ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
บทที่ - ๒๒

~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

%%%%+++ นิยายชีวิต ๐๐ ที่ดินผืนนั้น +++%%%%%
~~~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

" " ที่ดินผืนนั้น " " - ภาค ห้า
@@@@@ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ @@@@@@

- --- บทที่ ๒๒ ------
เหตุแห่งการตัดสินใจ

ถ้าเปรียบว่า ทำศึกต้องรู้เขารู้เรา บัดนี้ ข้าพเจ้ามีแต่รู้เรา แต่
รู้เขา นั้นยังห่างหลายช่วงตัว ในขณะเดียวกัน ที่สำนักอาจารย์ ส.
ณบางพลัดนั้น เนื่องจากกลายเป็น "คนดังที่น่าริษยา"

.........
ตอนเก่า ที่ ๒๐
บทที่ ๒๐ ที่บล้อกแกงก์
target='_blank'>//www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=23-04-2008&group=7&gblog=15

และ ๒๑ พันทิป

//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W6540441/W6540441.html#8

ที่นี่นะคะ

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=23-04-2008&group=7&gblog=16



~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
%%%%%%%%% %%%%%%%%%


Create Date : 25 เมษายน 2551
Last Update : 25 กรกฎาคม 2551 19:09:31 น. 12 comments
Counter : 1343 Pageviews.  
 
 
 
 
ถ้าเปรียบว่า ทำศึกต้องรู้เขารู้เรา บัดนี้ ข้าพเจ้ามีแต่รู้เรา แต่
รู้เขา นั้นยังห่างหลายช่วงตัว ในขณะเดียวกัน ที่สำนักอาจารย์ ส.
ณบางพลัดนั้น เนื่องจากกลายเป็น "คนดังที่น่าริษยา" เพราะ
เป็นคนแรกที่องค์พรหมฯ ท่านรับพานธูปเทียนแพ ไปแล้ว พวก
ที่ชอบ นินทาข้าพเจ้าลับหลัง บางครั้งก็ต่อหน้าว่า
"ไม่เห็นมีดีอะไร เรียนวิชาก็ไม่เห็นเคยมาเรียน ดีอย่างเดียว
แอบเอาอาจารย์ไปเขียนอะไรลงหนังสือพิมพ์ละมั้งเนี่ย "
ช่วงนั้น มีพวกนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนเข้าไปดูกรรมวิธีการ
ทดสอบการทรงฯ กันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งอาจารย์ ท่านจะให้ทุกคนพิสูจน์ว่า
ท่านไม่ได้ ใช้พลังจิตไปสะกดจิตพวกที่มานั่งน้ำมนต์แล้วร้องกรี๊ด ๆ
อะไรพวกนั้นทั้งวิชาอาจารย์ก็เหลือล้น เหลือหลาย ขนาดว่า มองหน้า
แล้วย้อนอดีตเราไปเป็นพันปี ก็ได้เดี๋ยวนั้น ทั้งพวกไปฝึกนั่งสมาธิเพื่อ
ลงทรง ฯลฯ ทำให้หลายคนสันนิษฐานว่าข้าพเจ้าคงเป็นหนึ่งในพวก
เอาเรื่องอาจารย์ไปเขียนลงหนังสือพิมพ์
แหม ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเพิ่งคิดจะเขียนถึงอาจารย์เอา
สี่ห้าปีนี้เอง บางทีก็เป็นเรื่องสั้นในเน็ต บางทีก็ เฉียดเป็นกลอน หาก
เขียนขาย คงรวยไปนับแต่นั้นแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอาจารย์เป็นคนสร้าง
พระตรีมูรติที่สี่แยกราชประสงค์ ไม่ว่าท่านจะเป็นคนสร้างพระไปบรรจุ
ในเจดีย์ต่างประเทศ ฯลฯ แถมอาจารย์เองนั่นแหละ ชอบมาเล่าอะไร
ต่อมิอะไรให้ข้าพเจ้าฟังแล้วบอก
"นี่ทิกกี้ เธอไปเขียนเรื่องอาจารย์ อย่างนี้ อย่างนี้ สิ "
เปล่า จ้างข้าพเจ้าก็ไม่เขียนให้ท่านดอก เพราะความรู้
ข้าพเจ้าไม่ถึงท่าน เขียนผิดไปเดี๋ยว "โดนโทษ" จะอาการหนักอีก
ข้าพเจ้าจะเขียนก็เฉพาะเวลาตัวเองอยากเขียน แล้วก็ใช้วิจารณญาณ
ตัวเองเท่านั้น ไม่เอาอิทธิพลของใครมาใส่ เพราะรายการนี้ไม่ได้ เยิร
ยอร่างทรง อะไรของใคร โดยเฉพาะตัวข้าพเจ้าเองนั้น ประกาศไว้
นานแล้วว่า
" ฉันไม่ลงทรง "
ไม่ว่าท่านเทพที่อยู่ในวิญญาณเกิดพร้อมข้าพเจ้าก็ดี ท่าน
เทพที่มาคอยดูแลคุมร่างก็ดี บางทีก็ผ่านภาษาเทพ พร้อมกับที่ข้าพเจ้า
สวดมนต์ภาษาบาลีอยู่ ข้าพเจ้ายังมักหยุด บ่อย ๆแถมพูดเสียงดุ ๆ
เสียอีก ว่า
" ขอสวดมนต์ภาษาไทยหน่อย "
ยกเว้นเวลามีอะไรฉุกเฉินกระทันหันร้ายแรง อย่างที่ต้องพึ่ง
บารมีองค์ท่านเหล่านั้นแหละ ท่านจะมาใช้ร่างข้าพเจ้าพูดอะไรยาว ๆ
ออกมาทันทีซึ่งข้าพเจ้าก็พอกำหนดจิตรู้ตามไปบ้างว่าพูดอะไร ความ
หมายชนิดไหนแต่บางทีก็ไม่สนใจเลย ปล่อยท่านพูด ๆ ไป พอท่าน
"ต่างทูล" หน้าพระพุทธรูปที่ข้าพเจ้ากำลังสวดมนต์ถวายอยู่ไปแล้ว
นั่นแหละ ข้าพเจ้าถึงจะ "เชิญขึ้น" ตามธรรมเนียมท่านอาจารย์
ส. ณ บางพลัดที่ให้ไว้ คือยกสองมือขึ้นไปจากตัวรูดไปตามศีรษะ
พูดว่า
" ขออัญเชิญท่านสู่ที่ประทับอันสมพระเกียรติเบื้องบน จน
กว่าจะกลิ่นธูปควันเทียน ครั้งหน้า"

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:21:07 น.  

 
 
 
เหตุแห่งการตัดสินใจ(ต่อ ๑)

ข้าพเจ้าถือว่าเป็นมนุษย์ เป็นคนสามัญธรรมดา ท่านอย่า
มายุ่งกับข้าพเจ้ามากนัก เพราะปุถุชนเป็นคนที่มีกิเลศ ตัณหา เป็น
ปกติ ไม่ได้บรรลุธรรมขั้นโน้นขั้นนี้ อย่างที่พวกชาวบ้านชางช่อง
เขาชอบประกาศตัวเองกัน ข้าพเจ้าก็ยังเป็นคนไม่มีวิชาอาคมอะไร
อย่างนั้นเหมือนเดิม แล้วไม่ได้เป็นอาจารย์ใคร เป็นตัวเองที่ดูเก๋า
เซอร์ ๆ ธรรมดา อยู่อย่างนั้น เรียกว่าไม่มีอะไรดีเด่น ไม่เอาอะไร
ทั้งนั้น ไม่ว่าจะวิชาดูหมอดู หมอเดาอะไร ได้ตำรามาก็อ่านไปอ่าน
มาไม่เข้าสมอง
การณ์ก็เป็นไปอย่างนี้ ทั้งข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์ที่ใฝ่หา
ความรู้เรื่องธรรมะที่ท่านอาจารย์ผู้เก่งบาลีทั้งหลายท่านเขียนไว้
ข้าพเจ้าก็เสาะแสวงหาความรู้ ถ้อยอันงามทางศาสนาทั้งหลาย
ทั้งศาสนาอื่นด้วย ทั้งทางพุทธธรรมมากกว่าจะยุ่งกับทวยเทพฯ
ท่านเหล่านั้น จึงทราบดีกันว่า ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะ
มาห่มผ้าสีโน้นสีนี้ พูดภาษาเทพที่ชาวบ้านเขาแปลไม่ออก
ถึงแม้จะผ่านมาพูดบ่อย ๆ ข้าพเจ้าก็ไม่ยึดเป็นหลักในชีวิต ตรง
นี้อาจทำให้สำนักอาจารย์ ส. นั้น ไม่ค่อยพอใจข้าพเจ้านักก็เป็น
ได้ เพราะท่านชอบบอกว่า มาที่สำนักอาจารย์ แล้วไม่ต้องไปที่อื่น
แต่มีอยู่วัน ที่ข้าพเจ้าถามองค์พรหมฯ ที่ลงทรงว่า
" ลูกใคร่จะทราบถึงข้อธรรมในการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐาน"
องค์ท่านมองไปทั่วสำนักแล้วก็ตรัสเสมือนประชด หรือ
อย่างไร แต่ข้าพเจ้าถือเป็นคำ 'อนุญาต' ไปแล้วว่า

" เราไม่เห็นใครที่นี่สักคนจะให้ความรู้เรื่องนี้แก่เจ้าได้
เจ้าต้องไปค้นหาที่สำนักอื่น "

ดังนั้น ข้าพเจ้าจึง มีสิทธิ์ และ อิสระ ที่จะไปที่ไหนก็ได้
แถมยังไปขอท่านอาจารย์ ส. ณ บางพลัด ให้ "เขียนหลัง" ให้
ข้าพเจ้าไปที่ไหนก็ได้ออกบ่อย ๆไปด้วย สี่ห้าปีหลังนี้ ท่านถึงกับ
ให้ข้าพเจ้ายกเช่า "ตะกรุดหลวงพ่อเทียมวัดกษัตราธิราช" ทำด้วย
เงิน สลักลายสวยงามยิ่ง ไว้ติดตัว
" เธอมันไปโน่นไปนี่ตะแล้ดแต๊ดแต๋นักยายทิกกี้ เอา
ตะกรุดหลวงพ่อติดตัวกันอะไรไว้มั่งนะ "

~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
: tiki_ทิกิ - [ 25 เม.ย. 51 13:38:00 ]






 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:22:11 น.  

 
 
 
---- บทที่ ๒๒ ------
เหตุแห่งการตัดสินใจ(ต่อ ๒)

ย้อนกลับไปช่วงปีที่สองที่อยู่บ้านคุณแม่สามีต่อไป
วันหนึ่ง ท่านอาจารย์ ส. ท่านก็ เยาะ ๆ เอากับข้าพเจ้าว่า
"ทิกกี้ เธอไม่ต้องไปคิดสู้กับคุณแม่นิคเขาหรอก เธอ
ไม่มีทางชนะท่านหรอก ท่านมีเงินมีสมบัติมากมาย เธอมีไม่ถึง
ท่าน หรอกนะ "
อาจารย์จะหมายถึงการเร่ร่อนหาที่อยู่อาศัยของ
ข้าพเจ้าช่วงนั้นหรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้ แต่อีกครั้งที่ข้าพเจ้า
พานิคเข้าไป ฟ้องเรื่อง "คุณน้องสาว" ของเขากับอาจารย์ ส.
โดยตรงนั้น ท่านก็พูดกับนิคว่า
"นิค ยอมรับอย่างลูกผู้ชายกับอาจารย์มาดีกว่าว่า
รู้อยู่แล้วว่า คุณแม่ พาน้องสาวญาติกันนี้มาให้เราใช่ไหม "
นิคทำท่าอึกอักอยู่นิดหนึ่ง แล้วก็รับว่า
"ครับ ก็ทราบครับ"
แต่ประโยคต่อไปที่เหมือนเอาไฟมาจี้ข้าพเจ้านั่น
ก็คือ ท่านอาจารย์ ส. ท่านพูดกับนิคว่า
" งั้นก็พาน้องสาวนั่นมาให้อาจารย์ดูตัวหน่อยสิ
จะได้บอกได้ว่า บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ "
เท่านั้นแหละ เจ้าข้าเอ๋ย ที่เขาเรียกว่าไม่เห็นแก่
หน้าอินทร์หน้าพรหมฯ ก็คือข้าพเจ้านั่นเอง "ขึ้นเสียง" เอากับ
อาจารย์ ทันทีว่า
"อาจารย์คะ เราเป็นสามีภรรยากันอยู่ อาจารย์จะ
ทำอย่างนี้ได้อย่างไรคะ จะให้เขาพาผู้หญิงอีกคนมาดูว่า
บริสุทธิ์พอจะเป็นเมียเขาอีกคนหรือคะ อาจารย์คิดอะไรอยู่
คะ ไม่เข้าใจเลย นิค เรากลับกันเถิดวันนี้พอแล้ว"

อะไรทำนองนี้ที่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เกรงกลัวอะไรอาจารย์
สักเท่าใด จึงทำให้ข้าพเจ้าเกิดเหตุเภทภัยอะไรต่ออะไรที่
บอกไม่ได้มาหลายอย่าง แต่ ข้าพเจ้าก็ถือว่า การที่ข้าพเจ้า
ใฝ่ธรรม ค้นหาสาระพุทธธรรมไว้เป็นสรณะไม่ใช่เรื่องผิดใน
ชีวิต มันอาจไม่เหมาะสมกับผู้ครองเรือนอยู่บ้าง แต่ข้อธรรม
การครองเรือนของพระพุทธองค์ก็มีหลายอย่างต่าง กัน ไม่
เสียหายอะไรกับที่ข้าพเจ้าจะเดินทางธรรมไปค้นที่โน่นที่นี่

ข้าพเจ้าไม่ได้เลิกเคารพท่านอาจารย์ ส.
ยังคงให้ความเคารพ ว่าเป็นอาจารย์คนแรก เป็นสำนักแรก
ที่ช่วยให้ข้าพเจ้าหยุดวิถีชีวิตดุจคนกลางคืน กินเหล้า สูบ
บุหรี่ ฟังเพลง เต้นระบำ อะไรเหล่านั้นมานับถือพระได้
ก็นับว่าท่านมีพระคุณโดยส่วนหนึ่ง และ ก็ยังนับท่านเป็น
อาจารย์ที่เคารพมาจนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ การ "รักษา
ระยะห่าง" นั้น ยังเป็นมาตลอดยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดปีที่รู้จัก
ท่านมา...คือไปกราบท่านเพียงปีละ หน สองหน เท่านั้น
หรือบางปี ก็ไม่ได้ไปเลยก็มี

บางครั้งก็ไปกราบท่านที่บ้าน เวลาได้ข่าวว่า
ท่านไม่ค่อยสบาย ถึงแก่ต้องผ่าตัด ข้าพเจ้าก็ไปเยี่ยม ถึงท่าน
อาจจะไม่ค่อยชอบที่ข้าพเจ้า ไม่ค่อยลงให้ท่าน แต่อย่างหนึ่ง
ในหัวใจของตน คือมีแต่กตัญญูให้ท่าน และ มีแต่ความรู้สึกดี ๆ
ที่ไม่คิดโกรธเคือง หรือ แค้นอะไรท่านเลย...อาจจะเรียกว่า
รักอาจารย์เสียด้วยซ้ำ

: tiki_ทิกิ - [ 25 เม.ย. 51 13:38:38 ]

 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:23:06 น.  

 
 
 
สวัสดีค่า
 
 

โดย: yosita_yoyo วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:27:46 น.  

 
 
 
---- บทที่ ๒๒ ------
เหตุต้องตัดสินใจ(ต่อ ๓)

บางเรื่องทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องเล็กมากสำหรับใครก็
ตาม แต่ข้าพเจ้าเจ็บจำไม่เคยลืม คิดว่าไม่อาจทนได้เลยใน
ระยะนั้น เจ็บใจจำจนต้องหาทางออกไปจากบ้านนั้น..เพื่อไป
ให้พ้น ๆ วิถีกรรมที่จะเหมือนถีบให้ข้าพเจ้าลงนรกไม่ได้ผุดได้
เกิด หากยังขืนอยู่ต่อไป คงได้ทำกรรมแรงร้ายกว่านั้นเยอะนัก

ที่จอดรถเราจะมีเพิงโรงรถเล็ก ๆ หน้าบ้าน แต่พอลง
จากรถ เวลาหน้าฝน สนามจะเฉอะแฉะ ดินเปียก สวมรองเท้าก็
จะ เหยียบไปยุบบุ๋มเป็นรู ยิ่งเวลาฝนกำลังตกข้าพเจ้าจะอุ้มลูก
เข้าบ้านเป็นเรื่องลำบากลำบนมาก
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ไปเดินมองหาอิฐได้กองอิฐแดง
เป็นอิฐมอญที่กองไว้ข้างบ้าน เลยนำมาวางเรียงเพื่อให้เวลาอุ้ม
ลูกเข้าบ้านจะได้สะดวกหน่อย

เรียงกันจนเสร็จ เป็นทางเดินที่ลงจากรถก็สามารถเดิน
ดิ่งตรงเข้าประตูรั้วน้อย ๆ ของเรือนไม้เล็กได้ พอวันรุ่งขึ้น ก็ไป
ทำงาน เดินออกมาทางอิฐมอญแดงนั้น รู้สึกดีขึ้นมากที่เวลาเย็น
จะได้ไม่ต้องย่ำโคลนเฉอะแฉะเข้าบ้านอีก

แต่พอเย็นกลับมาลงจากรถ ถนนอิฐแดงมันอันตรธานไปแล้ว !!
ไม่ต้องถามก็รู้โดยสัญชาติญาณว่า ฝีมือใคร ได้ยินเสียงคุณแม่
เขาอธิบายให้ลูกชายเขาทราบสั้น ๆ ว่า
" อิฐของพี่..เขา อย่าไปยุ่งของเขา เอาคืนเขาไป "

ข้าพเจ้าข่มใจไม่ให้โกรธ แต่หลุดปากพูดกับคุณนิคกี้
สามีสุดที่รัก ออกไปว่า

"เงินเดือนฉัน วันหนึ่ง ก็ซื้ออิฐได้เป็นพันกว่าก้อน (ตอน
นั้นอิฐมอญ ก้อนละ 70 สตางคฺ์) ทำไมต้องทำกับฉันกับลูกเรากัน
อย่างนี้ด้วย "

และ นั่นเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าจำไว้ไม่ลืมเลย..ว่า อย่าไปแตะ
ไปหยิบ อะไรเขาเลย ยี่สิบห้าปีที่เหตุการณ์นี้ผ่านไป ยังจำแม่นยำ
ไม่เคยลืม มันส่งผลมาให้เป็นคน "นั่งนิ่งดูดาย" มาจนถึงวันนี้
ต้องใช้สำนวน ว่า " ถอดใจคืนไปเลย"

: tiki_ทิกิ - [ 25 เม.ย. 51 13:39:26 ]

(ยังมีต่อนะคะ ตอนนี้ ขอเวลาซ่อมใจหน่อย )

Glitter Graphics

Rose Glitters



 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:14:29:51 น.  

 
 
 

มาลงชื่อทักทาย มาลงชื่ออ่านครับ

อิอิ
 
 

โดย: อาคุงกล่อง (อาคุงกล่อง ) วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:20:18:41 น.  

 
 
 
---- บทที่ ๒๒ ------
เหตุแห่งการตัดสินใจ (ต่อ) ๔

เพราะเหตุที่ข้าพเจ้านำลูกสาวเข้าไปอยู่ที่บ้านนั้น และ
ได้เห็นอาการฮึดฮัดซึ่งคุณพ่อสามีแสดงต่อข้าพเจ้าบ่อยครั้ง

ครั้งหนึ่งได้ยินกับหู ได้เห็นกับตา ตอนลูกสาวกำลังขับ
รถสามล้อของเด็ก เล่นไปทาง ลานซีเมนต์หน้าบ้านเรือนใหญ่
ของท่าน ท่านออกมาตวาดเพ้ยลั่นบ้านทำนองไล่ให้ไปพ้นหู
พ้นตา เรียกลูกสาวข้าพเจ้าด้วยถ้อยคำที่ฟังไม่ได้

ความคับแค้นใจในวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้าหันไป " ใส่ "
เอากับคนกลางใกล้ตัว

********* ************* (ส่วนตรงนี้ต้องเซ็นเซอร์)







************************************


แต่ภายหลังที่ได้คุยกับคุณแม่สามีเรื่อง "เมียน้อยคุณพ่อ"
บ่อย ๆ ก็เพิ่งรู้ทีหลังว่า คุณพ่อสามีท่านถือ เรื่องลูกสาวของ
ข้าพเจ้าเป็นเครื่องต่อรองว่า

"ขนาดลูกคนอื่นยังนำเข้ามาอยู่บ้านนี้ได้ แล้ว ลูกกรูแท้ ๆ
ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ "

"ลูกกรู"ของท่านนั้น คือ ลูกสาวคนเล็ก คนเดียวที่เกิดกับ
"เมียน้อย" ของท่าน ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด และ ในที่สุดในวัย
สิบสามปี เด็กหญิงน้อย ๆ คนนั้นก็เข้ามาในบ้าน น้องสาวของสามี
ข้าพเจ้าหน้าตาซื่อเซ่อเด๋อด๋า นัยน์ตาอ้างว้างแต่ ดูท่าซนและ
ฉลาดเช่นกัน น้อง"มิคกี้" นั้น ได้ขึ้นไปอยู่ห้องนอนเก่าของ นิค
และลงมาเล่นกับหลานสองคน คือ ลูกสาวและ ลูกชายข้าพเจ้า
บ่อย ๆ


ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยได้สุงสิงกับ น้องสาวคนเล็กของสามี
นาน ๆ ที ถึงจะได้คุยกัน และนับจากนั้น ทั้งบ้านก็มีสงคราม
เรื่อง ลูกเมียน้อยเมียหลวงให้ร้อนหูร้อนใจกันไปทั้งบ้านนั้นไม่
หยุดหย่อนอีกนานสิบกว่าปี

ซึ่งคุณแม่สามี ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นตัวตั้งตัวตีวางแผนไว้ว่า
" เอาลูกมันมาเลี้ยงซะ คุณพ่อจะได้ไม่ไปหาเมียน้อย " ซึ่ง
เมื่อครั้งได้ยินแผนของท่าน ข้าพเจ้าก็อึดอัด และพูดจาทำนอง
ไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็บอกว่า จะต้องเอาเข้ามา "แม่มันจะได้
เลิกกับพ่อซะ " มันเป็นเกม เกลียดตัวกินไข่ หรือคุณแม่จะคิด
ว่าเป็นชัยชนะก็ตาม แต่ก็กลายเป็นนำศึกเข้ามาในบ้าน เพราะ
ลูกสาวคนโตของท่าน นั้นเอาเรื่อง ด่าน้องสาวกระทบถึงแม่เมีย
น้อยให้คุณพ่อเดือดดาล ด่าว่าวิวาทกันเป็นประจำ น่าระอามาก

หลายครั้งก็มีการประชดว่า "คุณแม่" นั้นท่าจะอยากเป็น
แม่พระ อะไรทำนองนั้น เมื่อคุณแม่ไม่รู้จะไปลงเอาความวุ่นวาย
นี้กับใครได้ ท่านก็กลับ "โยนบาป" นั้นมาให้แก่ข้าพเจ้าที่
อยากเอา "ลูกคนอื่น"มาเลี้ยงไว้ในบ้านทำให้คุณพ่อมี "ข้อต่อรอง"
เสียอย่างนั้น !!

: tiki_ทิกิ - [ 25 เม.ย. 51 20:25:18
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:20:36:04 น.  

 
 
 
---- บทที่ ๒๒ ------
เหตุแห่งการตัดสินใจ (ต่อ) ๔

เพราะเหตุที่ข้าพเจ้านำลูกสาวเข้าไปอยู่ที่บ้านนั้น และ
ได้เห็นอาการฮึดฮัดซึ่งคุณพ่อสามีแสดงต่อข้าพเจ้าบ่อยครั้ง

ครั้งหนึ่งได้ยินกับหู ได้เห็นกับตา ตอนลูกสาวกำลังขับ
รถสามล้อของเด็ก เล่นไปทาง ลานซีเมนต์หน้าบ้านเรือนใหญ่
ของท่าน ท่านออกมาตวาดเพ้ยลั่นบ้านทำนองไล่ให้ไปพ้นหู
พ้นตา เรียกลูกสาวข้าพเจ้าด้วยถ้อยคำที่ฟังไม่ได้

ความคับแค้นใจในวันนั้น ทำให้ข้าพเจ้าหันไป " ใส่ "
เอากับคนกลางใกล้ตัว

********* ************* (ส่วนตรงนี้ต้องเซ็นเซอร์)







************************************


แต่ภายหลังที่ได้คุยกับคุณแม่สามีเรื่อง "เมียน้อยคุณพ่อ"
บ่อย ๆ ก็เพิ่งรู้ทีหลังว่า คุณพ่อสามีท่านถือ เรื่องลูกสาวของ
ข้าพเจ้าเป็นเครื่องต่อรองว่า

"ขนาดลูกคนอื่นยังนำเข้ามาอยู่บ้านนี้ได้ แล้ว ลูกกรูแท้ ๆ
ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ "

"ลูกกรู"ของท่านนั้น คือ ลูกสาวคนเล็ก คนเดียวที่เกิดกับ
"เมียน้อย" ของท่าน ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด และ ในที่สุดในวัย
สิบสามปี เด็กหญิงน้อย ๆ คนนั้นก็เข้ามาในบ้าน น้องสาวของสามี
ข้าพเจ้าหน้าตาซื่อเซ่อเด๋อด๋า นัยน์ตาอ้างว้างแต่ ดูท่าซนและ
ฉลาดเช่นกัน น้อง"มิคกี้" นั้น ได้ขึ้นไปอยู่ห้องนอนเก่าของ นิค
และลงมาเล่นกับหลานสองคน คือ ลูกสาวและ ลูกชายข้าพเจ้า
บ่อย ๆ


ข้าพเจ้าก็ไม่ค่อยได้สุงสิงกับ น้องสาวคนเล็กของสามี
นาน ๆ ที ถึงจะได้คุยกัน และนับจากนั้น ทั้งบ้านก็มีสงคราม
เรื่อง ลูกเมียน้อยเมียหลวงให้ร้อนหูร้อนใจกันไปทั้งบ้านนั้นไม่
หยุดหย่อนอีกนานสิบกว่าปี

ซึ่งคุณแม่สามี ทั้ง ๆ ที่ท่านเป็นตัวตั้งตัวตีวางแผนไว้ว่า
" เอาลูกมันมาเลี้ยงซะ คุณพ่อจะได้ไม่ไปหาเมียน้อย " ซึ่ง
เมื่อครั้งได้ยินแผนของท่าน ข้าพเจ้าก็อึดอัด และพูดจาทำนอง
ไม่เห็นด้วย แต่ท่านก็บอกว่า จะต้องเอาเข้ามา "แม่มันจะได้
เลิกกับพ่อซะ " มันเป็นเกม เกลียดตัวกินไข่ หรือคุณแม่จะคิด
ว่าเป็นชัยชนะก็ตาม แต่ก็กลายเป็นนำศึกเข้ามาในบ้าน เพราะ
ลูกสาวคนโตของท่าน นั้นเอาเรื่อง ด่าน้องสาวกระทบถึงแม่เมีย
น้อยให้คุณพ่อเดือดดาล ด่าว่าวิวาทกันเป็นประจำ น่าระอามาก

หลายครั้งก็มีการประชดว่า "คุณแม่" นั้นท่าจะอยากเป็น
แม่พระ อะไรทำนองนั้น เมื่อคุณแม่ไม่รู้จะไปลงเอาความวุ่นวาย
นี้กับใครได้ ท่านก็กลับ "โยนบาป" นั้นมาให้แก่ข้าพเจ้าที่
อยากเอา "ลูกคนอื่น"มาเลี้ยงไว้ในบ้านทำให้คุณพ่อมี "ข้อต่อรอง"
เสียอย่างนั้น !!

: tiki_ทิกิ - [ 25 เม.ย. 51 20:25:18
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:20:36:04 น.  

 
 
 
---- บทที่ ๒๒ ------
เหตุแห่งการตัดสินใจ
(ต่อ) ๕

หลังจากวิเคราะห์สถานะการณ์ และ เริ่มเกิดความเห็นใจ
คุณแม่สามีขึ้นมา แต่ในขณะเดียวกัน ข้าพเจ้าก็ทำใจ 'อุเบกขา'
แบบโหด ๆ ไว้ในใจเสมอว่า

" ชาตินี้ คุณแม่รับวิบากกรรมที่อาจทำไว้กับใคร
ขนานหนักมาจนต้องมีสามี มีเมียน้อย ต้องมารับเลี้ยงลูกเมียน้อย
อาจจะทำกรรมไว้กับเราในอดีตชาตินั้นก็ได้ ..รับวิบากกรรม
ขนาดนี้ยังไม่พอ ชาตินี้ยังคิดจะทำกรรมกับเราอีก ทำให้เรากับ
สามีกับครอบครัวเราต้องทุกข์ระทมกันอยู่เรื่อย ๆ ชาติต่อไป
มีหวังเธอก็ยังต้องประสบ ปัญหา คู่ครองของเธอต้องมีเมียน้อย
อีกเป็นแม่นมั่น ฉันละ ไม่ขอเป็นอย่างเธอเลย "

และ บางครั้ง ข้าพเจ้าก็ฝาก คำคม ผ่านญาติพี่น้อง
ของท่านเวลามีงานเลี้ยงบ้านญาติของท่านปีละหนสองหน ด้วย
การเปรยขึ้นครั้งหนึ่งว่า
"คุณย่าของหนู นะคะ เวลาแก่แล้ว ไม่มี ลูกสะไภ้คน
ไหนรักเลยค่ะ ไม่มีหลาน คนไหนอยากใกล้เลย เพราะ ทำ
คดี แม่ผัวลูกสะไภ้ ไว้เยอะ แต่คุณยายของหนู มีแต่ลูกหลานรัก
เพราะท่านโอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อทั้งแก่ลูกและหลานค่ะ
คุณแม่ของหนูก็เช่นกัน ท่านรักลูกสะไภ้ทุกคนมากเท่ากัน
ลูก หลานจึงรักท่านมาก แก่ ๆ แล้ว ลูกหลานก็คงอยากเข้าใกล้
อยู่เสมอค่ะ...คนเรานะคะ ถ้าไม่เมตตากับลูกสะไภ้ กับหลานตัว
เองแล้ว เห็นทีจะเป็นสุขในบั้นปลายชีวิตยากค่ะ "

แต่สงสัยถ้อยที่ฝากไปไม่ถึงท่าน เท่าใด ท่านก็
ยังเป็นของท่านคือคุมแค้นข้าพเจ้าแนบแน่นไว้อย่างนั้น

จนวันหนึ่ง ที่ข้าพเจ้า ใช้ไม้แข็ง เดินเข้าไปหาท่าน
ที่กำลัง ยืนทำครัวอยู่คนเดียว ข้าพเจ้าทรุดกายลงที่พื้นครัวซึ่ง
สกปรกพอสมควรนั้นก้มลงกราบไปที่ปลายเท้าท่านที่พื้น บอก
ท่านอย่างตรงสุดราวมีดผ่าตัดว่า

" อะไรที่หนูทำไม่ดีกับคุณแม่มา ขอขมากรรมด้วยค่ะ
คุณแม่อยากจะหาลูกสะไภ้ใหม่ให้ นิคกี้หรือคะ "

เงียบ ท่านทำคอแข็งไม่ตอบ ข้าพเจ้าลุกขึ้น รู้สึก
สมเพชและเวทนาท่านที่ไม่รู้จักกรรมและวิบากกรรมของตนเอง
ขณะใช้สองแขนค่อยโอบรอบตัวท่านไว้ ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลัง
รู้สึกอโหสิกรรมให้ท่าน...อย่างน้อยสักขณะหนึ่งก็ดี

" หนูเป็นสะไภ้ของแม่ ลูกชายก็เป็นหลานชายคน
เดียวของคุณแม่ หวังว่าคุณแม่คงไม่คิด ขับไล่ไสส่งหนูไปจาก
ลูกชายคุณแม่ดอกนะคะ "

ไหน ๆ ท่านก็ดีกับข้าพเจ้ามาเหมือนกัน
ข้าพเจ้าก็ เข้าไปทำสัญญาสงบศึกกับท่านไว้ก่อนชั่วคราว

~~~~~~~~~ ~~~~~~~

ดูเหมือนว่า ไม่นานหลังจากนั้น "คุณน้อง" เธอคงทน
ความกดดันที่ข้าพเจ้าสร้างให้เธอนั้นไม่ได้ ต่อมาก็ย้ายออกไป
อยู่หอพักไม่ไกลจากที่บ้านคุณแม่สามีนัก และ ค่อย ๆ จางความ
วุ่นวายในชีวิตของเราไปได้สักหน่อย
...แต่คนที่มุ่งหมายจะให้เธอเข้ามาอยู่ อย่างคุณแม่สามี
ท่านมิได้สงบศึกกับข้าพเจ้าดอก ยังคง "แหย่เสือหลับ" อย่าง
ข้าพเจ้าได้ หลายครั้ง หลายคราให้เดือดดาลได้บ่อย ๆ ทีเดียว

(จบบทที่ ๒๒ )
~~~~~~~~~~~~~~~ ~~~~~~~~~~~~~~~

@@@@@@@@ @@@@@@@@@
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:20:38:02 น.  

 
 
 
ขอบคุณ คุณ

: yosita_yoyo

Glitter Graphics

Rose Glitters








และ คุณ อาคุงกล่อง ขอบคุณมากค่ะ
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:20:40:49 น.  

 
 
 
ขอติดไว้ก่อน จะมาอ่านพรุ่งนี้นะคะ
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 25 เมษายน 2551 เวลา:21:30:38 น.  

 
 
 
มาแล้วค่ะ โทษทีนะคะช้าไปหน่อย

รู้สึกสงสารเด็กที่เป็นลูกเมียน้อยคุณพ่อสามีค่ะ ทำไมต้องลากเค้าเข้ามารับรู้สิ่งที่เค้าไม่ได้ก่อด้วยก็ไม่รู้ ส้มเชื่อว่าต่อไปเด็กคนนี้คงกลายเป็นคนเก็บกด หากว่ายังอยู่บ้านนั้นต่อไปเรื่อยๆ

แต่ก็แอบดีใจด้วยนิดนึงที่คุณน้องสาวคนนั้น ในที่สุดก็พ่ายแพ้กลับไปค่ะ
 
 

โดย: ส้มแช่อิ่ม วันที่: 27 เมษายน 2551 เวลา:16:05:34 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com