ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
บท ๒๘ ***

นิยาย ๐ ที่ดินผืนนั้น ๐ บทที่ผ่านมา
(ภาคหนึ่ง บทที่ ๑-๘ )
//topicstock.pantip.com/writer/topicstock/2008/03/W6423525/W6423525.html
ที่บล็อกแกงก์
//www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=16-03-2008&group=7&gblog=1


ภาคเจ็ด
บทที่ ๒๗ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6593699/W6593699.html
บทที่ ๒๙ //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6604614/W6604614.html#18
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค หก

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@

บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม



Create Date : 15 พฤษภาคม 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 19:06:58 น. 9 comments
Counter : 351 Pageviews.  
 
 
 
 
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค หก

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@

บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม

ถึงจะเป็นช่วงสั้น ๆ ในชีวิต แต่ก็เป็นบางสิ่ง
ที่ได้ทำเอาไว้ ประทับไว้ในความทรงจำ ที่ไม่อาจข้ามไปได้

ตามที่ข้าพเจ้าได้หากรรมใส่ตัวไปตั้งห้าง "ห้าสิบสาม
ไดเร็คท์" นั้นไว้ ก็ทำให้ต้องหาหนทางทำธุรกิจที่เคย คิดไว้นาน
แล้ว คือการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางจดหมายธุรกิจที่เรียก
ว่า Direct Marketing

แผนหนึ่งแห่งเหตุผลให้แก่การตั้งห้างฯ ห้าสิบสามไดเร็คท์
ของข้าพเจ้านั้น ก็เพื่อเอื้ออำนวยช่องทางการส่งเอกสารสื่อขาย
ตรง ที่คิดจะทำต่อไป เพราะเมื่ออยู่ที่บริษัทโฆษณาที่ถนนคอนแวนต์
นั้น ข้าพเจ้าได้มีโปรเจคต์การโฆษณาผ้าอนามัยชนิดสอดของสตรี
ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่ง"ฟีน่า"ฝ่ายการตลาดสาวสวยของบริษัทเป็นลูกครึ่งอังกฤษ
ผู้มีหน้าที่ดูแลการทำแผ่นปลิวโฆษณานั้น ได้รับจัดการเรื่องการ
ส่งใบโฆษณาให้แก่ลูกค้า เธอจะนั่งพริ้นต์ชื่อ "ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย"
ลงไปในกระดาษสติ๊กเกอร์ และปิดไปบนซองจดหมายมีตรา
บริษัทลูกค้า นำแผ่นปลิวใส่ซอง ติดดวงตราไปรษณีย์บนซอง

ฟีน่า มักมาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ใช้เพียงคนรับใช้ของคุณแม่
ของเธอหนึ่งคน คอยพับกระดาษใส่ซอง และ ส่งสินค้าตัวอย่าง
ที่ได้รับมาจาก คูปอง ท้ายหน้าโฆษณา หนังสือ "คู่สร้างคู่เสพสม "
ที่เราทำโฆษณาไว้ให้ สตรีที่ต้องการทดลองใช้ ส่งชื่อสกุลและ
ที่อยู่มา จากนั้น ก็จะได้ส่งสินค้าตัวอย่างพร้อมใบวิธีการใช้ ไป
ให้ตามชื่อที่อยู่ในคูปองนั้น ข้าพเจ้าได้ทราบวิธีการทำงานซึ่ง
ฟีน่ามาเล่าให้ฟังอยู่เรื่อย ๆ จึงคิดขึ้นว่า หากได้ทำงานเกี่ยวข้อง
อย่างนั้นก็จะดี

ในระยะหลัง ไปรษณีย์ได้ใช้ระบบ ตีตราต่อกันไปบนซอง
และ ต่อมาทางบริษัทฯ ก็ทำระบบ พิมพ์ข้อความอนุญาตหัวมุม
ด้านขวาของซองเพื่อส่งแผ่นปลิวแผ่นพับ นั้น

ข้าพเจ้าจดจำและค้นหาข้อมูลการทำงานกับหนังสือ
เอ็นไซโคลพีเดียที่ข้าพเจ้ามีอยู่อย่างขะมักเขม้น ทั้งค้นหา วิชา
ว่าด้วย Direct Marketing ตลอดจน Direct Advertising จาก
สำนักพิมพ์ต่างประเทศหลายสำนักเฝ้าอ่านเฝ้าศึกษามาจนละเอียด
โดยคิดแบบซื่อ ๆของข้าพเจ้าว่า อีกหน่อย ข้าพเจ้าจะได้ผลประโยชน์
เป็นจำนวนมาก จากการทำงานดังกล่าว หากมีไปรษณีย์มาอยู่ที่
หน้าบ้านเสียเลย

(มีต่อ)
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:35:27 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม (ต่อ ๑)

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงอุตส่าห์ไปติดต่อหน่วยราชการที่
ดูแลเรื่องการไปรษณีย์ จากนั้นต้องไปเซ็นสัญญากับหน่วยราชการ
หนึ่งเพื่อเป็น "ไปรษณีย์ย่อยเอกชน" มีหน้าที่รับไปรษณีย์จัดห่อ
ส่งรถไปรษณีย์รัฐบาลที่จะมารับ มีหน้าที่ขายแสตมป์ ขายตั๋วแลก
เงินไปรษณีย์ และอื่น ๆอีกที่ดูน่าจะมีอนาคต

การไปเซ็นสัญญาก็ต้องไปรบกวนน้องชายซึ่งเป็นข้าราชการ
ให้ไปช่วยเซ็นค้ำประกันให้ และ ต้องมีพยานคือคุณแม่ที่จะต้อง
เซ็นให้ด้วย เมื่อคุณแม่รู้เห็นค่าการตอบแทนที่ทางราชการให้ ค่า
ตอบแทน เดือนละ ๕๐๐ บาท ท่านก็ฉุนเฉียวเป็นอันมากว่า ข้าพเจ้า
นั้น สิ้นคิดแล้วหรือ ถึงได้จะไปทำงานไร้ค่าปานนั้น คิดว่าหากเป็น
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๙๐ นั้น จำนวนนี้น่าจะเป็นเงินมาก แต่สี่สิบปี
ให้หลัง ช่วงปีพุทธศักราช๒๕๓๐ นั้น มันเป็นจำนวนเงินที่น้อย
เหลือเกิน แม้กระทั่งเด็กรับใช้บ้านคุณแม่ หรือที่ข้าพเจ้าจ้างไว้ ยัง
ได้กว่าแปดร้อยบาทแล้ววันนั้น

ข้าพเจ้านั้น ละล้าละลังใจ อีกอย่างหนึ่งไม่มีใครจะมาให้คำ
ปรึกษาเรื่องนี้เลย ได้แต่วุ่นวายใจอยู่ว่า โอกาสได้ลอยมาถึงมือ
ที่จะได้มีอาชีพสุจริตทำเป็นหลักเป็นแหล่งให้ตัวเอง แล้ว ไม่สู้ ไม่
ทำจะดูเป็นคนไม่กล้าสู้ชีวิตไป
จึงตอบคุณแม่ด้วยประโยคเด็ด ๆ -อีกตามเคย- ของข้าพเจ้า
ว่า
" คุณแม่คะ งานนี้มันสุจริตและมีเกียรติ นะคะ หนูไม่ได้
ทำงานที่ต่ำต้อยน้อยหน้าอะไรตรงไหน และ ไม่ได้ทำตัวสกปรก
โสมมอะไรเลยค่ะ นี่เป็นอาชีพมีเกียรติ นะคะ คุณแม่ "

เมื่อก้าวไปติดต่อแล้ว เหลือเพียงแค่คนช่วยเซ็นค้ำประกัน
สัญญา คือ ขอร้องน้องชาย และคุณแม่ให้ไปช่วยเซ็นให้จนทั้งสอง
ท่านเมื่อได้ยินคำตอบอันดื้อดึงของข้าพเจ้า จะด้วย ขัดไม่ได้ หรือ
เพราะเวทนาสงสารข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ได้ ก็ยอมไปเซ็นให้
เรื่องก็จบลง แต่ท่านผู้อ่านน่าจะนึกภาพของคุณแม่ข้าพเจ้าออก
ได้ละว่า ท่านบ่นว่าข้าพเจ้าว่าทำเสียชื่อเสียง อะไร ต่อมิอะไรอีก
หลายกระบุง

แต่ข้าพเจ้าคิดในแง่ดีว่า ยอดขายแต่ละเดือนน่าจะพอ
ให้ตัวเองทำงานได้ ดีกว่าไม่มีอะไรทำ

จากนั้น เพื่อจะหาคนมาช่วยทำงาน ก็ต้องลงโฆษณา
รับคนทำงาน ในหนังสือพิมพ์วัฏจักร

จากนั้นก็ติดต่อบริษัทน้ำดำแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาตกลงให้ตู้แช่
น้ำขวดสีดำของเขาเป็นตู้สีแดง มีเครื่องหมายการค้าสีขาวบนตู้
ทั้งยัง ทำป้ายโฆษณาขวางถนนแจ้งประชาชนให้ทราบว่า ต่อไป
บ้านหลังนี้จะเป็น "ไปรษณีย์ย่อยเอกชน" ติดพาดข้ามถนนหราไป
เด่นเป็นสง่าจนทุกคนต้องเหลียวมามองบ้านใหญ่ของข้าพเจ้าที่
กำลังปรับปรุงเร่งมือกันให้เสร็จตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ทางราชการ

ในระหว่างนั้น ข้าพเจ้าก็พิมพ์ใบโฆษณาประชาสัมพันธ์
เรื่องการเปิดไปรษณีย์ย่อยเอกชน อันที่จริงสมัยก่อน การถ่าย
เอกสารหนังสือก็มีแล้ว แต่ราคาใบละสามบาท เป็นอย่างต่ำ เฉพาะ
บริษัทห้างร้านที่มีเครื่องของตน จึงจะสามารถคิดใบละสองบาท
หรือ หกสลึงได้ ข้าพเจ้าจึงใช้พิมพ์ดีดมือเคาะคู่ชีพของตน พิมพ์
ต้นฉบับโรเนียว แจ้งวันที่จะเปิดสำนักงานไปรษณีย์ย่อยเอกชน
และ ไปจ้างร้านฝึกเรียนพิมพ์ดีดริมถนนซึ่งมีเครื่องพิมพ์โรเนียว
ให้ช่วยทำโรเนียวให้ข้าพเจ้าหลายร้อยใบ ซึ่งต้นทุนน่าจะอยู่ใบ
ละห้าสิบสตางค์ประมาณนั้น


(มีต่อ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:36:13 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม (ต่อ ๒ )

เมื่อมีเวลาข้าพเจ้าก็จะ นำเอกสารดังกล่าว ขับรถไป
ตามหมู่บ้านแถบนั้น ส่งใบปลิวโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปตาม
บ้านต่าง ๆที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง

ส่วนบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านเดียวกันหรือใกล้กันข้าพเจ้า
จะขี่จักรยาน สวมหมวกกันแดด ปีกกว้าง นำใบโฆษณาดังกล่าว
ไปด้วย ไปเสียบไว้ตามหน้าบ้านในรายการที่ขอเลขที่บ้านมาจาก
ไปรษณีย์ ทำอย่างไรก็ได้ให้ต้นทุนการประชาสัมพันธ์นั้นถูก
ที่สุดและถึงมือทุกคน


ในระหว่างที่กำลังดำเนินการเพื่อการเปิดร้านนั้น
คนที่พูดจา ด้วยวิจารณญาณกว้างไกลให้ข้าพเจ้าคิด แต่
กรรมมันบังตาทำให้ข้าพเจ้าไม่ได้ฟังคำทักท้วงนั้นแต่อย่างใด
คือ คุณแม่ และ คุณพี่สะไภ้ใหญ่ของข้าพเจ้านั่นเอง

" จะเปิดร้านอะไรได้อย่างไร เคยดูตลาดไหม กลาง
วันมันมีคนเดินหรือเปล่า ? "

"แถวนี้ มันมีแต่คนใช้อยู่บ้านกับพวกแม่บ้านที่ไม่ค่อย
ทำธุรกิจอะไร ซื้อของก็แต่ตลาดสดใกล้บ้านทั้งนั้น เธอจะ
ไปขายใคร ? "

"คนแถวนี้ ใครมันจะมาซื้อของที่ร้าน เสื้อผ้า ของ
ขวัญกิ๊ฟท์ช็อพอะไร เขาก็ไปห้างใหญ่ ๆที่ถนนงามวงศ์วานกัน
ทั้งนั้น ใครจะมาแวะซื้อ ที่จอดรถก็ไม่มี "
ฯลฯ

ทุกคำถามคำติงเหล่านั้น ล้วนเป็นคำถามการตลาด
ที่ดีมาก แต่สำหรับคนอย่างข้าพเจ้า ซึ่งเดินหน้าไปเกินกว่า
ค่อนตัวไม่ได้ปรึกษาใครไปแล้วนั้น คิดว่าเป็นคำถามที่เย้ยเยาะ
ดูหมิ่นดูแคลนข้าพเจ้าเสียจริง ข้าพเจ้าได้เปลี่ยนเป็นคนพาล
ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมาอีกว่า ทำไมนะ ไม่ว่าจะทำอะไร
ถึงมัวแต่คิดว่าข้าพเจ้าทำอะไรไม่เป็นจะทำอะไรเจ๊งกันอยู่เรื่อย
หรืออย่างไร ?


(มีต่อ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:36:50 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม (ต่อ ๓ )

เพราะความเป็นนักฝันเฟื่อง คิดแต่ชีวิตในฝันอันมีแต่
แง่ดี ไม่ได้เข้าใจความโหดของระบบดอกเบี้ยและเงินตรา
ความเข้มงวดของวงการธุรกิจหรือราชการงานเมืองอะไร ..
นับเป็นข้อเสียอย่างแรงซึ่งข้าพเจ้าหันหลังให้กับคำท้วงติง
ของผู้มีประสบการณ์กว่าเหล่านั้นทั้งหมด
มุ่งหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะให้มีงานทำที่บ้านหลังนั้นให้ได้


จากการลงโฆษณาหาพนักงานในหนังสือพิมพ์ ก็ได้
พนักงานวุฒิจบชั้น ม ๖ มาสองคน ซึ่งเดิมทำงานกับห้างร้าน
แถวปากเกร็ด แต่ได้กะค่ำกะดึก จึงมาสมัครงานที่ข้าพเจ้าเพื่อ
จะได้ทำงานรอบกลางวัน ซึ่งเงินเดือนในสมัยนั้น มีอัตราคนละ
๑๕๐๐ บาท ถึง ๒๐๐๐ บาทเป็นอย่างกลาง ซึ่งข้าพเจ้าก็รับมา
ให้ช่วยทำงานขายหน้าร้านเล็ก ๆที่มีเครื่องเขียนและ อุปกรณ์
เครื่องเขียนไว้ขาย มีตู้น้ำเย็นของน้ำดื่มยี่ห้อน้ำดำยี่ห้อหนึ่ง มี
ผ้าผ่อนแพรพรรณอะไรในร้านอย่างที่ตั้งใจไว้ อีกทั้งให้เธอทั้ง
สองมีหน้าที่ช่วยกันรับจดหมายและพัสุดภัณฑ์ ขายแสตมป์ ขาย
ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ จนถึงห่อพัสดุต่าง ๆ ซึ่งให้เวลาไปกลับ
เหลื่อมกันอยู่กันคนละสองสามชั่วโมงสลับกันไป

นอกจากเงินเดือนที่ตกลงแล้ว ให้มีสิทธิ์ได้ดื่มน้ำขวดคน
ละสองขวด คือ สักสิบโมง หนึ่งขวด และ ตอนบ่ายหลังอาหาร
อีกขวด อันนี้ ข้าพเจ้าติดนิสัยที่เคยได้ทำงานกับบริษัทฝรั่ง
มา ในการมีสิทธิ์ได้น้ำชากาแฟเสิร์ฟ ก็คิดว่า เด็กพวกนี้ หากต้อง
ทำงานกับเราทั้งวัน ไปไหนไม่ได้ น้ำและอาหารเป็นสิ่งที่ควรจะ
ให้เขาได้รับด้วย
สำหรับอาหารกลางวัน ก็จัดเตรียมให้คือจะมีอาหารอยู่
สองสามอย่างและ ข้าวที่เตรียมไว้ เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีร้าน
อาหารขาย ข้าพเจ้าจะซื้อตอนเย็นเก็บไว้ในตู้เย็น และนำมาอุ่นร้อน
ตอนกลางวัน ให้เด็กๆ พวกนี้ มีข้าวกิน มีน้ำดื่มนอกเหนือไปจาก
เงินเดือนรายได้กันคนละ ๑,๘๐๐ ถึง ๒,๐๐๐ บาทต่อเดือนโดยจะ
ช่วยคิดเป็นค่าล่วงเวลาให้หากอยู่เกินแปดชั่วโมง


(มีต่อ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:37:45 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม (ต่อ ๔ )

และ คุณแม่ได้ว่าจ้างเด็กรับใช้ในบ้านมาให้อีกคนจาก
ต่างจังหวัดให้นอนในห้องรับใช้ด้านหลังบ้าน ซึ่งบริวารคนหลัง
นี้ความที่ไม่ได้เรียนหนังสือ ก็มองดูว่า พนักงานหน้าร้านช่าง
เป็นอภิสิทธิ์ชนในบ้าน บางครั้งนอกจากจะไม่ได้ช่วยแล้วยังมา
กวน ๆ ให้เสียเรื่องราวออกบ่อย ๆ


พอถึงเวลาที่เราต้องเปิดห้าง เราสามคนทำงานกัน
อย่างชุลมุนวุ่นวาย

เช้าขึ้นมาก็ต้องเปิดหน้าร้านให้คนเข้าไปในร้านได้ แล้วเดินออก
มาตรงที่จอดรถซึ่งตั้งเคาน์เตอร์ไว้ สำหรับรับส่งจดหมายลงทะเบียน
และห่อพัสดุภัณฑ์ พอใกล้เที่ยงก็ต้องรีบเก็บจดหมายรวมมัด และ
พัสดุก็ต้องเก็บลงถุงบรรจุภัณฑ์ที่ทางการให้มา ต้องหนีบปิดด้วย
ตราครั่งสีแดง ต้องส่งให้รถไปรษณีย์ที่จะมารับเที่ยวเช้า และ
เที่ยวเย็น



อีกไม่กี่เดือนต่อมา
ฝันที่ข้าพเจ้าคาดไว้ หวัง และ สิ่งที่วางแผนไว้แต่ต้น
มันได้ถูก การเป็นไปรษณีย์ย่อยเอกชน กลืนเอาฝันและหวัง
กลืนเอา ธุรกิจบนก้อนเมฆที่ล่องลอยไปมาหายวับไปกับตา
มันไม่มีธุรกิจ การโฆษณาเพราะมีไปรษณีย์ที่บ้าน มันไม่มีธุรกิจ
กิฟท์ช้อพ ผ้าผ่อนแพรพรรณที่ข้าพเจ้าชอบมาก ๆ อะไรทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นอยู่ เป็นการทำอะไรหัวปั่น จุกจิก จู้จี้ ที่กินเวลา กิน
และ กลืนเราไปทั้งตัว ทั้งวัน ทั้งคืน

ดูการเข้าออกของเงินทอง และ เวลาที่เสียไปทั้งเหน็ด
เหนื่อยอ่อนเพลีย พวกเด็กที่รับเข้ามา ได้ไม่คุ้มเสียเวลาที่พวก
เขาซึ่งอยู่บ้านกันไกล ๆ ต้องเดินทางไปมา มืด ๆ ค่ำ มาแต่เช้า
มาทำงานที่น่าเบื่ออย่างที่หน้าบ้านหลังนั้น กลับก็ลำบากกัน
ต้องต่อรถหลายสาย เงินเดือนก็เล็กน้อยไม่คุ้ม ในที่สุด พวก
เขาก็พร้อมใจกันลาออก ไม่เหลือใครช่วยข้าพเจ้า แม้นกระทั่ง
เด็กรับใช้ ยังพลอยลาออกไปด้วย

รับเด็กใหม่ไม่ทัน ข้าพเจ้าลุยคนเดียวอีกแล้ว พักกลางวัน
ก็ไม่ได้พัก เพราะบางทีก็ต้องขับรถออกไปด่วนไปไปรษณีย์กลาง
ของจังหวัด เพื่อไปเบิกแสตมป์และตั๋วแลกเงินซึ่งขายไปหมด
ช่วงเช้าก็มี

อะไรจะขนาดนั้น ???

รายได้ที่ทางการให้ คือ ๓% ของยอดขายแสตมป์
และ ๑ % หรือว่า ฟรี สำหรับตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ ซึ่งต้อง
เขียนชื่อที่อยู่ ผู้รับผู้ส่งทุกใบจนมือหงิกเพราะส่วนใหญ่คนที่
มาส่งเงินไปต่างจังหวัดคือคนที่เขียนหนังสือไม่ชำนาญ เวลา
ตั๋วเหลือแค่ใบละ ๑ บาท ๕ บาท เมื่อไหร่ ซึ่งก็ต้องขายให้
เพื่อแลกเงินนั้น ข้าพเจ้าใช้ความอดทน เป็นเสมียนเขียนตั๋ว
อย่างที่เขาว่าจริง ๆ เขียนจนเมื่อยมือ หลายสิบใบ เป็นร้อยใบ
ก็ยังมี
(มีต่อ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:38:28 น.  

 
 
 
บทที่ ๒๘
อุตส่าห์หากรรม (ต่อ ๕ )


ทำไปทำมาขาดทุนหกเดือนให้เห็น ๆ อยู่เดือนละ
เกือบสองหมื่นบาท เพราะค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มันเกินรายรับ

ถึงแม้จะมีลูกค้าที่เริ่มรู้จักแล้ว แต่ลูกค้ามากรายก็
ชอบทำอะไรแปลก ๆ อย่างเช่น เสียบรถมาขวางทางเข้าที่
เราทำไปรษณีย์ กดแตรแปร๊น ๆ ให้ข้าพเจ้าหรือเด็กหน้า
ร้าน หน้าบ้าน หรือคือ ข้าพเจ้านั่นแหละ ให้วิ่งไปรับ จดหมาย
หนึ่งซอง พร้อมเงินค่าแสตมป์ หากไปรับช้าเพราะจะต้องเปิด
ประตูแบบเด้งไปมาได้ที่ติดเคาน์เตอร์ไว้ ก็จะโดนตะคอกด้วย
ว่า
"นี่เธอ มารับช้าจัง รถมันจอดไม่ได้เห็นไหม ? "

ลูกค้า บางท่าน ก็เห็นข้าพเจ้าเป็นไปรษณีย์ใหญ่
โดย ฝากซอง ฝากเงินไว้ แล้วบอก ช่วยปิดแสตมป์ให้ด้วย
ซึ่งข้าพเจ้าก็รับทำให้ไม่ได้ เพราะมีกฎข้อห้าม ห้ามพนักงาน
ปิดแสตมป์เองเด็ดขาด กฎของ กรมฯ นั้น มีข้อป้องกันมิให้
เกิดการ ฉ้อฉลแสตมป์บนซอง ดังนั้น พวกลูกค้าแบบนี้จะ
ฉุนเฉียว กระชากเกียร์ เบิ้ลน้ำมัน แพร่น แพร่น ออกไปให้
ลูกค้าอื่น ตาค้างกับทั้งควันรมใส่หน้า กับทั้งเสียงแสบแก้ว
หูสุด ๆ

ส่วนลูกค้าส่วนใหญ่ที่มารอคิวลงทะเบียนจดหมาย
หรือ ส่งตั๋วแลกเงินนั้น จะบ่นหลายกระบุงในความช้า ที่ข้าพเจ้า
ทำอยู่คนเดียว ไม่รู้จักหาผู้ช่วย -โธ่ โฟร้ย ใครจะอยากทำ
คนเดียวอย่างนั้นฟระ --

ทุกคืนข้าพเจ้าจะต้องนำแสตมป์ลูกเล็กลูกน้อยมานั่งนับ
ใส่ลงไปในแบบฟอร์มว่ารับมาเมื่อวานกี่ดวงขายไปกี่ดวงเหลือ
อย่างละกี่ดวง อีกทั้งต้องทำบัญชีตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ทุกวัน
และยังต้องดูสมุดบันทึกคนรับส่งเอกสารลงทะเบียนของแต่ละ
วันที่ผ่านไป ตีหนึ่งตีสองก็ยังไม่เสร็จ หลายครั้งที่นั่งหลับ
คาโต๊ะไป ในขณะที่คิดรายได้เดือนละ ห้าร้อยบาทจากกรมฯ
แล้ว ถามตัวเองว่าได้อะไร อยู่ทุกวัน จะยอมให้งานนี้ ลากเรา
ไปขาดทุนหมดตัวอีกหรือไร ?

สำนวนไทยที่ว่า " ขี่ช้างจับตั๊กแตน " หรือ
"ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ " นั้น ไม่ได้ห่างไกลไปจากการกระทำ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบปีนั้นเลย...เพียงเพราะต้องการได้
งานทำ โดยไม่มองตลาด ไม่ทำแผนรายรับรายจ่ายให้ละเอียด
แถม "โยนไข่ไก่ทั้งหมดลงตะกร้าใบเดียว" ได้สร้างความสูญ
เสียซ้ำซ้อนลงบนชีวิตข้าพเจ้า อย่างยากที่จะกระดิกตัวคืน

(มีต่อ )
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:39:30 น.  

 
 
 
(ต่อ ๖ )


ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ต้องไปที่กรมฯ เพื่อไปลาออกด้วยเหตุผล
ง่าย ๆ ว่าไม่สามารถแบกรับการขาดทุนต่อเนื่องได้ อีกทั้งพนักงาน
ก็ลาออกกันไปหมด ที่จะจ้างใหม่เข้ามา เห็นงานไม่เป็นเวลาทั้ง
เงินเดือนน้อยก็ไม่เข้ามาทำ ข้าพเจ้าทำงานอยู่คนเดียวทั้งหมด
ตัวเป็นเกลียวไม่สามารถจะดำเนินการต่อไปได้ ไม่อาจจะหาเงิน
หาเวลา หาบุคลากรมาทำงานนี้ได้อีก จำต้องขอเลิกสัญญา
ท่านจะปรับจะริบเงินมัดจำเงินจองอะไรก็ให้ริบไปเพราะหมดปัญญา
จะดำเนินกิจการนั้นอีกแล้ว

เจ้าหน้าที่ที่รับเรื่อง ล้วนแต่วุ่นวายใจในการกระทำของ
ข้าพเจ้า ยิ่งมองเห็นยอดขาย โดยเฉพาะ ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ที่
สามารถทำยอดได้เดือนหนึ่ง ถึง สี่หมื่นบาท มากกว่า ไปรษณีย์
ธรรมดา- ซึ่งข้าพเจ้าได้ยอดตอบแทนแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์- เป็นแค่
การบริการลูกค้าในละแวก เท่านั้น ก็รู้สึกเสียดายอยากให้ข้าพเจ้า
ทำต่อไป แต่ข้าพเจ้า ส่ายหน้ายอมแพ้ คนเราขาด มือ ขาดแขน
ขาดขา ขาดบุคลากรนั้น มันสุดที่จะทำการใหญ่ได้ ไหนจะ ค่าผ่อน
บ้านที่อัดมาเพิ่มเดือนละหมื่นกว่าบาท เทียบว่า ต้องมีรายได้ เดือน
ละ สามหมื่น แต่ข้าพเจ้าทำเงินจากการทำธุรกิจอยู่แค่ไม่เกินสี่ห้า
พันต่อเดือน มันไม่สามารถจะดำเนินกิจการอะไร บนภาวะที่มีหอก
ปลายยอดแหลมคมทิ่มคางอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถจะเล่นอะไร
ให้เวลาอะไรได้มากกว่านั้นแล้ว ซึ่งอันที่จริง ข้าพเจ้ายังไม่รู้วงการ
อะไรอีกมาก เพราะมีร้านค้ามากมาย ที่เขารับ แค่ขายแสตมป์ให้
ทางการอย่างเดียว รับ ๓ % ต่อเดือน โดยไม่ยอมทำบริการไปรษณีย์
ก็มีมาก แต่ข้าพเจ้ายอมรับว่า ตัวเองโง่ ไม่ทราบเรื่องนี้มาก่อน จึง
ทำการบริการประชาชน จนตัวจะตาย กับสำนวนว่า " เตี้ยอุ้มค่อม"
นั้น น่าจะเหมาะกับข้าพเจ้าอีกด้วย

ข้าพเจ้าพยายามเปิดร้านค้านั้นต่อไปเพื่อขายของกระจุก
กระจิกต่อ แต่นับแต่ไปรษณีย์อนุญาตนั้นปิดไป คนที่จะเดินมาซื้อ
อะไรก็ไม่มี ดังที่พี่สะไภ้และคุณแม่ได้ทำนายทายทักการขายไว้
แต่ต้น...หลายครั้งลูกค้าประจำมา พอรู้ว่าปิดไปแล้วก็ยืนเจริญพร
สวดด่าดังสนั่นลั่นถนนไปว่า เป็นคนประเภทแย่สุดของจังหวัด
อะไรแบบนั้น หาว่า ข้าพเจ้าเป็นพวก ทำงานเอาแต่กำไรบ้างไม่มี
หัวจิตหัวใจให้ประชาชน ร้อยแปดเหตุว่า จนทำให้ข้าพเจ้าไม่คิด
จะเดินออกไปจากประตูหน้าบ้านเพื่อจะให้เหตุผลประชาชนทั้ง
หลายอีกเลย

จากที่เคยมุ่งมาดมาดมั่น ว่าวันหนึ่งมันจักเป็นดังฝัน
ฝันนั้นได้ล้มทะลายครืนมาต่อหน้าต่อหน้าอีกครั้ง ข้าพเจ้าไม่อาจ
ต้านกระแสกรรมกระแสเวรอะไรที่ไหลบ่ามาใส่ข้าพเจ้าได้ ไม่ว่า
จะต่อสู้ด้วยวิธีอะไร ไม่มีทางที่ข้าพเจ้าจะวิ่งหนีเวรกรรมเหล่านั้น
ไม่รู้ว่าภพไหนบ้าง ได้เลย

จะมีธุรกิจอะไร ที่เจ้าของต้องนั่งทำตั้งแต่ผู้จัดการยันภารโรง
อยู่เพียงผู้เดียว อย่างน่าขำ น่าสมเพชอย่างที่ข้าพเจ้ากำลังทำอยู่
ธุรกิจอะไรที่ลงโฆษณาให้มาทำงาน แค่เด็กมาเห็นสภาพหัวยุ่งฟู
กระเจิงอย่างที่ข้าพเจ้ากำลังเป็นนั้น ก็สยองขวัญ ไม่ทำกันเป็น
แถว ธุรกิจอะไร ที่หาคนมาช่วยไม่ได้ ที่เขาอยากมาช่วย อย่าง
พวกที่จบจากมหาวิทยาลัยบัณฑิตย์ธุรกรรมแถวนั้น เธอก็จะเรียก
เงินเดือนเป็นหมื่น ให้ข้าพเจ้าหัวเราะ ฮะ ฮะ ตัวเองยังไม่มีเงิน
เดือนเลย
และ แล้ว ห้างฯ อีกห้างของข้าพเจ้าก็ปิดการทำธุรกิจลง
ในเวลาหนึ่งปีนั่นเอง


............

(จบบทที่ ๒๘ )

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:40:34 น.  

 
 
 
-
ขอขอบคุณ : นายแจม วันที่: 14 พฤษภาคม 2551 เวลา:20:22:08 น.


Glitter Graphics

Hello Kitty Glitter Pictures



และ คุณ เตติญญ่า ที่แวะเวียนมาอ่านมาตอบไว้ในกระทู้ก่อน ๆ เสมอนะคะ

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:5:46:17 น.  

 
 
 
มาแก้ link ค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มิถุนายน 2551 เวลา:0:58:28 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com