๕ จะ
กล่าวในทำนองว่า ให้ กุมารตนหนึ่งติดตามไปดูแลข้าพเจ้าด้วย

ค่ำนั้น ข้าพเจ้าจึงเดินทางไปกับรถตู้ ซึ่ง'คุณออ'ไปแวะรับที่หน้า
บ้านคุณแม่ข้าพเจ้า ตอนนั้น มีผู้ชายหลายคนอยู่ในรถ ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นว่า
เป็นใครบ้าง แล้วก็ไปรับ คนระดับอาจารย์โปรเฟสเซอร์ ซึ่งพูดน้อย ว่าเป็นผู้
ชำนาญการดูทิศทางดวงดาว และ อีกสองสามคน แล้วก็เดิน่ทางขึ้นเหนือ
ไปโผล่เช้าแถว เชียงราย แวะกินอาหาร ล้างหน้าล้างตา แถวร้านอาหารร้าน
หนึ่ง แล้วเธอก็ปรึกษาชาวคณะ ซึ่งเริ่มเห็นหน้ากันแล้ววันนี้ ว่าจะไปขึ้นวัด
หนึ่ง ทางแถวเชียงของ เชียงแสน ซึ่งข้าพเจ้า จำชื่อไม่ค่อยได้

ตอนที่เขาไปถึงวัดนั้น ข้าพเจ้าไปเดินขึ้นวัด เห็นกล้วยหวีขนาด
ใหญ่อย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ก็ถามคนแถวนั้นว่า กล้วยอะไร เขาตอบกันว่า
กล้วยที่พระเจ้าอาวาสท่านเอามาจากอุโมงค์ลอดน้ำโขงจากฝั่งลาว ข้าพเจ้า
จึงถามว่าพระองค์ดังกล่าวอยู่ที่ไหน เขาก็บอกกันว่า ท่านกำลังอยู่ข้างบน
อุโบสถนั่นแหละ

ข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบพระองค์นั้น ท่านมีรูปร่างเล็กแกร็น ผิวสี
น้ำตาลออกน้ำผึ้ง นัยน์ตาเรืองรองมีอำนาจและมีเมตตาด้วย รู้สึกดีใจที่ได้
พบพระสงฆ์ที่นั่น ก็อยู่คุยกับท่านพักหนึ่ง ได้ความว่า ท่านเป็นคนลาว ไป
เรียนจบปริญญาน่าจะเป็นปริญญาโท มาจากฝรั่งเศส และ ท่านไปอยู่
ฝรั่งเศสมานาน แต่บวชเรียนตอนไหนข้าพเจ้าก็จำวันเวลาไม่ได้ ท่านฉีกจีวร
เก่า ๆของท่านมาให้ข้าพเจ้า ผูกสร้อยคอไว้ ข้าพเจ้านึกแปลกใจว่า ท่านเดิน
ลอดอุโมงค์อะไรมา ท่านก็ว่า มีอุโมงค์ซึ่งคนธรรมดาไม่อาจลอดได้ เพราะ
เป็นทางของพวกนาค แต่ท่านเดินมาประจำ มาโผล่บนยอดเนินเขานี่แหละ

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:55:04 น.  

 
 
 
บทที่ ๔๑ (ต่อ ๕ )



ช่วงเวลาสั้น ๆ แค่ไม่ถึงสิบนาที สอบถามท่านได้แค่นั้น คุณออ ก็
ให้คนมาเรียกให้ทุกคน ไปนั่งเรียงกัน หน้าพระองค์หนึ่ง สวมชฎาแต่งองค์
ทรงเครื่องเป็นเทวดา เขียนว่า พระศรีอาริยเมตไตร ข้าพเจ้ามองแล้ว
แปลกใจ เขาว่า วันนั้นเป็น วันที่ดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง เรียงเป็นแถวเดียว
กัน และ พลังที่ใกล้เมืองไทยที่สุดวันนั้น อยู่ตรงวัดดังกล่าว ตรงดอยนั้นพอ
ดี
ข้าพเจ้าถูกจัดให้ไปนั่งปลาย ๆ แล้วให้ทำสมาธิ จิต ทำอะไร
ตามพวกเขา ซึ่งข้าพเจ้าก็รู้สึกต่อต้านว่า ตนเองไม่ได้มาทำพิธีดังว่า เหมือน
ถูกบังคับให้ทำ ไหนว่า ข้าพเจ้ามาจัดดอกไม้อย่างไรเล่า

นั่งอยู่แป๊บเดียวก็รู้สึกหนักหลัง ปวดหลัง ปวดไหล่ ขี้นมาอย่าง
มาก ก็ลุกขึ้น บอกว่า ขอออกไปนั่งข้างนอกไม่เข้าพิธีอะไรดังว่าแล้ว แต่
ตอนนั้น คุณออ กำลัง ส่งพลังกันมากันไป เรียกว่า รับพลังดาว แต่เธอกำลัง
อารมณ์เสียมาก ส่วนข้าพเจ้า รู้สึกสบายดีแต่ไม่อยากหนักหลัง ปวดหลัง
ดังว่า ก็ผละออกไปกลางคัน ไม่นั่งร่วมกับพวกเขา

แล้วก็เดินไปหาพระองค์นั้นอีกครั้ง ไปบ่นให้ท่านฟังว่า พวกเขา
เป็นพุทธมามกะกันแบบไหนข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ถึงได้มาทำพิธี ปิดยุคสมัย
พระพุทธเจ้า ว่าเป็นยุคของพระศรีอริยเมตไตร ไปเสียอย่างนั้น พุทธ
ศาสนา ของพระสมณะโคดม ยังจะต้องดำรงอีกเกือบสองพันห้าร้อยปี กว่า
จะครบ ๕๐๐๐ ปี และอีกหลายกัปกัลป์ กว่าจะถึงยุคพระศรีอริยเมตตรัย
คนเหล่านี้ ช่างทำอะไรไป ไร้ปัญญา

พระองค์นั้นมองหน้าข้าพเจ้า แล้วก็บอกว่า ดีแล้ว ที่ได้ผ้าเหลือง
ท่านไปนั่งตรงนั้น แล้วท่านก็พูดทำนองว่าถิ่นนี้ เป็นถิ่นของพญาลิง ข้าพเจ้า
ก็ตอบอีกว่า ไม่เคยเห็นพิธีอะไร จะอยู่ ๆ ก็ไปทำเลย ไม่บวงสรวง
กล่าวบอกเจ้าที่เจ้าทางผู้รักษาบริเวณ อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นทีจะไปนั่งร่วม
ขบวนเขาไม่ได้

'คุณออ' ออกมา พาทุกคนไปขึ้นรถ เธอนั่งไปในรถก็บรรยายความ
วิเศษยิ่งของพระศรีอริยเมตตรัย นั้นต่อไป ข้าพเจ้าฟังแล้ว ยังหนัก
บ่าอยู่ ก็บอกพวกคนเหล่านั้นซึ่งบอกว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังพิเศษกันว่า ข้าพเจ้า
หนักบ่า พวกเขาก็บอกกันว่า

"มีลิงกอริลล่าสีแดงเกาะหลังคุณทิกกี้มา "

แหม มันจะตรงอะไรกับที่พระองค์นั้นพูดจริง ๆ

พวกเขาก็ทำพิธีการ ว่าคาถาตะครุบบ่า ตะครุบลมหลัง ทำท่า
เหวี่ยงสิ่งในมือออกนอกหน้าต่างรถไป ข้าพเจ้าก็เบาตัวลง

ครั้น เดินทางต่อไป ถึงทางขึ้น พระพุทธบาทสี่รอยที่แม่ริม คน
ขับรถก็โยกโย้ว่า ทางไม่ดี เขาไม่ขึ้น แต่สรุปว่า' คุณออ' จะจ่ายเงินเพิ่มให้
เขาจึงยอมขับขึ้นเขาสูงวกวนซึ่งเป็นทางลูกรังแดง ไปจนถึง พระพุทธบาท
สี่รอยยอดเขา ข้าพเจ้าเห็นรอยพระพุทธบาทนั้น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นรอย
ของพระพุทธเจ้าองค์ไหน ก็ไม่ค่อยได้รู้สึกลึกซึ้งอะไร ได้แต่อยาก กลับ
เมืองและ ไป ๆ ให้พ้นคนกลุ่มนี้ ที่ทำอะไรประหลาด ๆ นั่นเสียที

แต่ในที่สุด คณะฯ นั้น ก็เดินทางไปถึงเชียงใหม่ และ เข้าพักที่
คอนโดของคุณแทมมี่ได้ ซึ่งข้าพเจ้านั้น ได้รับอนุญาตให้นอนบนเตียงไม้
หนึ่งเตียง ก็หันหลังเข้าฝา ถึงจะเห็นสายตาชายหนุ่มทั้งหลายที่กำลังมอง
ข้าพเจ้าอยู่ ก็ทำไม่ใส่ใจ ทำตัวให้แก่ ๆ และ ทำตัวลีบ ๆ เข้าไว้ ผ่านพ้นไป
หนึ่งคืน

เช้าวันรุ่งขึ้น ทุกคนก็เตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ข้าพเจ้าขอ
ให้แวะตลาดหนึ่งในเมือง ได้เห็นดอกไม้ขาวกอใหญ่ คือดอกลิลลี่ ก็ลงไป
ซื้อมา คุณออ ก็บรรยายอีกว่า รหัสข้าพเจ้า นั้น เป็นผู้บันทึกกรรมในโลก
หรือ อาลักขณ์มาแต่ครั้งอียิปต์ บอกชื่อมัมมี่ ซึ่งเพิ่งค้นพบไปวันก่อนว่าเป็น
มันมี่ของข้าพเจ้าเอง (ไปโน่นเลย ) ข้าพเจ้าก็ฟัง ๆ ไว้ อย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เฝ้าแต่ขอให้ถึงกรุงเทพฯ ไว ๆ เท่านั้น จำทนเธอและการบรรยายเรื่อง
พิสดารของเธอไปตลอดทาง ขัดคอเธอบ้าง แหย่เธอบ้างเธอก็ มอบให้อีก
ตำแหน่งอีกแล้ว ว่าอดีตเป็นลูกสาวคนที่ตกน้ำตาย เธอเป็นพระนางเรือล่ม
(เอาเข้าไป ) เธอก็ว่า นี่แหละ ลูกสาวจอมกวนของเธอ ที่เธอ ว่ายน้าแข็ง
ว่ายน้ำเก่ง แต่มัวแต่ลงไปช่วยข้าพเจ้าขึ้นมานั่นแหละ จึงต้องตายไป..


ข้าพเจ้าฟังหูไว้หู เชื่อหรือไม่ ไม่ได้สนใจเลย รู้แต่ว่ากำลังอยู่ใน
หมู่กลุ่มเพี้ยนเข้าไปแล้ว ก็หยวน ๆ เธอไป จนถึงกรุงเทพ ฯ พวก พี่น้อง
ผู้ชายสองคนในกลุ่มนั้น อันมีนามว่า คุณเชี่ยว (พี่ชาย ) และคุณชาญ (น้อง
ชาย ก็ให้เบอร์โทรศัพท์แก่ข้าพเจ้า และ ขอเบอร์โทรฯ ของข้าพเจ้าด้วย
เช่นกัน

นับจากนั้นมา ข้าพเจ้าติดขัดข้องใจอะไรเรื่องพลังลึกลับซับ
ซ้อนอะไรก็มักจะโทร ฯ ไป หา พี่น้องสองคนนี้ เพราะเห็นเขามีพลังจิตแก่
แปลก ๆ ชอบรู้ความคิดของข้าพเจ้าแถมบางทีก็ชวนข้าพเจ้าคุยภาษาเทพฯ
ด้วย แต่ตามประวัติที่คุยกันมาเรื่อย ๆ เขาเป็นพวกจับผิดสำนักทรงฯ ที่
ชอบหลอกลวงเประชาชน และได้เคย 'ลุย' สำนักทรงผี ๆ เหล่านั้นไปหลาย
แห่งแล้ว

ครั้งหนึ่งเขาก็เอ่ยว่า ข้าพเจ้านั้นเคยเป็นพี่สาวของ ลูกพระอาทิตย์
อย่างพวกเขามาในอดีตชาติด้วย (เอาอีกแล้ว )

นับว่า ข้าพเจ้า มีเพื่อนแปลก ๆ กันอยู่หลายคน และ สองคนนี้ เขา
จะนับเป็นเพื่อนกับข้าพเจ้าหรือไม่ ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ แต่ข้าพเจ้า มัก ยึดเขา
ไว้ สอบถามอะไร ต่อมิอะไรซึ่งเห็นแล้วงง ว่ามันยุคสมัยไหน กันหว่า เวลา
เครียด ๆ เต็มที่ พี่น้องสองคนนั้นก็มักมีคำตอบให้ไปคนละทาง ฝ่ายพี่ชาย
นั้น จะมีพลังรู้วาระจิตผู้คนว่าคิดอะไร ต่อไปจะเป็นอะไรดี ส่วนน้องชายนั้น
มักจะบอกอดีตได้แม่นยำว่าอนาคต และ มี ปัญญาเฉียบแหลมเป็นที่ปรึกษา
เรื่องเกี่ยวกับโลกเร้นล้บให้ข้าพเจ้าบ่อยครั้ง


~~~~~~~~~~~๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐~~~~~~~~

ดังนั้น เมื่อข้าพเจ้ามาเปิดร้านที่ไนท์บาซาร์นี้ ก็แจ้ง ทั้งคุณเชี่ยว และ คุณชาญ
ด้วยกัน ทั้งคู่ว่า ข้าพเจ้ามาทำที่นี่อย่างไรบ้าง และ มีอะไรที่เกี่ยวพันกับที่นี่ ซึ่ง
เขาจะได้แจกแจงให้ รวมทั้งวิเคราะห์เหตุการณ์มาแต่ต้นว่า

"หากรู้ว่าพี่จะมาจอง ผมจะบอกไม่ให้พี่จองทำที่นี่เลย แต่จองไปแล้วตั้งไปแล้ว
จะไปขัดขวางอย่างไรได้ ! "



~~~~~~~~~~~๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐~~~~~~~~

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:55:47 น.  

 
 
 
ภาคกลาง แห่ง "ที่ดินผืนนั้น "


บทที่ ๔๑ (ต่อ ๖ )

สักสิบห้าวันก่อนที่ข้าพเจ้าจะเปิดร้าน ก็จำได้ ว่า ไปเฝ้าทรง
พระพิฆเณศวร์ ที่สำนักอาจารย์ ส.ณ บางพลัด ข้าพเจ้าชวนนิคกี้ไปเฝ้า
ท่านด้วยกัน พอถึงคิวข้าพเจ้าเข้าไปกราบและท่านจุดเจิมหน้าให้ ท่านก็
หัวเราะเงยหน้าไปเบื้องบนทันทีแล้วทักเสียงดังว่า

"ว่าอย่างไร แม่ศิลปินใหญ่ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า "

อ้าว ข้าพเจ้านี้กลายเป็นแม่ศิลปินใหญ่ไปอีกเสียแล้ว แล้วจึง
กราบทูลว่า เร็ว ๆนี้ คือต้นเดือนธันวาคม จะเป็นวันกำหนดเปิดร้านที่สวน
ลุมไนท์บาซาร์ ท่านก็ชี้ไปทางเทวรูปของท่านซึ่งอาจารย์ ส. ณ บางพลัด
ท่านสร้างไว้ รวมหมู่ในพิธีเทวาภิเศก ครั้งนั้นว่า

" ไปยกองค์ข้า ฯ ไปตั้งไว้บูชา ที่ร้านเจ้า แล้วเจ้าจะได้รวย "

ใครจะไม่อยากรวยล่ะท่าน พอได้ยินดังนั้น ข้าพเจ้าก็พยักเพยิด
ให้นิคกี้ รีบไป ยก'องค์ท่าน' ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นว่าเป็นอะไร แต่พอเขา
แบกมา โฮ้โห องค์เบ้อเริ่มเลย ท่านก็ใช้นิ้วจิ้มกระแจะเจิมเบิกเนตรให้
เทวรูป พระพิฆเณศวร์ ภาค นาฎยศาสตร์ พอเรายกลงมาเท่านั้นแหละ คุณ
ผู้หญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะชื่อ คุณนิดหน่อย ก็ เดินเข้ามาแจ้งทันทีว่า

"พี่ ๆ องค์ท่าน องค์ละ สี่หมื่นห้า พี่จ่ายเงินหรือยัง "

โห ข้าพเจ้าฟังแล้วเกือบเป็นลม เมื่อมองเห็นองค์ท่านในมือ
นิคกี้ นั้น ประมาณราคาว่า น่าจะเป็นโลหะเพ้นท์สี เป็นสีสดใส น่าจะเท่ากับ
หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ซึ่งข้าพเจ้าเคยเช่าไปหลายปีแล้ว องค์ละหมื่นกว่า
บาท แต่พอได้ยินราคานั้น ก็อึ้งเหมือนกัน จึงบอกคุณนิดหน่อยว่า

"อ้าวพี่ไม่ทราบว่าแพงขนาดนี้ พี่ก็ไม่ใช่ว่าอยากได้นะคะ ท่าน
สั่งให้ไปยกมาให้เจิมหน้า ท่านให้เอง ตอนนี้พี่ต้องใช้เงินเยอะกำลังเปิดร้าน
และ ซื้อของเข้าร้านอยู่ คงต้องทะยอยผ่อนให้ละนะคะ "

คุณนิดหน่อยก็ทำหน้าบึ้ง ๆ ข้าพเจ้าก็อยากจะบึ้งกับเธอด้วย
เหมือนกัน ใครจะคิดว่าเทวรูปองค์หนึ่ง สูงสัก ๒๔ นิ้วได้นี้ จะราคาสูงขนาด
นั้น หากรู้ราคาก่อน ข้าพเจ้าคงจะไม่ให้นิคกี้ไปอุ้มไปให้พระพิฆเณศวร์ท่าน
เจิมให้เป็นแน่

แต่เอาเป็นว่า ไหน ๆ ท่านจะไปอยู่กับข้าพเจ้าแล้ว ก็ตามใจ
ท่าน เราก็ยกท่านไปที่คอนโด และ พร้อมจะยกไปไว้ที่ร้านเมื่อเปิด แต่ใน
ระหว่างที่ท่านอยู่ที่คอนโด ท่านก็ต้องฟังเสียงมหกรรมดนตรีร็อคซึ่งนาย
แชมป์ บรรเลงลั่นฟ้าทุกวันไปพลาง ๆ ก่อนแล้วกัน


จบ บทที่ ๔๑

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 14 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:58:18 น.  

 
 
 
บทที่ ๔๒ เสร็จไปสัก ตอนสองตอน ขอเวลาดูความต่อเนื่อง
อีกนิด จะมาลงต่อที่นี่ค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ unlogged in IP: 125.25.46.138 วันที่: 15 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:52:14 น.  

 
 
 
Photobucket
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 16 กรกฎาคม 2551 เวลา:21:28:28 น.  

 
 
 
ย: ส้มแช่อิ่ม ขอบคุณมากค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ (tiki_ทิกิ ) วันที่: 19 กรกฎาคม 2551 เวลา:23:58:37 น.  

 
 
 
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 22 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:41:57 น.  

 
 
 
ขอบคุณ คุณ ส้มแช่อิ่มค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 กรกฎาคม 2551 เวลา:19:12:57 น.  

 
 
 
ตอนนี้ เราก็ปล่อยเลยตามเลยค่ะ
ก็คล้าย ๆ หาก ใครมาบอกว่า " ขอยืมเงินสัก ห้าพัน แล้วจะใช้ให้นะ มีเรื่องจำเป็น "
ระดับเราก็คงคิดว่า " แหม เงินจิ๊บจ๊อยแค่นี้ มาขอยืม ขนาดเธอยังไม่มีจะใช้เขา หากให้ยืมไป
เราจะได้คืนหรือ ?"
แต่หากใครบอกว่า " พี่ ๆ หนูวุ่นมาก พลาดเหลือเกิน ตอนนี้ ขาดแคลนมาก หากพี่มีเหลือๆ
จะเจือจานให้หนูใช้ จะไม่ลืมพระคุณเลย " อย่างนี้ อาจจะส่งให้ สัก พันสองพัน ให้ไปแก้ความ
เดือดร้อน ให้ คือให้ ไม่คิดจะเอาคืน

ดังนั้น สภาวะเราตอนนี้ ก็คล้าย ๆกันแหละค่ะ ญาติบ้าง เพื่อนบ้าง เขารวย ๆ ล้น ๆ
ล้านสองล้าน นี้มันเศษขี้เล็บ ขี้ประติ๋ว เขาก็คิดอย่างเราอย่างข้างบนแหละค่ะ ว่า แค่สองสามล้าน นี้เธอยังไม่มีปัญญาจะใช้ หากฉันให้ยืมไป เธอจะใช้คืนฉันได้หรือ ?
ยิ่งที่บ้านคุณแม่ มีเรื่องฉุกละหุก อุบัติเหตุ คุณแม่หัวทิ่มตกเก้าอี้นั่งที่นั่งเอน ๆ อยู่
ประจำ ตอนนี้ ก็วางเรื่องคิดขอความช่วยเหลืออะไรทั้งหมดทั้งสิ้น คิดเสียว่า เคยต้องเสียของขลัง ของวิเศษ ของไหว้กราบบูชาชิ้นแพง ๆ มีคุณค่า เพื่อแลกชีวิตแม่คืนมาตอนท่าน
ต้องเข้าโรงพยาบาล หลายปีก่อนมาแล้ว ครั้งนี้ จะต้องแลก สูญเสียทรัพย์ไปพร้อมเพิ่ม
หนี้(ดอกเบี้ยปรับ) ให้ตัวเองอีกขนาดนั้น ก็ช่างมันค่ะ

หากเราจะโดนยึดโน่นยึดนี่ไปอีก ก็ปล่อยแล้ว ใครคิดอยากจะยึดอะไรก็ให้ยึดไป
เพราะชีวิตเราก็ไม่นานเหมือนกัน มัวแต่ยึดมั่นถือมั่นกับสมบัตินอกกาย วันที่เราสิ้นลมก็เอา
อะไรไปไม่ได้ ตอนนี้จะเสียหน้า ญาติจะเสียหน้า ก็เรื่องของญาติ เราดิ้นรนขวนขวายแก้วิบาก มามากแล้ว ในเวลากระชั้นชิดอย่างนี้ เวลาส่วนใหญ่ ก็ต้องไปดูแลบุพการีผู้เจ็บอยู่
ด้วยความเลินเล่อไม่ดูแลใกล้ชิด ของคนเลี้ยง ที่ เหล่า พี่น้อง(สะไภ้) เขาจ้างกันมา จะโกรธใครก็ไร้ประโยชน์ จะให้เราวิ่งเต้น เอาโฉนดที่ดิืนอื่น ไปวิ่งแก้ไขตอนนี้ ก็ไม่มีทาง
จะทำอะไรได้ เวลาน้อยเกินจะทำ

เมื่อวาน ออกจากบ้านคุณแม่ มาแต่เช้า ออกไปหาโจ๊กรับประทาน เพราะวานก่อน
ตอนเย็น ก็ไม่มีใครหาข้าวให้รับประทาน เนื่องจาก ห้องที่คุณแม่อยู่ ก็อยู่ระหว่างบ้านสามบ้าน แต่ละท่านคงนึกว่า ข้าพเจ้ามีรับประทานแล้ว มิได้มาเรียกไป ก็กำหนดใจว่า ไม่กินก็
ไม่เป็นไร เพราะกลางวันไปงานเลี้ยงแต่งงานหลานชายมา ก็รับประทานไปบ้างพอสมควร
ครั้นไปทำธุระกิจการตน ที่สรรพากร ขากลับ ก็แวะซื้ออาหารและ อุปกรณ์ทำความสะอาด น้ำ ปลาน้อยทั้งหลายที่เลี้ยงเอาไว้ ที่ร้านเจ้าประจำ แล้วก็ ผ่าน"ที่ดินผืนนั้น"
จึงเลี้ยวรถเข้าไปดู ว่า มีการ ก่อสร้างถนนคอนกรีตเพิ่มเติม แต่ลงใต้ไป ที่ดินของเราอยู่
ด้านทิศเหนือของจุดหน้าบ้านบุคคลซึ่งเราจอดได้
ที่ดังกล่าวก็ยังอยู่ อยู่ในหลืบ จมน้ำอยู่เช่นเดิม

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 13 มกราคม 2554 เวลา:9:30:06 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com